Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธ
ธรรมะจากพระไตรปิฎก
•
ติดตาม
31 ส.ค. 2021 เวลา 00:43 • ปรัชญา
ทุ สะ นะ โส เสียงจากนรก คืออะไร
ที่มา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พาลวรรคที่ ๕เรื่องบุรุษคนใดคนหนึ่ง
2
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระเจ้าปเสนทิโกศลและบุรุษคนใดคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ทีฆาชาครโต รตฺติ" เป็นต้น.
พระราชาประทักษิณพระนคร
ได้ยินว่า ในวันมหรสพวันหนึ่ง พระราชาพระนามว่า ปเสนทิโกศล ทรงช้างเผือกล้วนเชือกหนึ่ง ชื่อปุณฑรีกะ ซึ่งประดับประดาแล้ว ทรงทำประทักษิณพระนคร ด้วยอานุภาพแห่งพระราชาอันใหญ่. เมื่ออาญาเป็นเหตุให้บุคคลลุกไป เป็นไปอยู่๑-, มหาชนถูกราชบุรุษโบยด้วยวัตถุมีก้อนดินและท่อนไม้เป็นต้น หนีไป ก็ยังเอี้ยวคอกลับแลดูอยู่นั่นแล. ได้ยินว่า ข้อนี้ เป็นผลแห่งทานที่พระราชาทั้งหลายทรงถวายดีแล้ว.
อำนาจความรัก
ภรรยาของทุคคตบุรุษแม้คนใดคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่พื้นชั้นบนแห่งปราสาท ๗ ชั้น เปิดบานหน้าต่างบานหนึ่ง พอแลดูพระราชาแล้วก็หลบไป. การหลบไปของหญิงนั้น ปรากฏแก่พระราชา ราวกับว่า พระจันทร์เพ็ญเข้าไปสู่กลีบเมฆ. ท้าวเธอทรงมีพระหฤทัยปฏิพัทธ์ในหญิงนั้น เป็นประหนึ่งว่า ถึงอาการพลัดตกจากคอช้าง ทรงรีบกระทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จเข้าสู่ภายในพระราชวัง ตรัสกะอำมาตย์คนสนิทนายหนึ่งว่า "ปราสาทที่เราแลดูในที่โน้น เธอเห็นไหม?"
อำมาตย์. เห็น พระเจ้าข้า.
พระราชา. เธอได้เห็นหญิงคนหนึ่งในปราสาทนั้นไหม?
อำมาตย์. ได้เห็น พระเจ้าข้า.
พระราชา. เธอจงไป, จงรู้ความที่หญิงนั้น มีสามีหรือไม่มีสามี.
อำมาตย์นั้นไปแล้ว ทราบความที่หญิงนั้นมีสามี จึงมากราบทูลแก่พระราชาว่า "หญิงนั้นมีสามี." ทีนั้น เมื่อพระราชาตรัสว่า "ถ้ากระนั้น เธอจงเรียกสามีของหญิงนั้นมา", อำมาตย์นั้นไปพูดว่า "มานี่แน่ะ นาย, พระราชารับสั่งหาท่าน", บุรุษนั้นคิดว่า "อันภัยพึงบังเกิดขึ้นแก่เรา เพราะอาศัยภรรยา" เมื่อไม่อาจจะขัดขืนพระราชอาญา จึงได้ไปถวายบังคมพระราชา ยืนอยู่แล้ว. ขณะนั้น พระราชาตรัสกะบุรุษนั้นว่า "เธอจงบำรุงเรา."
บุรุษ. ข้าแต่สมมติเทพ อย่าเลย, ข้าพระองค์ทำการงานของตน ถวายส่วยแด่พระองค์อยู่, การเลี้ยงชีพนั้นแล จงมีแก่ข้าพระองค์เถิด.
พระราชาตรัสว่า "เราไม่มีความต้องการด้วยส่วยของเธอ, จำเดิมแต่วันนี้ไป เธอจงบำรุงเรา" แล้วให้พระราชทานโล่และอาวุธแก่บุรุษนั้น.
