[BrandCase] ทำไม พนักงานแบบเป็ด ถึงเนื้อหอม สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก การทำงานในยุคปัจจุบัน หลายคนคงต้องเคยทำงานแบบ “เป็ด” มาบ้าง หรือก็คือ คนที่ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ เหมือนกั

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

BrandCase

ยืนยันแล้ว

•

4 ก.ย. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ

ทำไม พนักงานแบบเป็ด ถึงเนื้อหอม สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก

การทำงานในยุคปัจจุบัน หลายคนคงต้องเคยทำงานแบบ “เป็ด” มาบ้าง

หรือก็คือ คนที่ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

เหมือนกับเป็ดที่มีปีกแต่บินไม่เก่ง ในขณะเดียวกันก็ว่ายน้ำได้ แต่ก็ว่ายไม่เก่งเช่นกัน

ที่น่าแปลกใจก็คือ สมัยก่อนเวลาที่เราไปสมัครงาน บริษัทส่วนใหญ่จะรับคนที่มีทักษะเฉพาะทาง

ซึ่งต่างจากสมัยนี้ที่หลาย ๆ ตำแหน่งมักจะรับสมัครคนที่มีทักษะหลากหลายมากกว่า 1 ทักษะ

แล้วทำไมบริษัทยุคนี้ มองหาคนที่สามารถทำงานหลากหลายทักษะที่เรียกว่า Multipotentialite

รู้หรือไม่ว่า Multipotentialite เป็นคำหนึ่งที่ถูกใช้ในด้านจิตวิทยาที่อ้างอิงถึงความสามารถและความชอบ

ของบุคคลนั้น ๆ โดยเฉพาะความอยากรู้อยากเห็นด้านต่าง ๆ อย่างแรงกล้า มากกว่าเก่งแค่ด้านเดียว

คำนี้จึงหมายรวมถึง กลุ่มคนที่มีความสนใจหลายด้าน และมีทักษะหลายอย่างในตัวเอง

เช่น คนที่มีความสามารถด้านศิลปะ ในขณะเดียวกันก็มีทักษะด้านการก่อสร้าง และชงกาแฟอร่อย

นอกจากนี้ ยังมีสำนวนภาษาอังกฤษที่กล่าวถึงคนที่มีพฤติกรรมลักษณะนี้ว่า

“Jack of all trades, master of none”

ซึ่งถูกใช้ในหนังสือเล่มหนึ่งของคุณ Robert Greene ในปี 1592

หรือก็คือ คนที่เก่งในการแก้ไขปัญหาและมีความรู้รอบด้าน นั่นเอง

แล้วทำไมคนที่มี Multipotentialite จึงเป็นที่ต้องการในยุคนี้ ?

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า กลุ่มคนแบบ Multipotentialite นั้นกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

โดยเฉพาะในการทำงานยุคนี้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ หากคนหนึ่งคนสามารถทำได้หลายอย่าง

ก็จะช่วยให้บริษัท “ประหยัดงบ” ในการจ้างคนได้

ขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็สามารถรับมือกับงานที่หลากหลาย จึงมีโอกาสที่จะ “ทำงานได้อย่างรวดเร็ว”เนื่องจากสามารถมองรูปงานได้หลาย ๆ มุมไปพร้อม ๆ กัน

เช่น คนที่เป็นนักการตลาดที่มีความสามารถด้านการออกแบบกราฟิกดีไซน์ ก็จะทำให้สามารถสื่อสาร

ความต้องการหรือภาพที่มีในหัวได้ง่ายกว่า คนที่ไม่มีทักษะด้านนี้เลย

หรือหากอยากแก้ไขงานตรงไหนก็สามารถสื่อสารได้ชัดเจน ไม่ต้องรอส่งงานไปมา โดยไม่รู้ว่า

สุดท้ายแล้วตัวเองต้องการอะไรกันแน่ ซึ่งทำให้ใช้เวลาในการทำงานนานกว่าจะถูกใจ

นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังมักจะ “เรียนรู้สิ่งใหม่ได้ไว” ทำให้เมื่อบริษัทมีการเปลี่ยนแปลง

ก็สามารถปรับตัวไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

แล้วข้อเสียของคนที่มี Multipotentialite คืออะไร ?

ใช่ว่าคนกลุ่มนี้จะมีแต่ข้อดี เพราะเมื่อทำได้ทุกอย่างแต่ไม่เต็มที่สักอย่าง

ก็หมายความว่า หากเป็นสายงานที่ต้องการความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ คนกลุ่มนี้ก็จะไม่ตอบโจทย์เช่นกัน

สุดท้ายแล้ว เรามักจะเห็นคนประเภท Multipotentialite บ่อย ๆ

ตามบริษัทขนาดเล็ก หรือสตาร์ตอัปที่เพิ่งเปิดตัว

เพราะบริษัทลักษณะนี้ จะต้องการประหยัดงบในการจ้างคน และต้องเป็นคนที่พร้อมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในบริษัท ที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่ทันตั้งตัว

แต่ก็ต้องยอมรับว่า ในธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่ลงลึกเฉพาะทาง

คนที่ถนัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะยังเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ

เพราะคนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จะช่วยให้งานที่มีความยากสามารถดำเนินได้ง่าย

และยังสามารถให้คำแนะนำดี ๆ ด้านการทำงาน และความรู้ กับคนที่เป็นแบบ Multipotentialite ได้

เพื่อให้สามารถมาช่วยงานให้ดำเนินต่อไปได้

สุดท้ายแล้ว องค์กรที่กำลังเติบโตควรจะมองหาพนักงานทั้งสองประเภทให้สมดุลกันทั้งคู่

เพื่อในเวลาที่เจองานยาก ๆ ก็สามารถจัดการได้อย่างรวดเร็วด้วย “คนที่เก่งเฉพาะด้าน”

และเมื่อเจองานที่ต้องพลิกแพลง ก็มี “คนแบบ Multipotentialite” ที่พร้อมจะคิดนอกกรอบ เชื่อมโยงข้อมูล และเข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน..

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน