29 ส.ค. 2021 เวลา 00:53 • ปรัชญา
เราเป็นชาวพุทธที่เรียนจบจากโรงเรียนคริสต์ ซึ่งตามความเข้าใจของผมตอนนั้นก็คือฝรั่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ แล้วตอนนั้นผมแปลกใจมากว่าทำไมฝรั่งต้องมาบวชเป็นพระด้วย แถมพระอาจารย์ยังเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติมาก่อน จึงเป็นสิ่งที่ชวนสงสัยและน่าตื่นเต้น เพราะเวลาอยู่โรงเรียนผมก็ชอบครูฝรั่งมาก ๆ เช่นกัน
พระอาจารย์ชยสาโร (พระฌอน ชิเวอร์ตัน) หรือพระธรรมพัชรญาณมุนี ปัจจุบันอายุ 63 พรรษา 41 เดิมเป็นชาวอังกฤษที่เคยเดินทางไปอินเดียเพื่อแสวงหาสัจธรรมของชีวิต แต่เมื่อไม่สามารถค้นพบคำตอบที่เฝ้ารอ จึงตัดสินใจเดินทางต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ก่อนมาลงเอยที่ประเทศไทย และได้บวชเป็นลูกศิษย์ของวิปัสสนาจารย์ชื่อดังอย่างหลวงพ่อชา สุภัทโท ก่อนตั้งใจศึกษาพระธรรมและภาษาไทยจนแตกฉาน กลายเป็น 1 ในพระฝรั่งที่มีบทบาทในการเผยแพร่พุทธศาสนาและทำคุณประโยชน์มากมายให้กับประเทศไทย กระทั่งได้รับการแปลงสัญชาติไทยในปี พ.ศ. 2563
#หลวงปู่ทากล่าวถึงพระฝรั่ง
ย้อนกลับไปประมาณ 20 ปีที่แล้ว บ่ายวันอาทิตย์หนึ่ง ครอบครัวของเราได้ไปกราบนมัสการหลวงปู่ทา จารุธัมโม ที่วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งท่านเป็น 1 ในลูกศิษย์ของแม่ทัพทางธรรมแห่งภาคอีสานอย่าง ‘หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต’
วันนั้นคุณพ่อเล่าให้หลวงปู่ทาฟังว่าเพิ่งพาครอบครัวไปทำวัตร นั่งสมาธิ และฟังธรรมกับพระอาจารย์ชยสาโรที่บ้านบุญ(บ้านไร่ทอสี) ตามคำแนะนำของหลวงปู่ พอหลวงปู่ได้ฟังก็อมยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า
“ที่จริงแล้วพระฝรั่งองค์นี้เกิดผิดประเทศ กายเป็นฝรั่งแต่มีหัวใจไทย พระฝรั่งปฏิบัติดี ไม่สึกแล้ว สมควรไปกราบ”
#ภาษาไทย
พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่าตอนบวชใหม่ ๆ ยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยได้ ดังนั้นเมื่อมีเวลาว่างจากการศึกษาพระธรรม นั่งสมาธิ หรือรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายแล้ว ก็จะหมั่นฝึกฝนภาษาไทย ผ่านการท่องศัพท์ เปิดพจนานุกรม และสนทนากับเณรหรือพระไทยรูปอื่น ๆ ในวัดหนองป่าพงอยู่เสมอ กระทั่งสามารถฟังพูดอ่านเขียนภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน และสามารถนำคำต่าง ๆ มาเปรียบเปรยได้อย่างน่าสนใจ อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่พระอาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างคำว่า ‘ปล่อยวาง’ กับ ‘ปล่อยปะละเลย’
“อาตมาขอยกตัวอย่างถึงบ้านหลังหนึ่งที่ฝนตกหนักแล้วหลังคารั่ว คนขี้เกียจก็จะอ้างว่าปล่อยวางสิ อย่าไปใส่ใจให้มันเป็นทุกข์ ซึ่งการปล่อยให้หลังคารั่วโดยไม่ทำอะไร อาตมาเรียกการกระทำนี้ว่าปล่อยปะละเลย”
#Louder
ครั้งหนึ่งผมเคยฟังเรื่องตลกน่ารัก ๆ จากพระอาจารย์เกี่ยวกับอุปสรรคด้านภาษา ท่านเล่าว่าสมัยบวชใหม่ ๆ บรรดาพระป่าจากนานาชาติมักชวนกันมานั่งล้อมวงสนทนาธรรมตอนกลางคืน โดยทุกคนจะสลับกันพูดอะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ วันนั้นเป็นคิวของพระจากประเทศลาว ปรากฏว่าพระลาวพูดเสียงเบามาก(อาจเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องด้วย) พระในวงที่อยู่ห่างออกไปจึงพูดว่า “Louder (ดังขึ้น)”
พอพระลาวได้ยินดังนั้นก็คิดซื่อ ๆ ว่าพระรูปนั้นคงฟังลาวออกเลยอยากให้เราพูดภาษาลาว แต่ด้วยความกลัวว่าพระที่เหลือจะฟังไม่รู้เรื่อง จึงกล่าวต่อไปดังเดิม กระทั่งมีพระพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้งว่า “Louder! Please.”