ได้ยินว่า พระราชาได้ทรงดำริอย่างนี้ว่า "เราจักยกโทษบางอย่างของเขาขึ้นแล้วฆ่าเสีย ริบเอาภรรยา." ทีนั้น เขากลัวแต่มรณภัย เป็นผู้ไม่ประมาท บำรุงพระราชานั้นแล้ว. พระราชาไม่ทรงเห็นช่อง (โทษ) แห่งบุรุษนั้น เมื่อความเร่าร้อนเพราะกามเจริญอยู่. ทรงดำริว่า "เราจะยกโทษของบุรุษนั้นขึ้นสักอย่างหนึ่ง แล้วลงราชอาญา" จึงรับสั่งให้เรียกบุรุษนั้นมาแล้ว ตรัสอย่างนี้ว่า "ผู้เจริญ เธอจงไปจากที่นี้ ที่ชื่อโน้นแห่งแม่น้ำในที่สุดประมาณ ๕ โยชน์ นำเอาดอกโกมุท ดอกอุบลและดินสีอรุณมา (ให้ทัน) ในเวลาเราอาบน้ำในเวลาเย็น, ถ้าเธอไม่พึงมาในขณะนั้น, เราจักลงอาญาแก่เธอ."
ความลำบากในราชสำนัก
ได้ยินว่า เสวก (ผู้เข้าเฝ้า) ลำบากกว่าทาสแม้ทั้งสี่. จริงอยู่ ทาสทั้งหลาย มีทาสที่เขาไถ่มาด้วยทรัพย์เป็นต้น ยังได้เพื่อจะพูดว่า "ผมปวดศีรษะ, ผมปวดหลัง" แล้วพักผ่อน.
คำที่ทาสทั้งหลายกล่าวแล้วได้พักผ่อนนั่น ย่อมไม่มีแก่เสวก, เสวกควรทำการงานตามรับสั่งเท่านั้น เพราะเหตุนั้น บุรุษนั้นคิดอยู่ว่า "เราต้องไปเป็นแน่แท้ ชื่อว่าดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบล ย่อมเกิดในภพแห่งนาค, เราจักได้ที่ไหน?" กลัวแต่มรณภัย ไปเรือนแล้วกล่าวว่า "หล่อน ภัตสำหรับฉันสำเร็จแล้วหรือ?" ภรรยากล่าวว่า "ยังตั้งอยู่บนเตา นาย." เขาไม่อาจจะรออยู่ จนกว่าภรรยาจะปลงภัตลงได้ จึงให้ภรรยาเอากระบวยตักน้ำข้าวเท (ปนกับ) ข้าวที่แฉะนั้นเอง ลงในกระเช้าพร้อมด้วยกับตามแต่จะได้ ถือเอาแล้ว เดินดุ่มไปแล้วสิ้นทางโยชน์หนึ่ง.
แบ่งบุญให้พนานาค
เมื่อเขากำลังเดินไปนั่นแหละ ภัตได้สุกแล้ว. เขาแบ่งภัตไว้หน่อยหนึ่ง กระทำไม่ให้เป็นเดนบริโภคอยู่ พบคนเดินทางคนหนึ่ง จึงกล่าวว่า "ภัตหน่อยหนึ่งเท่านั้น ฉันแบ่งออกกระทำไม่ให้เป็นเดนมีอยู่, เธอจงรับไปบริโภคเถิด นาย." เขารับไปบริโภคแล้ว. แม้บุรุษนอกนี้ ก็โปรยภัตลงในน้ำกำมือหนึ่ง บ้วนปากแล้ว ประกาศขึ้น ๓ ครั้งด้วยเสียงอันดังว่า "ขอพวกนาค ครุฑ และเทวดาผู้สิงอยู่ในประเทศแห่งแม่น้ำนี้ จงฟังคำของข้าพเจ้า; พระราชาทรงปรารถนาจะลงอาญาแก่ข้าพเจ้า ทรงบังคับข้าพเจ้าว่า "เธอจงนำเอาดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบลมา",
ก็ภัตที่ข้าพเจ้าให้แก่มนุษย์เดินทางแล้ว, ทานที่ข้าพเจ้าให้แล้วนั้น มีอานิสงส์ตั้งพัน, ภัตที่ข้าพเจ้าให้แก่ปลาทั้งหลายในน้ำ, ทานที่ข้าพเจ้าให้นั้นมีอานิสงส์ตั้งร้อย, ข้าพเจ้าให้ผลบุญประมาณเท่านี้ ให้เป็นส่วนบุญแก่ท่านทั้งหลาย; ท่านทั้งหลายจงนำดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบลมาให้แก่ข้าพเจ้าเถิด."
