1 ก.ย. 2021 เวลา 13:00 • การศึกษา
ว่าด้วยเรื่อง ABV & PROOF
บทความนี้ออกจะกึ่งวิชาการซักนิดนึงนะครับ อาจจะมีสูตรคํานวณและตัวเลขอ้างอิงเล็กน้อยเผื่อจะเพิ่ม อรรถรสในการในการดื่มแอลกอฮอล์ให้พอมึนๆ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านเวลาจะเลือกซื้อเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่ว่าจะเป็น เหล้า, เบียร์ หรือ ไวน์ คงต้องเคยเหลือบดูข้างขวดว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่กันนะ เพื่อที่จะทราบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์กี่เปอร์เซนต์ของปริมาตรเครื่องดื่ม ผมกําลังจะพูดถึงคําว่า ABV, Proof และ Degree ครับ..
เมื่ออยากจะทราบว่าเครื่องดื่มในมือเรามีปริมาณแอลกอฮอล์เท่าไหร่ แค่พลิกดูข้างขวดก็จะสังเกตเห็นค่าตัวเลขชุดหนึ่งมักจะระบุว่า ALC. x% VOL. หรือ x%ALC/VOL. ซึ่งจะมีความหมายเดียวกันกับ ABV ที่ย่อมาจาก Alcohol By Volume หรือแปลได้ว่า ปริมาณแอลกอฮอล์คิดเป็นเปอร์เซนต์ของปริมาตรเครื่องดื่ม ยกตัวอย่างเช่น เบียร์ Heineken ABV 5% ที่ข้างขวดก็จะระบุว่า ALC.5%VOL. หรือ วิสกี้ Johnny Walker ABV 40% ที่ขวดก็จะระบุว่า 40%ALC/VOL. แต่บางทีก็อาจจะระบุว่า 40%Vol แค่นั้นครับ ที่มักจะใช้แทนด้วย ALC. คงเป็นเพราะต้องการให้ผู้บริโภคเข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าเครื่องดื่มชนิดนี้มีแอลกอฮอล์ (ALC.) กี่เปอร์เซ็นต์ และยิ่งจํานวนเปอร์เซ็นต์ตัวเลขยิ่งสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งหมายถึงปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ที่มากขึ้นเท่านั้น
ส่วนคําว่า Proof นั้นเป็นหน่วยวัดแอลกอฮอล์ที่สมัยก่อนนิยมใช้กันแพร่หลายในประเทศอังกฤษ จนเป็นที่คุ้นเคยของใครหลายคนจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่ง Proof นั้นมีความหมายเดียวกันกับ ABV นั่นแหละ เพียงแต่มีวิธีคิดปริมาณต่างกันเล็กน้อย นั่นคือ ถ้าเราทราบค่า ABV แล้วต้องการทราบค่า Proof ให้นําจํานวน ABV คูณสอง ก็จะได้ค่า Proof ครับ เช่น วิสกี้ขวดนี้มี ABV 40% เท่ากับว่าวิสกี้ขวดนี้มี 80 Proof แต่ถ้าเราทราบค่า Proof อยู่แล้ว และต้องการทราบค่า ABV ก็ให้นําจํานวน Proof มาหารสอง ก็จะได้ค่า ABV ครับ อย่างเช่น เหล้ารัมขวดนี้ 100 Proof ก็จะมี ABV อยู่ที่ 50% นั่นเองครับ สําหรับคําว่า Degree นั้นก็หมายถึง ABV เช่นกันครับ โดยในประเทศไทยมักจะคุ้นเคยกับคํานี้มากกว่าคําอื่น เช่นว่า Regency ABV 38% ที่ขวดก็จะระบุว่า Alc. 38° เป็นต้น
Photo from: https://www.istockphoto.com/th By FelixRenaud
ไหนๆก็ร่ายยาวมาถึงนี่แล้ว ผมขอพูดไปถึงคำว่า Standard Drink หน่อยละกันนะครับ เพื่อการดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เอ้ย..ไม่ใช่ละครับ เพราะเท่าที่ผมเคยอ่านผ่านตามา งานวิจัยการแพทย์ระดับโลกระบุไว้ว่า ไม่มีปริมาณที่ปลอดภัยในการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะดื่มปริมาณมากน้อยเท่าใดต่อวัน ซึ่งอาจจะขัดกับผลวิจัยเฉพาะกิจบางสํานักที่อ้างว่าดื่มไวน์หรือเบียร์ในปริมาณที่เหมาะสมต่อวันอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง, อาจป้องกันโรคความจําเสื่อม, อาจช่วยป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ
