3 ก.ย. 2021 เวลา 05:55 • ปรัชญา
ภาวะการไม่รู้จัก ไม่เข้าใจตัวเอง
เป็นภาวะที่คนส่วนใหญ่เป็นกันมากในปัจจุบัน จากภาวะสังคม สิ่งแวดล้อม ประสบการณ์ของแต่ละคนในช่วงเวลาปัจจุบัน ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมความรุนแรง ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคมมากมายในปัจจุบัน
พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้คือ มักจะเข้าใจว่าตัวเองรู้จักตัวเองเป็นอย่างดี แต่ด้วยความเข้าใจผิด สิ่งที่ตัวเองทำและตอบสนองจึงมักจะย้อนแย้งกับสิ่งที่คิดหรือพูด จนกระทบต่อคนรอบข้าง ทำให้ตัวเองมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนจนขยายเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่สามารถควบคุมสติอารมณ์ตัวเองได้ในเวลาต่อมา
หากเราจะสังเกตตัวเอง ว่าเรามีพฤติการณ์ไม่รู้จักไม่เข้าใจตัวเอง ก็อาจจะพอสังเกตได้ดังนี้
1. โกรธง่ายมากกับเหตุไม่ควรโกรธ นั่นเพราะ เหตุที่คนเหล่านี้โกรธนั้นเป็นสิ่งที่เราเองไม่ชอบในตัวเอง แต่โดยไม่เข้าใจตัวเองและกล่าวโทษตัวเองไม่ได้ จึงไม่เคยให้อภัยตัวเองได้  เมื่อคนอื่นทำจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือ ที่เรามักจะเห็นตามคลิปต่างๆ เกี่ยวกับคนหัวร้อน ในแง่มุมต่างๆ กันเสมอๆ ในโลกปัจจุบัน
2. มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว เนื่องจากคนรอบตัวแต่ละคนจะมีเหตุที่ทำอะไรบางอย่าง ที่เราก็ไม่ชอบในตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ด้วยความที่เราไม่เข้าใจ เราตำหนิผู้คนได้ทุกคน แต่เราไม่รู้ตัวไม่เข้าใจว่าเราก็เองเป็นเช่นเดียวกันนั้น เราไม่ได้โกรธเขา เรากำลังโกรธตัวเองแต่ลงกับตัวเองไม่ได้ เมื่อมีโอกาสที่จะลงกับคนที่ทำเรื่องแย่เรื่องเดียวกัน เราจึงไม่ปล่อยให้พลาดที่จะระเบิดใส่ทันที แต่เมื่อทบทวนแล้ว หรือเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติ เราก็ไม่ได้โกรธอะไรและยังรักเขาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ ลูกๆ สามี เจ้านายลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ฯลฯ เพราะแท้จริงแล้ว ทุกคนคือคนที่เรารักและเป็นคนดีที่สมบูรณ์ ต่อให้เกิดความเกลียดชัง แต่เมื่อวิกฤติจบลง เราจะงงว่า เราทำอะไรลงไปในวาระสุดท้ายเสมอ
3. มีปัญหาความเครียดสะสม อันเกิดจากจุดติดบางอย่าง ที่ไม่รู้ตัวว่ามันคืออะไร มองไม่ออก และแก้ไขไม่ได้ ชีวิตจึงรู้สึกไม่เติมเต็ม มีบางอย่างขาดหายไป มีพลังก็ปล่อยผิดที่ผิดทาง ผิดจังหวะ แล้วเฝ้าคอยถามตัวเองว่า ทำไม ทำไม ในเมื่อเราพยายามอย่างเต็มที่ ทุ่มเททุกอย่าง ไม่ว่าจะเพื่ออะไร แต่ดูเหมือนไร้ค่าสูญเปล่าในสายตาผู้อื่นเสมอ
4. แคร์คำพูดสายตาคนอื่นมองว่าตัวเองจะเป็นเช่นไร มากกว่าที่จะมองเห็นว่าตัวเองต้องทำแท้จริงแล้วคืออะไร แต่แน่นอนว่า เราจะบอกตัวเองอย่างมั่นใจเสมอว่า เราไม่เคยแคร์สายตาคนอื่น แต่เรามีอีกเหตุผลที่มักจะใช้กันคือ เราห่วงความรู้สึกผู้อื่น หรือผลกระทบต่อผู้อื่น ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การจะสนใจหรือไม่สนใจก็ล้วนกระทบต่อผู้คนทั้งสิ้น แต่หากเราเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง เรามุ่งมั่นที่จะทำเพื่อตนเองในนั้นจะมีการเห็นอกเห็นใจและกระทบต่อผู้อื่นในทางที่ดีกว่าอยู่แล้ว แต่การไม่รับความจริง จึงทำให้เกิดการปกปิดบิดเบือน ส่งผลต่อเหตุใหญ่ไม่ดีตามมาภายหลังเสมอๆ