พระยานาคผู้อาศัยอยู่ในประเทศนั้น ได้ยินเสียงนั้น จึงไปสู่สำนักบุรุษนั้นด้วยเพศแห่งคนแก่ กล่าวว่า "ท่านพูดอะไร?" บุรุษนั้นจึงกล่าวซ้ำอย่างนั้นนั่นแหละ, เมื่อพระยานาค กล่าวว่า "ท่านจงให้ส่วนบุญนั้นแก่เรา", จึงกล่าวว่า "เราให้ นาย" เมื่อพระยานาคกล่าวแม้อีกว่า "ท่านจงให้" ก็กล่าว (ยืนคำ) ว่า "เราให้ นาย", พระยานาคนั้นให้นำส่วนบุญมาอย่างนั้นสิ้น ๒-๓ คราวแล้ว จึงได้ให้ดินสีอรุณกับดอกโกมุทและดอกอุบล (แก่บุรุษนั้น).
ปิดประตูเมือง
ฝ่ายพระราชาทรงดำริว่า "ธรรมดามนุษย์ทั้งหลาย มีมนต์มาก, ถ้าบุรุษนั้นพึงได้ (ของนั้น) ด้วยอุบายบางอย่างไซร้, กิจของเราก็ไม่พึงสำเร็จ", ท้าวเธอรับสั่งให้ปิดประตู (เมือง) เสียแต่วันทีเดียว แล้วให้นำลูกดาลไปยังสำนักของพระองค์.
บุรุษแม้นอกนี้ มาทันในเวลาพระราชาทรงสรงสนานเหมือนกัน เมื่อไม่ได้ประตู จึงเรียกคนยามประตู กล่าวว่า "ท่านจงเปิดประตู." คนยามประตูกล่าวว่า "เราไม่อาจจะเปิดได้, พระราชารับสั่งให้นำลูกดาลไปสู่พระราชมนเทียรแต่กาลยังวันทีเดียว." บุรุษนั้น แม้บอกว่า "เราเป็นราชทูต, ท่านจงเปิดประตู"
เมื่อไม่ได้ประตู จึงคิดว่า "บัดนี้ เราจะไม่มีชีวิต, เราจักทำอย่างไรหนอแล?" แล้วโยนก้อนดินไปที่ธรณีประตูข้างบน แขวนดอกไม้ไว้บนธรณีประตูนั้น ตะโกนร้องขึ้น ๓ ครั้งว่า "ชาวพระนครผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงรู้ความที่กิจอันข้าพเจ้ากระทำตามรับสั่งของพระราชาแล้วเถิด; พระราชาทรงใคร่จะยังเราให้พินาศ ด้วยเหตุไม่สมควร" แล้วคิดอยู่ว่า "เราจักไปที่ไหนหนอแล?" ได้ทำความตกลงใจว่า "ธรรมดาภิกษุทั้งหลาย มีใจอ่อนโยน, เราจักไปสู่วิหารแล้วนอน." ธรรมดาสัตว์เหล่านี้ ในเวลาได้รับสุข ไม่ทราบแม้ความที่ภิกษุทั้งหลายมีอยู่ พอถูกทุกข์ครอบงำ จึงปรารถนาจะไปวิหาร; เพราะเหตุนั้น แม้บุรุษนั้น ก็คิดว่า "ที่พึ่งอย่างอื่นของเราไม่มี" จึงไปยังวิหาร นอนอยู่ในที่สำราญแห่งหนึ่ง
พระราชานอนไม่หลับ
แม้เมื่อพระราชาไม่ได้การหลับอยู่ตลอดราตรี ทรงรำพึงถึงหญิงอยู่, ความรุ่มร้อนเพราะกามเกิดขึ้นแล้ว. ท้าวเธอทรงคิดว่า "ในขณะที่ราตรีสว่างแล้วนั่นแหละ เราจักให้ฆ่าบุรุษนั้นเสีย แล้วให้นำเอาหญิงนั้นมา."
เรื่องของเปรตผู้กล่าวอักษร ทุ. สะ. นะ. โส.