ทีนี้พระลาวก็คงคิดอัศจรรย์ใจว่า “ทุกคนอาจจะฟังลาวออกถึงรีเควสเช่นนี้” ท่านจึงหยุดพูดภาษาอังกฤษ ก่อนสนทนาธรรมใหม่ทั้งหมดเป็นภาษาลาวอย่างรวดเร็วลื่นไหล จนพระในวงต่างตาโตตกใจกับ ‘อุบัติเหตุทางภาษา’ ที่เกิดขึ้น
#องศาเดียว
1 ในคำสอนของพระอาจารย์ที่พี่ชายผมประทับใจมาก คือเรื่องการเดินทางสู่เป้าหมายชีวิต ซึ่งพระอาจารย์เล่าถึงชายผู้ที่เชื่อมั่นว่าตัวเองเดินตรงที่สุดในโลก เพราะไม่ว่าจะแข่งขันที่ไหนกับใคร เขาก็เป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง ทำให้ชายคนนี้ทะนงตนจนเกิดเป็น ‘อัตตา’
กระทั่งวันหนึ่งมีคนท้าให้เขาเดินขึ้นเหนือเป็นเวลา 60 วัน เขาตอบรับคำท้านั้น และออกเดินทางเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตน
วันแรกชายคนนี้เดินผิดไปแค่ 1 องศา วันถัดมาก็ผิดไปอีก 1 องศา และเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนครบกำหนด ปรากฏว่าบุรุษผู้เดินตรงที่สุดในโลกได้เดินเบี่ยงออกนอกเส้นทางไปแล้วถึง 60 องศา
พระชยสาโรบอกว่าแม้ชายคนนี้จะเก่งมากก็จริงที่เดินผิดแค่วันละ 1 องศา แต่ในระยะยาวถ้าเขาเดินต่อไปจากเดิมอีก 120 วัน (รวมเป็น 180 วัน) ก็เท่ากับว่าเขาได้เดินไปในทิศตรงกันข้ามกับเป้าหมายที่วางไว้
“เปรียบเหมือนเราตั้งใจจะไปเชียงใหม่ แต่สุดท้ายกลับไปอยู่ภูเก็ต”
ชีวิตของมนุษย์ปุถุชนก็เช่นกัน บางครั้งเราอาจเชื่อว่าสิ่งที่เราทำดีแล้ว ตรงแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าสมมติเราพลั้งเผลอก้าวพลาดไปวันละ 1 องศา หรือมากกว่านั้น แล้วผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง ดังนั้นชีวิตประจำวันของเราทุกวันนี้เราควรถามตัวเองว่า เรากำลังเดินไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงของตนหรือไม่
#เมื่อคิดให้ดีโลกนี้ประหลาด
การไปปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์ที่บ้านบุญทุกครั้ง พระอาจารย์จะสอนให้ลูกศิษย์ไม่ประมาท และเน้นย้ำเรื่องการเก็บเสบียงสู่โลกหน้า เพราะใดใดในโลกล้วนอนิจจัง
“เรื่องของโลกมีกระแสความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอนที่ละเอียดลึกซึ้งหลายสิ่งหลายอย่าง แม้แต่ในชีวิตของเราแต่ละคน อย่างเช่นตอนแรกรักใครสักคนแล้วเกิดผิดหวัง อกหักเสียอกเสียใจเป็นทุกข์มาก แต่พอไปเจออีกคนหนึ่ง และได้แต่งงานกัน กลับรู้สึกมีความสุขมาก กลายเป็นความสมหวังเพราะอกหักจากคนนั้น แถมไปขอบคุณเขาที่ทำให้เราอกหัก ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เจอคนนี้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตในทุก ๆ ด้านที่ต้องเจอความผิดหวังเพราะสมหวัง และความสมหวังเพราะผิดหวัง เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่แน่ไม่นอน”