5. รู้สึกว่าตัวเองคือคนที่ทุกข์หนัก รับมือกับเรื่องสาหัสอยู่คนเดียว เหน็ดเหนื่อย ทดท้อ ไม่อยากไปต่อ จะเป็นเช่นนี้เสมอๆ ขึ้นๆลงๆ ตามสภาวะอารมณ์ บางวันก็ยุ่งวุ่นวายจะหัวแทบระเบิด บางวันก็ไม่อยากทำอะไร อยากนอนเฉยๆ  อะไรจะเกิดก็เกิด  แต่เมื่อเวลาเข่นนั้นเกิดเราก็ไม่รู้ตัวเช่นกันว่าเรากำลังตกอยู่ในสภาพนั้น หากมีใครสักคนมาบอกเราว่าเราเป็นแบบนั้นอยู่ ทายสิ ว่าเราจะตอบว่าอย่างไร เราก็อาจจะบอกว่า เราไม่เคยเป็นแบบนั้นแน่นอน แต่เราคือคนที่ แม้จะเหนื่อยจะท้อ เราก็ยังคงรับผิดชอบ เราไม่เคยนอนยอมแพ้แบบนั้น เพราะเราอยากให้ทุกคนมองเราในทางที่ดี
เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดกับคนที่ไม่เข้าใจตัวเอง หากจะพูดไปมันมีเรื่องราวมากมายไม่รู้จบ คุณพ่อที่ถูกลูกตำหนิว่า น่ารำคาญ จนลูกไม่อยากเข้าใกล้ เมื่อวันเวลาต้องพรากจาก ลูกก็จะเสียใจที่ไม่ได้ดูแล ไม่ว่าคุณพ่อจะเลวร้ายเพียงใด  หรือเจ้านายกับลูกน้อง เข้าใจผิดกัน จนถึงขั้นฆ่ากันตายเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ทั้งที่ตอนเริ่มต้น เขาทั้งคู่ก็ต่างเชิญชวนกันมาร่วมงาน  สามีภรรยาต้องหย่าร้าง ทั้งที่รักกันมากมาก่อน ลูกๆที่ต้องกลายเป็นเด็กมีปัญหา เป็นปัญหาสังคมระดับชาติ ในยุคปัจจุบัน
การแก้ปัญหาเหล่านี้จะเริ่มต้นที่ไหน อย่างไร เราจึงจะรอดพ้น พาตัวเราเองและคนที่เรารักผ่านพ้นไปได้เพื่อพบหนทางแห่งความสุขที่แท้จริง?
เราคงต้องมีเพื่อนที่ดี เพื่อนำพาไปพบครูที่ดี
เราคงต้องมีครูที่ดี เพื่อนำพาไปพบคำสอนที่ดี
เราคงต้องมีคำสอนที่ดี เพื่อทำให้เรามีชีวิตที่ดี
เราคงต้องมีชีวิตที่ดี เพื่อพาเพื่อนเราไปพบครูที่ดีและคำสอนทีดีเข่นเรา
วนเวียนอยู่เช่นนี้นี่แหละ คือภาระหน้าที่ของมนุษย์ ดังนั้น การพัฒนาตนเองจึงไม่มีวันสิ้นสุด
ชีวิตที่ดีคิอชีวิตที่อยู่เหนือทุกข์และสุขที่เป็นเรื่องชั่วคราว แต่เป็นชีวิตที่เป็นนิรันดร์ทรงพลังในตัวเอง ไร้การเสริมแต่ง จึงไม่ถูกกระทบกระเทือนได้ง่าย รับมือกับความทุกข์ได้ จัดการกับความสุขเป็น เคารพต่อทุกๆชีวิตที่สูงส่งเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่เคารพที่ชื่อเสียง หน้าตา ฐานะ สถานะทางสังคม หรือแม้แต่ความคิดทัศนคติ แต่เคารพต่อชีวิตของพวกเขาได้เลยทันทีที่พบเห็น โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติศาสนา เผ่าพันธ์อาชีพ นี่จึงจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี และสันติภาพก็จะเกิดขึ้นได้
ขอให้ทุกคนได้มีชีวิตที่ดี และนี่ไม่ใข่เวลามานั่งจินตนาการโลกสวย แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำทันที มันไม่ง่าย และใข้เวลายาวนาน แต่ก่อนที่จะถึงช่วงเวลานั้น ชีวิตเราที่ทำได้ก็ดีไปก่อนแล้ว ถ้าเราทำได้ในวันนี้
เป็นกำลังใจให้ตัวเองและทุกๆคน
โฆษณา