ในขณะนั้นนั่นแล บุรุษ ๔ คนที่เกิดในนรกชื่อโลหกุมภี ซึ่งลึกได้ ๖๐ โยชน์ ถูกไฟนรกไหม้กลิ้งไปมาอยู่ ดุจข้าวสารในหม้อที่กำลังเดือดพล่าน (จมลงไป) ถึงพื้นภายใต้ ๓ หมื่นปีแล้ว (ลอยขึ้นมา) ถึงที่ขอบปากโดย ๓ หมื่นปีอีก. สัตว์นรกเหล่านั้นยกศีรษะขึ้นแลดูกันและกันแล้ว ปรารถนาเพื่อจะกล่าวคาถาตนละคาถา (แต่) ไม่อาจจะกล่าวได้ จึงกล่าวอักษรตนละอักษร แล้วหมุนกลับไปสู่โลหกุมภีอย่างเดิม.
พระราชา เมื่อไม่ทรงได้การหลับ ได้ยินเสียงนั้นในระหว่างแห่งมัชฌิมยาม ทรงหวาดหวั่น มีพระทัยสะดุ้ง ทรงดำริว่า "อันตรายแห่งชีวิตจักมีแก่เราหรือหนอ? หรือจักมีแก่พระอัครมเหสี หรือราชสมบัติของเราจักพินาศ?" ไม่อาจหลับพระเนตรทั้งสองได้ตลอดคืนยังรุ่ง.
พราหมณ์ทำนายฝัน
พอเวลาอรุณขึ้น ท้าวเธอรับสั่งให้หาปุโรหิตมาแล้ว ตรัสว่า "อาจารย์ เสียงที่น่ากลัวอย่างใหญ่ เราได้ยินในระหว่างแห่งมัชฌิมยาม. เราไม่ทราบว่า ‘อันตรายจักมีแก่ราชสมบัติ หรือแก่พระมเหสี แก่เรา หรือแก่ใคร?’ เพราะเหตุนั้น เราจึงให้เชิญท่านมา."
พราหมณ์โง่ให้พระราชาบูชายัญ
ปุโรหิต. ข้าแต่มหาราช เสียงที่พระองค์ทรงสดับอย่างไร?
ราชา. อาจารย์ เราได้ยินเสียงเหล่านี้ว่า ‘ทุ. สะ. นะ. โส.’ ท่านจงใคร่ครวญผลสำเร็จแห่งเสียงเหล่านี้ดู.
เหตุอะไรๆ ย่อมไม่ปรากฏแก่พราหมณ์ ราวกะเข้าไปสู่ที่มืดใหญ่. ปุโรหิตนั้นกลัวว่า "ก็เมื่อเราทูลว่า ‘ข้าพระองค์ไม่ทราบ’ ดังนี้ ลาภสักการะของเราจักเสื่อม" จึงทูลว่า "ข้าแต่มหาราช เหตุนี้หนัก."
ราชา. เหตุอะไร? อาจารย์.
ปุโรหิต. อันตรายแห่งชีวิต จะปรากฏแก่พระองค์.
พระราชาทรงหวาดหวั่นตั้ง ๒ เท่า ตรัสว่า "อาจารย์ เหตุเครื่องบำบัดอะไรๆ มีอยู่หรือ?"
ปุโรหิต. มีอยู่มหาราช พระองค์อย่าทรงหวาดหวั่นเลย ข้าพระองค์รู้พระเวท ๓.#-
ราชา. เราได้อะไรเล่า? จึงจะควร.
ปุโรหิต. ขอเดชะ พระองค์ทรงบูชายัญ มีสัตว์อย่างละ ๑๐๐ ทุกอย่างแล้ว จักได้ชีวิต.
ราชา. ได้อะไร? จึงควร
ปุโรหิตนั้น เมื่อจะให้จับปาณชาติชนิดหนึ่งๆ ให้ได้ชนิดละ ๑๐๐ อย่างนี้ คือ ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ โคอุสภะ ๑๐๐ แม่โคนม ๑๐๐ แพะ ๑๐๐ แกะ ๑๐๐ ไก่ ๑๐๐ สุกร ๑๐๐ เด็กชาย ๑๐๐ เด็กหญิง ๑๐๐, จึงคิดว่า "ถ้าเราจักให้จับเอาแต่จำพวกเนื้อเท่านั้น, ชนทั้งหลายก็จะพูดว่า ‘ปุโรหิต ให้จับเอาแต่สัตว์ที่เป็นของกินได้สำหรับตนเท่านั้น", เพราะเหตุนั้น จึงให้จับทั้งจำพวกช้าง ม้า และมนุษย์ (ด้วย).