ด้านการปฏิบัติธรรมสำหรับ ‘คนไม่มีเวลา’ พระอาจารย์แนะนำว่าเราอาจหาเวลานั่งสมาธิกำหนดจิตสักวันละ 10 นาที หรือถ้าไม่มีเวลาจริง ๆ ให้ลองเปลี่ยนเวลาที่เราคิดว่า ‘สิ้นเปลือง’ อย่างการขึ้นลิฟต์ลงบันได การเดินไปยังสถานที่ต่าง ๆ ฯลฯ โดยเอาเวลาเหล่านี้มากำหนดจิตคล้ายกับการเดินจงกรม เดิน 10 ก้าวแรกให้เราโฟกัสความรู้สึกที่ไหล่ อีก 10 ก้าวต่อมาโฟกัสที่ท้อง และอีก 10 ก้าวต่อมาโฟกัสที่เท้า หรือถ้าไม่อยากนับก็ลองหายใจเข้าออก ซึ่งอาจจะบริกรรม ‘พุทโธ’ ไปด้วยก็ได้ แค่นี้ใน 1 วันเราก็จะมีเวลาดึงตัวเองมาอยู่กับ ‘ปัจจุบัน’ มากขึ้น
#ตายแล้วไปไหน
ผมสังเกตว่าทุกครั้งที่มีลูกศิษย์ถามคำถามเป็นต้นว่า “ทำไมพระอาจารย์เดินจงกรมเร็วจังเลยคะ ลูกอยู่ข้างหลังเดินตามไม่ทันเลยค่ะ” พระอาจารย์จะตอบกลับอย่างมีวาทะศิลป์ว่า “อาตมาเดินเร็วเพราะหนีกิเลส” เช่นเดียวกับเมื่อมีคนถามว่าตายแล้วไปไหน พระอาจารย์จะเริ่มต้นว่า “ไปวัด ไปวัดชั่วคราว” ก่อนอธิบายว่าสิ่งที่ตายไปคือ ‘ร่างกาย’ ที่เป็น ‘ดินน้ำลมไฟ’ เท่านั้น แต่กระแสของบุญกุศลและบาปกรรมที่เราทำไว้ยังคงอยู่ ซึ่งกระแสเหล่านี้จะพาดวงวิญญาณของเราไปหาภาชนะใหม่ที่เหมาะสม
“ถ้ากระแสนั้นหยาบมันจะหาที่หยาบ ถ้ากระแสนั้นละเอียดก็จะหาที่ละเอียด มันจะหากระแสที่เหมาะกับตน” ส่วนคำถามเรื่องสวรรค์นรกมีจริงหรือไม่ พระผู้เปี่ยมด้วยรอยยิ้มบอกว่าอยู่ที่เราจะเชื่อ เพราะบางคนเชื่อว่าเกิดมาครั้งเดียวตายแล้วก็ดับสูญไป แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าบาปบุญคุณโทษมีจริงเช่นเดียวกับสวรรค์นรก อุปมาดั่งเราอยู่ในประเทศที่ไม่เคยเห็นเทือกเขาสูง 5,000 เมตรมาก่อน แต่วันหนึ่งมีผู้ที่เคยพิสูจน์ว่าเทือกเขา 5,000 เมตรนั้นมีจริง และวาดแผนที่ให้กับเรา โดยระหว่างทาง เราก็เห็นทะเลทราย ป่าไม้ และลำธาร ตามที่ปรากฏบนแผนที่ ทว่าหนทางมันก็ไกลเสียจนเราเริ่มลังเลว่าจะเชื่อแผนที่นี้ดีไหม ถ้าเดินต่อไปจะถูกแผนที่หลอกเข้าสักวันรึเปล่า ดังนั้นในฐานะที่เรานับถือพระพุทธเจ้า เมื่อพุทธองค์ยืนยันว่าสวรรค์นรกมีจริง เราก็ควรปฏิบัติ(ธรรม)ตามคู่มือเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
#ความสุขของกระเป๋าแบรนด์เนม