กลับมาที่เรื่องของ Standard Drink หรือที่ในภาษาไทยเรียกว่า 1 ดื่มมาตรฐานนั้น คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ผสมอยู่จำนวน 10-14 กรัม แล้วแต่มาตรฐานของรัฐบาลแต่ละประเทศ ซึ่งเป็นปริมาณที่ร่างกายสามารถดูดซึมและขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ภายใน 1 ชั่วโมง และที่จำเป็นต้องมีมาตรฐานในการวัดปริมาณแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละประเภทจะมีปริมาณแอลกอฮอล์ผสมอยู่ไม่เท่ากันนั่นเอง จึงจำเป็นต้องกําหนด Standard Drink นี้ขึ้น การคํานวณปริมาณดื่มมาตรฐานเกิดขึ้นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร (อีกแล้ว) จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทําไมดินแดนนี้ถึงมีจำนวนผับอยู่มากที่สุดในโลก
และนี่คือวิธีการคํานวณดื่มมาตรฐานครับ.. เราสามารถคำนวณได้โดยการคูณปริมาตรรวมของเครื่องดื่ม (เป็นมิลลิลิตร) กับระดับ ABV (เป็นเปอร์เซ็นต์) และหารด้วย 1,000 โดยจะต้องนําไปคูณกับค่าความถ่วงจําเพาะของ Ethanal (แอลกอฮอล์ที่ผสมอยู่) ด้วย ซึ่งค่าความถ่วงจําเพาะของ Ethanal เท่ากับ 0.789 ดังนั้นจะได้ว่า
Photo from: https://www.pexels.com/photo/two-persons-holding-drinking-glasses-filled-with-beer-1089930/
ดื่มมาตรฐาน = [ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์(ABV) x ปริมาณของเครื่องดื่ม(ml)] x 0.789
1,000
ยกตัวอย่างเช่น การคํานวณดื่มมาตรฐานของไวน์แดงที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูง (ABV 14%) ปริมาณ 1 ขวดหรือ 750 มล. จะมีปริมาณแอกอฮอล์บริสุทธิ์ที่ 8.3 ดื่มมาตรฐานดังนี้
8.28 ดื่มมาตรฐาน = [14(%) x 750(ml)] x 0.789
1,000
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า 1 ดื่มมาตรฐานของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละชนิดนั้นไม่เท่ากัน สำหรับเบียร์ที่มีแอลกอฮอล์ 2.5-8% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานเท่ากับ 1 กระป๋องหรือ 1 ขวดเล็ก หรือประมาณ 330 ml. ส่วนวิสกี้หรือวอดก้าที่มีแอลกอฮอล์ 40-43% 1 ดื่มมาตรฐานจะอยู่ที่ 3 ฝา หรือ 30 ml. และหากเป็นไวน์ที่มีแอลกอฮอล์ 10-15% จะมี 1 ดื่มมาตรฐานคือ 1 แก้ว หรือ 100 ml. โดยประมาณครับ
แล้วก็มาถึงเรื่องดื่มยังไงให้ปลอดภัยนะครับ สำหรับผู้ชายไม่ควรดื่มเกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ไม่ควรดื่มเกิน 4 ดื่มมาตรฐานใน 1 วัน และไม่เกิน 14 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ โดยดื่มไม่เกิน 2 ดื่มในชั่วโมงแรกและ 1 ดื่มในชั่วโมงถัดไป ส่วนผู้หญิงไม่ควรดื่มเกิน 5 วันต่อสัปดาห์ ไม่ควรดื่มเกิน 3 ดื่มมาตรฐานใน 1 วัน และไม่เกิน 7 ดื่มมาตรฐานต่อสัปดาห์ โดยดื่มไม่เกิน 1 ดื่มในแต่ละชั่วโมง แต่ก็อย่างที่งานวิจัยการแพทย์ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์รายสัปดาห์ The Lancet นั่นแหละครับที่ชี้ว่า ไม่มีปริมาณที่ปลอดภัยในการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะกี่ดื่มมาตรฐานก็ตามที
สุดท้ายแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกท่านแล้วหล่ะครับว่าจะจัดการกับวิธีการดื่มกันอย่างไร ถ้าไม่ดื่มได้เลยนี่ดีมากอยู่แล้วครับ ด้วยความที่เงื่อนไขของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน และผมก็เชื่อว่าทุกท่านมีเหตุผลของตัวเองในการที่จะเลือกดื่มหรือไม่ดื่ม แต่ยังไงถ้าจะต้องดื่มก็ขอให้ทุกท่านดื่มอย่างมีความรับผิดชอบละกันนะครับ..
References:
โฆษณา