พระราชาทรงดำริว่า "ความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละเป็นลาภของเรา" จึงตรัสว่า "ท่านจงจับสัตว์ทุกชนิดเร็ว."
พวกมนุษย์ผู้ได้รับสั่ง ก็จับเอามากเกินประมาณ.
จริงอยู่ พระธรรมสังคาหกาจารย์ กล่าวแม้คำนี้ไว้ในโกสลสังยุต๑-
"ก็โดยสมัยนั้นแล ยัญใหญ่เป็นอาการปรากฏเฉพาะแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลแล้ว โคอุสภะ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคตัวเมีย ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ถูกนำเข้าไปหาหลักแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ยัญ, สัตว์เหล่านั้นแม้ใด คือทาสก็ดี, ทาสีก็ดี, คนใช้ก็ดี, กรรมกรก็ดี, ย่อมมีเพื่อยัญนั้น สัตว์แม้เหล่านั้นถูกเขาคุกคามด้วยอาญา ถูกภัยคุกคามแล้ว มีหน้าชุ่มด้วยน้ำตา ร้องไห้ กระทำบริกรรม (คร่ำครวญ) อยู่."
พระนางมัลลิกาทรงเปลื้องทุกข์ของสัตว์
มหาชนคร่ำครวญอยู่เพื่อประโยชน์แก่หมู่ญาติของตนๆ ได้ร้องเสียงดังแล้ว; เสียงนั้นได้เป็นราวกะว่าเสียงถล่มแห่งมหาปฐพี. ครั้งนั้น พระนางมัลลิกาเทวีทรงสดับเสียงนั้นแล้ว เสด็จไปสู่ราชสำนักทูลถามว่า "ข้าแต่มหาราช เพราะเหตุไรหนอแล? พระอินทรีย์ของพระองค์ไม่เป็นปกติ, พระองค์ย่อมทรงปรากฏดุจมีพระรูปอิดโรย."
ราชา. ประโยชน์อะไรของเธอเล่า? มัลลิกา, เธอไม่รู้อสรพิษเลื้อยอยู่ในที่ใกล้หูของเราหรือ?
มัลลิกา. นั่นเหตุอะไร? พระเจ้าข้า.
ราชา. ในส่วนราตรี เราได้ยินเสียงชื่อเห็นปานนี้ เราจึงถามปุโรหิต ได้สดับว่า ‘อันตรายแห่งชีวิตย่อมปรากฏแก่พระองค์, พระองค์ทรงบูชายัญ มีสัตว์ชนิดละ ๑๐๐ ทุกชนิดแล้ว จักได้ชีวิต’ เราจึงคิดว่า ‘ความเป็นอยู่ของเรานั่นแหละ เป็นลาภของเรา’ จึงสั่งให้จับสัตว์เหล่านี้ไว้แล้ว.
พระนางมัลลิกาเทวีทูลว่า "ข้าแต่มหาราช พระองค์เป็นคนอันธพาล; ทรงมีภักษามาก พระองค์ย่อมเสวยโภชนะอันหุงด้วยข้าวตั้งทะนาน มีสูปะและพยัญชนะหลากๆ หลายอย่าง พระองค์ทรงราชย์ในแคว้นทั้งสอง ก็จริง แต่พระปัญญาของพระองค์ยังเขลา."
ราชา. เพราะเหตุไร? เธอจึงพูดอย่างนั้น.
มัลลิกา. การได้ชีวิตของคนอื่น เพราะการตายของคนอื่น พระองค์เคยเห็น ณ ที่ไหน? เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงเชื่อถ้อยคำของพราหมณ์ผู้อันธพาลแล้ว โยนทุกข์ไปในเบื้องบนของมหาชนเล่า? พระศาสดาผู้เป็นอัครบุคคลของโลกทั้งเทวโลก มีพระญาณไม่ขัดข้องในกาลทั้งหลายมีอดีตกาลเป็นต้น ประทับอยู่ในวิหารใกล้เคียง, พระองค์ทูลถามพระศาสดานั้นแล้ว จงทรงกระทำตามพระโอวาทของพระองค์เถิด.
