ถ้านับจนถึงวันนี้ที่เขียน เป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้วที่ Linkin Park กับอัลบั้มแรก Hybrid Theory ดังเปรี้ยง และยังเรียกได้ว่าเป็นวงหลักที่พาเอาดนตรีแนว Nu Metal / Rap Rock / Rap Metal ขึ้นมาเป็น mainstream ในบ้านเรา จนวัยรุ่นตอนนั้นเรียกดนตรีแนวนี้ว่า Hardcore จนติดปาก
และคงจะปฏิเสธได้ยากถ้าจะยกให้ "In The End" คือหนึ่งในเพลงเด่นของอัลบั้ม "In The End" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดสุดของ ริฟเปียโนง่ายๆแต่ติดหูโคตรๆ ที่ขึ้นมาตั้งแต่เริ่มเพลง (ตึ่ง ตึ้ง ตึ้ง ตึง ตึง) ดนตรีและทำนองดุดันแบบ hard rock/metal ท่อนแรปของ Mike Shinoda และเสียงร้องมหัศจรรย์ของ Chester Bennington ถ้าดูยอดวิวใน Youtube ตอนนี้ก็ปาไปมากกว่า 1,200 ล้านวิว
ซึ่งใน In The End ความเจ็บปวดนั้นคือ ความพยายามที่ไร้ค่า แม้ว่าจะทุ่มเทซักแค่ไหน และยิ่งใช้เวลา ผ่านเวลาไปมาก ความเจ็บปวดจากความรู้สึกไร้ค่านั้นมันยิ่งเท่าทวีคูณ
ความเจ็บปวดในเพลงนี้เริ่มตั้งแต่ท่อนแรก "It doesn't even matter how hard you try" แม้ว่าคุณจะพยายามมากซักแค่ไหนกับอะไรซักอย่าง แต่ในที่สุดแล้วสิ่งนั้นกลับไม่ได้มีค่าอะไรเลย และมันถูกเอามาขยี้อีกทีในท่อนคอรัส
[Chorus]
"I tried so hard and got so far
But in the end, it doesn't even matter
I had to fall to lose it all
But in the end, it doesn't even matter"
เราพยายามมามาก และเรามากันไกล
ในที่สุด มันกลับไม่ได้มีความหมายอะไร
เราผิดหวัง และสูญเสียทั้งหมดไป
แต่ในที่สุด มันก็ไม่ได้มีค่าอะไร
ถ้ามองถึงสิ่งที่มัน "ไร้ค่า" สิ่งนั้นอาจจะเป็น ความสัมพันธ์ ซึ่ง Linkin Park ก็กล่าวถึงที่มาของความ "ไร้ค่า" กระจายๆอยู่ในเพลง และยังมีนัยยะของเวลา ความสำคัญของเวลาที่มันยิ่งทำให้ความพยายามที่ไร้ค่ามันยิ่งแย่ เพราะมันรู้สึก "เสียดายเวลา" ด้วย