1 ก.ย. 2021 เวลา 04:59 • ดนตรี เพลง
In The End - ในที่สุดแล้ว
Title: In The End
Artist: Linkin Park
Album: Hybrid Theory (2000)
ถ้านับจนถึงวันนี้ที่เขียน เป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้วที่ Linkin Park กับอัลบั้มแรก Hybrid Theory ดังเปรี้ยง และยังเรียกได้ว่าเป็นวงหลักที่พาเอาดนตรีแนว Nu Metal / Rap Rock / Rap Metal ขึ้นมาเป็น mainstream ในบ้านเรา จนวัยรุ่นตอนนั้นเรียกดนตรีแนวนี้ว่า Hardcore จนติดปาก
และคงจะปฏิเสธได้ยากถ้าจะยกให้ "In The End" คือหนึ่งในเพลงเด่นของอัลบั้ม "In The End" เป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดสุดของ ริฟเปียโนง่ายๆแต่ติดหูโคตรๆ ที่ขึ้นมาตั้งแต่เริ่มเพลง (ตึ่ง ตึ้ง ตึ้ง ตึง ตึง) ​ดนตรีและทำนองดุดันแบบ hard rock/metal ท่อนแรปของ Mike Shinoda และเสียงร้องมหัศจรรย์ของ Chester Bennington ถ้าดูยอดวิวใน Youtube ตอนนี้ก็ปาไปมากกว่า 1,200 ล้านวิว
ว่าแต่ "ในที่สุดแล้ว"​ มันพยายามจะสื่ออะไร? โปรดเลื่อนอ่านต่อไป แล้วเพลงจะพาไป
แม้คำแปลจากเนื้อเพลงโดยตรงจะกำกวมและสามารถตีความได้หลากหลาย ผมตีความว่าหนึ่งในแก่นแนวคิดของอัลบั้ม Hybrid Theory คือ ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และมักจะเกิดขึ้นกับเราพร้อมๆกับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่​​ ซึ่ง "One Step Closer" กับ "Crawling" สองซิงเกิ้ลก่อนหน้าในอัลบั้มนี้ ก็มีประเด็นคล้ายกัน (เอาไว้มาเล่าในโอกาสถัดไปครับ)
ซึ่งใน In The End ความเจ็บปวดนั้นคือ ความพยายามที่ไร้ค่า แม้ว่าจะทุ่มเทซักแค่ไหน และยิ่งใช้เวลา ผ่านเวลาไปมาก ความเจ็บปวดจากความรู้สึกไร้ค่านั้นมันยิ่งเท่าทวีคูณ
ความเจ็บปวดในเพลงนี้เริ่มตั้งแต่ท่อนแรก "It doesn't even matter how hard you try" แม้ว่าคุณจะพยายามมากซักแค่ไหนกับอะไรซักอย่าง แต่ในที่สุดแล้วสิ่งนั้นกลับไม่ได้มีค่าอะไรเลย และมันถูกเอามาขยี้อีกทีในท่อนคอรัส
[Chorus]
"I tried so hard and got so far
But in the end, it doesn't even matter
I had to fall to lose it all
But in the end, it doesn't even matter"
เราพยายามมามาก และเรามากันไกล 
ในที่สุด มันกลับไม่ได้มีความหมายอะไร
เราผิดหวัง และสูญเสียทั้งหมดไป
แต่ในที่สุด มันก็ไม่ได้มีค่าอะไร
ถ้ามองถึงสิ่งที่มัน "ไร้ค่า"​ สิ่งนั้นอาจจะเป็น ความสัมพันธ์ ซึ่ง Linkin Park ก็กล่าวถึงที่มาของความ "ไร้ค่า" กระจายๆอยู่ในเพลง และยังมีนัยยะของเวลา ความสำคัญของเวลาที่มันยิ่งทำให้ความพยายามที่ไร้ค่ามันยิ่งแย่ เพราะมันรู้สึก "เสียดายเวลา"​ ด้วย
[Verse1]
All I know; time is a valuable thing
Watch it fly by as the pendulum swings
Watch it count down to the end of the day
The clock ticks life away, it's so unreal
Trying to hold on, but didn't even know
I wasted it all just to watch you go
ใช่! เรารู้ เวลานั้นสำคัญ
มองมันลอยผ่าน ไม่ต่างจากตุ้มนาฬิกา
มองมันถอยหลัง ไปจนถึงวันสุดท้าย
ทุกวินาทีคือชีวิตที่หายไป เหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ
ทั้งที่พยายามเหนี่ยวรั้ง แต่ก็ไม่ได้คิดคาด
ฉันนั้นเสียทุกอย่าง แล้วได้แต่มองเธอเดินจาก
[Verse2]
In spite of the way you were mocking me
Acting like I was part of your property
Remembering all the times you fought with me
I'm surprised it got so (far)
เธอนั้นเยาะเย้ย ทำเหมือนว่าเราเป็นของซักชิ้น
นึกถึงทุกครั้งที่ทะเลาะ ก็ยังประหลาดใจ ทำไมมาได้ไกลกันได้ขนาดนี้
หลังจากผ่านความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวแม้ว่าจะพยายามแค่ไหน จนมันลุกลามไปเป็นความรู้สึกไร้ค่า สุดท้ายเพลงนี้ก็พาเรามาถึงฟางเส้นสุดท้ายในท่อนแยก (bridge)
[Bridge]
"I've put my trust in you, pushed as far as I can go
For all this, there's only one thing you should know"
ทั้งที่ไว้ใจ และพยายามต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ทั้งหมดที่ผ่านมา แค่อยากเธอได้รู้เอาไว้ว่า…
อ่านมาจนจบแล้ว ลองฟังเพลงนี้อีกซักรอบสองรอบ แล้วมาคุยกันหน่อยนะครับ ว่ารู้สึกกับเพลงนี้ยังไง
ผมเชื่อว่าเพลงทุกเพลงงดงามในตัวของมัน แต่พอยิ่งได้เข้าใจในเนื้อหา และเรื่องราวของมัน เพลงเหล่านั้นยิ่งจะทวีคุณค่าขึ้นไปอีกในทุกๆครั้งที่คุณเปิดฟัง
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าอยากให้เขียนถึงเพลงไหน comment มาได้นะครับ :)
#เพลงพาไป #linkin_park #in_the_end
โฆษณา