ครั้งนั้นแล พระราชาเสด็จไปวิหารกับพระนางมัลลิกา ด้วยยานเบา ถูกมรณภัยคุกคามแล้ว ไม่อาจทูลอะไรๆ ได้ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทักทายพระราชานั้นก่อนว่า "เชิญเถิด มหาบพิตร พระองค์เสด็จมาจากไหนแต่ยังวันนักเล่า?" พระราชาแม้นั้น ก็ทรงนั่งนิ่งเงียบเสีย.
ลำดับนั้น พระนางมัลลิกากราบทูลแด่พระผู้มีพระผู้มีภาคเจ้าว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ได้ทราบว่า พระราชาทรงสดับเสียง (ประหลาด) ในระหว่างแห่งมัชฌิมยาม, เมื่อเช่นนั้น ท้าวเธอจึงทรงบอกเหตุนั้นแก่ปุโรหิต, ปุโรหิตกราบทูลว่า ‘อันตรายแห่งชีวิตจักมีแก่พระองค์, เมื่อพระองค์จับสัตว์อย่างละ ๑๐๐ ทุกชนิด บูชายัญด้วยโลหิตในคอของสัตว์เหล่านั้น เพื่อประโยชน์แก่อันขจัดอันตรายนั้น, พระองค์จักได้ชีวิต’, พระราชาให้จับสัตว์ไว้เป็นอันมาก เพราะเหตุนั้น หม่อมฉันจึงนำพระราชามา ณ ที่นี้."
พระศาสดา. ได้ยินว่าอย่างนั้นหรือ? มหาบพิตร.
ราชา. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. เสียง พระองค์ทรงสดับแล้วอย่างไร?
พระราชานั้นทูลโดยทำนองที่พระองค์สดับแล้ว. แสงสว่างเป็นอันเดียวได้ปรากฏแด่พระตถาคต เพราะทรงสดับเนื้อความนั้น.
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระราชานั้นว่า "พระองค์อย่าทรงหวาดหวั่นเลย มหาบพิตร, อันตรายไม่มีแก่พระองค์, สัตว์ทั้งหลายผู้มีกรรมลามก เมื่อกระทำทุกข์ของตนๆ ให้แจ้ง จึงกล่าวอย่างนี้."
พระราชาทูลว่า "ก็กรรมอะไร? อันสัตว์เหล่านั้นกระทำไว้ พระเจ้าข้า."
พระศาสดาทรงแสดงโทษปรทาริกกรรม
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกรรมของสัตว์นรกเหล่านั้น จึงตรัสว่า "ถ้ากระนั้น พระองค์จงทรงสดับ มหาบพิตร" แล้วทรงนำอดีตนิทานมา (ตรัส) ว่า :-
ในอดีตกาล เมื่อมนุษย์มีอายุ ๒ หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป อุบัติขึ้นในโลก เสด็จเที่ยวจาริกไปกับด้วยพระขีณาสพ ๒ หมื่น ได้เสด็จถึงกรุงพาราณสี. ชาวกรุงพาราณสี ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง มากกว่าบ้าง รวมเป็นพวกเดียวกัน ยังอาคันตุกทานให้เป็นไปแล้ว.
ในกาลนั้น ในกรุงพาราณสีได้มีเศรษฐีบุตร ๔ คน มีสมบัติ ๔๐ โกฏิ เป็นสหายกัน เศรษฐีบุตรเหล่านั้นปรึกษากันว่า "ในเรือนของพวกเรามีทรัพย์มาก พวกเราจะกระทำอะไรด้วยทรัพย์นั้น."
เมื่อพระพุทธเจ้าเห็นปานนั้น เสด็จเที่ยวจาริกไปอยู่ บรรดาเศรษฐีบุตรเหล่านั้นมิได้กล่าวว่า พวกเราจักถวายทาน จักกระทำบูชา จักรักษาศีล คนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ก่อนว่า "พวกเราดื่มสุราที่เข้ม เคี้ยวกินเนื้อมีที่รสอร่อย จักเที่ยวไป ชีวิตนี้ของพวกเราจักมีผล."