ในคอร์สปฏิบัติธรรมสำหรับหนุ่มสาว พระอาจารย์ชวนให้ลูกศิษย์ลองเขียนลิสต์ความสุขที่สุดในชีวิตออกมา 10 ข้อ ซึ่งพบว่าความสุขหลายข้อของเรามักขึ้นอยู่กับบุคคลและสถานที่ ดังนั้นวิธีแก้ความต้องการเหล่านี้ ไม่ใช่การไปบังคับความรู้สึก แต่ต้องพิจารณาว่าปัจจัยนั้นมอบ ‘ความสุข’ ให้กับเรามากน้อยแค่ไหน
“สมมติเราซื้อกระเป๋าพันบาท หมื่นบาท และแสนบาท มันให้ความสุขกับเรามากไหม เรามีความสุขกับการใช้สอยหรืออวดคนอื่นว่ามีสตางค์ถึงซื้อยี่ห้อนี้ได้ ถ้าเรามีความสุขที่ได้ยกตนมาข่มคนอื่น การอวดนี้ก็ถือว่าเป็นความสุขที่ไม่น่าไว้ใจ เป็นความสุขที่มีทุกข์ปน บางคนซื้อเพราะคนรุ่นเดียวกันมีถ้าไม่มีเราก็ไม่ทันเขา กลายเป็นว่าเราถูกกำหนดความสุขโดยสังคมตามค่านิยม อาตมาว่าแบบนี้ไม่น่ามีความสุข แต่เมื่อมนุษย์อยู่ในสังคม ดังนั้นก็ต้องรู้จักการอนุโลมบ้าง”
ทั้งนี้ พระอาจารย์สรุปว่าเมื่อเราฝึกทำสมาธิภาวนา สักวันหนึ่งความตื่นเต้นกับวัตถุจะน้อยลงไปเอง
#บทส่งท้าย
ตอนอายุประมาณ 15 ปี (2549) ผมมีโอกาสเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมครั้งแรกที่บ้านบุญ(4วัน) ด้วยความที่เด็กที่สุดในคอร์ส คืนหนึ่งก่อนแยกย้ายเข้านอน พระอาจารย์ได้เมตตาถามผมว่า “นั่งสมาธิเป็นอย่างไรบ้าง”
ผมกราบเรียนท่านไปตามตรงว่าพอเริ่ม ‘พุทโธ ๆ’ ได้ไม่นาน ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายก็พุ่งเข้ามาจู่โจมวุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะเรื่องที่โรงเรียน
“หลวงพ่อช่วยแนะนำได้ไหมครับว่าผมควรดึงสมาธิกลับมายังไง เพราะบางทีพอรู้ตัวว่ากำลังคิดเรื่องอื่น แต่ในใจกลับไม่สามารถควบคุมความคิดเหล่านี้ได้เลย”
“ไม่ต้องกังวล เป็นเรื่องปกติ ทำใจให้สบาย ๆ เมื่อมีความคิดฟุ้งซ่านก็ให้ภาวนาพุทโธออกมา แต่ถ้าหายใจเข้าพุท หายใจออกโธแล้วยังไม่สำเร็จ ก็อาจจะลองท่องพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเรากำลังยิงปืนกล”
สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้จากการไปกราบนมัสการพระอาจารย์ชยสาโรทุกครั้ง คือ ‘กระแสแห่งเมตตา’ ที่แสดงออกผ่านแววตาที่อ่อนโยนและน้ำเสียงที่อบอุ่น อย่างไรก็ตามพระอาจารย์ไม่ลืมที่จะเน้นย้ำกับลูกศิษย์ว่าการปฏิบัติธรรมไม่มีทางลัดและไม่มีใครสามารถทำแทนกันได้ ทุกคนจะต้องปฏิบัติและก้าวไปสู่การหลุดพ้นด้วยความเพียร เหมือนดั่งพุทธภาษิตที่ว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ = ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน”
#thelastbogie #พระธรรมพัชรญาณมุนี #พระอาจารย์ชยสาโร #พระชยสาโร #พระฝรั่ง #ชยสาโรภิกขุ #บ้านไร่ทอสี #บ้านบุญ
โฆษณา