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "พวกเราจักบริโภคภัตแห่งข้าวสารแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอมที่เก็บค้างไว้ ๓ ปี ด้วยรสเลิศต่างๆ เที่ยวไป."
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "พวกเราจักให้เขาทอดของควรเคี้ยวแปลกๆ มีประการต่างๆ เคี้ยวกินเที่ยวไป."
อีกคนหนึ่งกล่าวอย่างนี้ว่า "แน่ะเพื่อน พวกเราจักไม่กระทำกิจอะไรๆ แม้อย่างอื่น. หญิงทั้งหลาย เมื่อเรากล่าวว่า ‘จักให้ทรัพย์’ ชื่อว่าไม่ปรารถนา ย่อมไม่มี; เพราะเหตุนั้น พวกเรารวบรวมทรัพย์ไว้แล้ว จักประเล้าประโลม (หญิง) ทำปรทาริกกรรม (การประพฤติผิดในภรรยาของชายอื่น)."
เศรษฐีบุตรทั้งหมด รับคำว่า "ดีละๆ" ได้ตั้งอยู่ในถ้อยคำของคนที่ ๔ นั้น. จำเดิมแต่นั้นมา เศรษฐีบุตรเหล่านั้นส่งทรัพย์ไปเพื่อ (บำเรอ) หญิงที่มีรูปงาม กระทำปรทาริกกรรมตลอด ๒ หมื่นปี กระทำกาละแล้ว บังเกิดในอเวจีมหานรก.
เศรษฐีบุตรเหล่านั้นไหม้แล้วในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง กระทำกาละในนรกนั้น ด้วยเศษผลกรรม ก็เกิดในโลหกุมภีนรก (อันลึก) ๖๐ โยชน์ (จมลง) ถึงพื้นภายใต้ ๓ หมื่นปี (ลอยขึ้นมา) ถึงปากหม้อโดย ๓ หมื่นปีอีก เป็นผู้ใคร่จะกล่าวคาถาตนละคาถา (แต่) ไม่อาจจะกล่าวได้ กล่าวตนละอักษรแล้ว ก็หมุนกลับลงไปสู่ก้นหม้ออย่างเดิมอีก,
พระองค์จงบอก มหาบพิตร, พระองค์ได้สดับเสียงชื่ออะไร? ทีแรก."
พระราชา. เสียงว่า ทุ. พระเจ้าข้า.
พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงคาถาที่สัตว์นรกนั้น กล่าวไม่เต็ม ทำให้เต็ม
จึงตรัสอย่างนี้ว่า :-
ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา เยสนฺโน น ททามฺห เส
วิชฺชมาเนสุ โภเคสุ ทีปํ นากมฺห อตฺตโนติ ฯ
เราทั้งหลายเหล่าใด๑- เมื่อโภคะทั้งหลายมีอยู่ ไม่ได้ถวายทาน,
ไม่ได้ทำที่พึ่งแก่ตน, พวกเราเหล่านั้น จัดว่ามีชีวิตอยู่ชั่วช้าแล้ว.
ลำดับนั้น พระศาสดา ครั้นทรงประกาศเนื้อความแห่งคาถานี้แก่พระราชาแล้ว จึงตรัสถามว่า "มหาบพิตร เสียงที่ ๒, เสียงที่ ๓, เสียงที่ ๔ พระองค์ได้สดับอย่างไร?"
เมื่อพระราชาทูลว่า "ชื่ออย่างนี้ พระเจ้าข้า"
เมื่อจะทรงยังอรรถที่เหลือให้บริบูรณ์ จึงตรัส (คาถา) ว่า :-
สฏฺฐี วสฺสสหสฺสานิ ปริปุณฺณานิ สพฺพโส
นิรเย ปจฺจมานานํ กทา อนฺโต ภวิสฺสติ
นตฺถิ อนฺโต กุโต อนฺโต น อนฺโต ปฏิทิสฺสติ
ตทา หิ ปกตํ ปาปํ มม ตุยฺหญฺจ มาริสา ฯ
โสหํ นูน อิโต คนฺตฺวา โยนึ ลทฺธาน มานุสึ
วทญฺญู สีลสมฺปนฺโน กาหามิ กุสลํ พหุนฺติ ฯ
เมื่อเราทั้งหลาย ถูกไฟไหม้อยู่ในนรกครบ ๖ หมื่นปี
โดยประการทั้งปวง, เมื่อไร ที่สุดจักปรากฏ?
ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ที่สุดย่อมไม่มี, ที่สุดจักมีแต่ที่ไหน?
ที่สุดจะไม่ปรากฏ. เพราะว่ากรรมชั่ว อันเราและท่าน
ได้กระทำไว้แล้วในกาลนั้น.
เรานั้นไปจากที่นี่แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ จักเป็นผู้รู้
ถ้อยคำที่ยาจกกล่าว ถึงพร้อมด้วยศีล ทำกุศลให้มากแน่. ขุ. เปต. เล่ม ๒๖/ข้อ ๑๓๕
พระศาสดา ครั้นตรัสคาถาเหล่านี้โดยลำดับ ประกาศเนื้อความแล้ว
จึงตรัสว่า "มหาบพิตร ชนทั้ง ๔ นั้น ปรารถนาจะกล่าวคาถาตนละคาถา เมื่อไม่อาจจะกล่าวได้ กล่าวตนละอักษรเท่านั้น และลงไปสู่โลหกุมภีนั้นนั่นแลอีก ด้วยประการฉะนี้แล."
ได้ยินว่า จำเดิมแต่กาลแห่งเสียงนั้น อันพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสดับแล้ว ชนเหล่านั้นพลัดลงไป ณ ภายใต้อย่างเดิม แม้จนวันนี้ก็ยังไม่ล่วงหนึ่งพันปี. ความสังเวชใหญ่ได้เกิดขึ้นแก่พระราชา เพราะทรงสดับเทศนานั้น.
ท้าวเธอทรงดำริว่า "ชื่อว่าปรทาริกกรรมนี้หนักหนอ, ได้ยินว่า ชนทั้ง ๔ ไหม้แล้วในอเวจีนรกตลอดพุทธันดรหนึ่ง จุติจากอเวจีนรกนั้นแล้ว เกิดในโลหกุมภี อันลึก ๖๐ โยชน์ ไหม้แล้วในโลหกุมภีนั้น๒- ถึง ๖ หมื่นปี, แม้อย่างนี้ กาลเป็นที่พ้นจากทุกข์ของชนเหล่านั้น ยังไม่ปรากฏ, แม้เราทำความเยื่อใยในภรรยาของชายอื่น ไม่ได้หลับตลอดคืนยังรุ่ง, บัดนี้ จำเดิมแต่นี้ไป เราจักไม่ผูกความพอใจในภรรยาของชายอื่นละ"
จึงกราบทูลพระตถาคตว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทราบความที่แห่งราตรีนานในวันนี้."
. ฝ่ายบุรุษนั้นนั่งอยู่ในที่นั้นนั่นแล ฟังถ้อยคำนั้นแล้ว คิดว่า "ปัจจัยมีกำลัง เราได้แล้ว" จึงกราบทูลพระศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาทรงทราบความที่แห่งราตรีนาน ในวันนี้ก่อน, ส่วนข้าพระองค์เองได้ทราบความที่แห่งโยชน์ไกล ในวันวาน."
พระศาสดาทรงเทียบเคียงถ้อยคำของคนแม้ทั้งสองแล้ว ตรัสว่า
ราตรีของคนบางคนย่อมเป็นเวลานาน,
โยชน์ของคนบางคนเป็นของไกล,
ส่วนสงสารของคนพาลย่อมเป็นสภาพยาว.
เมื่อจะทรงแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๑. ทีฆา ชาครโต รตฺติ ทีฆํ สนฺตสฺส โยชนํ
ทีโฆ พาลาน สํสาโร สทฺธมฺมํ อวิชานตํ ฯ
ราตรีของคนผู้ตื่นอยู่ นาน, โยชน์ของคนล้าแล้ว ไกล,
สงสารของคนพาลทั้งหลายผู้ไม่รู้อยู่ซึ่งสัทธรรม ย่อมยาว.
บันทึก
2
3
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย