Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เจาะลึกแท็กติกฟุตบอล
•
ติดตาม
3 ก.ย. 2021 เวลา 12:56 • กีฬา
🔴🔵 แบ็คขวาที่ทำอะไรได้มากกว่ายืนทางฝั่งขวา: อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และ วอล์คเกอร์
ทุกวันนี้นักฟุตบอลระดับท็อปแทบทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบหน้าที่นอกเหนือจากโดยปกติตามตำแหน่ง กองหลังไม่ใช่แค่เล่มเกมรับ กองหน้าก็ไม่ใช่แค่เปิดเกมบุก และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าแบ็คขวาจะไม่ได้ยืนอยู่แค่ฝั่งขวา และไม่ได้ยืนอยู่ข้างหลังตลอดเวลาด้วย
มีนักเตะอยู่ 2 คนที่น่าสนใจจากเกม พรีเมียร์ลีก ที่ทำผลงานแตกต่างออกไปจากผู้เล่นแบ็คขวาที่เราต่างก็คุ้นเคยกันมา ผู้เล่นที่ว่านั้นก็คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ของ ลิเวอร์พูล และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรแตกต่างออกไปจากที่เคยทำมานัก แต่บางทีมันก็ควรค่าแก่การมานั่งมองว่าที่ผ่านมาพวกเรามองข้ามบทบาทในปัจจุบันของพวกเขาไปมากแค่ไหน
โดยปกติแล้วในวงการฟุตบอลอังกฤษ เรามักจะเรียกนักเตะที่ยืนด้านข้างในแผงแบ็คโฟร์ว่า "ฟูลแบ็ค" นี่คือสิ่งที่พัฒนามาจากสมัยอดีต ยกตัวอย่างในระบบ 2-3-5 ก็จะมีฟูลแบ็ค 2 คน ฮาล์ฟแบ็ค 3 คน และกองหน้า 5 คน เวลาผ่านไป ฟูลแบ็คก็ถูกถ่างออกด้านข้างแล้วเพิ่มผู้เล่น 2 คนเข้าไปตรงกลาง พอมาตอนนี้ก็ปลายเป็นว่าฟูลแบ็คไม่ใช่กองหลังเต็มตัวอีกต่อไป
ในประเทศที่พูดภาษาสเปนและโปรตุเกส พวกเขาเรียกผู้เล่นตำแหน่งนี้ว่าเป็น "ตัวด้านข้าง" ซึ่งจะว่าไปก็ดูเข้าท่ากว่ามาก เพราะทุกวันนี้พวกเขาไม่ใช่กองหลังแบบเต็มตัวแล้ว แต่เป็นผู้เล่นที่ยืนด้านข้างของสนามเป็นส่วนใหญ่ หรืออย่างน้อยก็ทำอย่างนั้นกันเป็นปกติ
แต่กับเกม พรีเมียร์ลีก ช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา มีนักเตะอยู่ 2 คนที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สามารถถูกมองว่าเป็นผู้ที่สร้างรูปแบบใหม่ให้กับบทบาทของแบ็คขวาอังกฤษเลยก็ได้ และนั่นก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาวางบอลได้อย่างยอดเยี่ยมจากด้านข้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่แบ็คขวาโดยทั่วไปต่างก็พยายามทำอยู่แล้ว และเขาก็ทำได้ดีมากด้วย
ดาวเตะจาก ลิเวอร์พูล มีความแตกต่างออกไปในแง่ของการยืนหุบเข้ามาตรงกลาง และทำหน้าที่ราวกับว่าเป็นเพลย์เมคเกอร์ เขาไม่ได้แค่จ้องแต่จะทำแอสซิสต์เท่านั้น แต่ยังสามารถบัญชาการเกมรุกได้อีกด้วย โดยปกติแล้วฟูลแบ็คจะไม่ใช่ตำแหน่งที่มีการจ่ายบอลก่อนจังหวะแอสซิสต์มากนัก แต่สำหรับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แล้วถือว่าเขาทำได้อย่างช่ำชอง
ปัญหาเดียวของเขาก็คือการต้องยืนด้านหลังตัวรุกริมเส้นอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ซึ่งมักจะวิ่งตัดเข้าในแล้วยิงด้วยเท้าซ้าย ด้วยการเคลื่อนที่แบบนี้จึงบังคับให้ต้องมีใครสักคนวิ่งโอเวอร์แลปขึ้นหน้าไปตามธรรมชาติ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ จะต้องวิ่งขึ้นไปยังพื้นที่ด้านข้าง
แต่ถ้าหากว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ต้องการให้ ซาลาห์ เลี้ยงตัดเข้าในได้ ขณะเดียวกันก็อยากให้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หุบเข้ามาตรงกลางมากขึ้นด้วยล่ะ ทางออกก็คือเขาต้องการผู้เล่นสักคนที่เล่นดานข้างโดยธรรมชาติ และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมที่ ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ เบิร์นลี่ย์ 2-0
คล็อปป์ ใส่ชื่อแข้งหนุ่ม ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงสนามเป็นตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก ครั้งแรก โดยมีบทบาทเป็นมิดฟิลด์ตัวกลางฝั่งขวาในระบบ 4-3-3 แต่ เอลเลียตต์ นั้นโดยปกติจะเล่นเป็นีก จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่เขามักจะวิ่งออกด้านนอกไปยังเส้นข้างสนาม ถือเป็นการประสานงานที่ลงตัวกับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่วิ่งเข้ามาด้านในแทน และก็มีอยู่บ่อยครั้งที่ ลิเวอร์พูล เล่นกันแบบนี้ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ เอลเลียตต์ จ่ายบอลให้กันจนกระทั่งเปิดช่องให้รายแรกวิ่งเข้าด้านใน ซึ่งจากพื้นที่ตรงนั้นเขาสามารถจ่ายบอลทะลุขึ้นหน้าไปให้กับพวกแนวรุกหงส์แดงได้
นั่นทำให้ เอลเลียตต์ ขยับออกไปยืนเป็นผู้เล่นริมเส้นที่สุดของ ลิเวอร์พูล ทางฝั่งขวาทันที
บางครั้งการเคลื่อนที่แบบนี้ก็เป็นไปอย่างตั้งใจแบบเห็นชัดมากขึ้นด้วย อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้บอลจากการจ่ายขวางสนามมา เอลเลียตต์ วิ่งโอเวอร์แลปขึ้นไปทันที เปิดพื้นที่ให้นักเตะหมายเลข 66 ได้เล่นด้านในอย่างมีอิสระ ก่อนที่จะได้เคาะบอลสวย ๆ จนกระทั่งยืนเข้ามาตรงกลางมากขึ้น
จังหวะนี้ได้ผลยอดเยี่ยมมาก ตำแหน่งยืนของ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นั้นแทบจะใกล้เคียงกับของ เควิน เดอ บรอยน์ เลยด้วยซ้ำ และเขาก็ได้โอกาสวางบอลขึ้นหน้าไปให้กับ ซาดิโอ มาเน่
ลิเวอร์พูล ใช้กลยุทธิ์สลับพื้นที่ทางฝั่งขวาแบบนี้ในการเผชิญหน้ากับทีมที่ลงไปตั้งรับลึก ซึ่งย้อนไปก่อนหน้านี้ 2 ฤดูกาล พวกเขาก็เคยทำมาแล้วในเกมเปิดบ้านเจอกับ แอตเลติโก มาดริด ตอนนั้นเป็น อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่ทำหน้าที่เดียวกับ เอลเลียตต์ และมักจะวิ่งโอเวอร์แลปออกไปด้านนอกอยู่บ่อย ๆ
ในเกมกับ แอตเลติโก เป็นตำแหน่งของ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่มาคราวนี้กลายเป็น อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ที่สร้างสรรค์เกมได้อย่างยอดเยี่ยม
เมื่อมองที่ภาพซึ่งมีวงกลมไฮไลท์ 3 มิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล อยู่ จะเห็นได้เลยว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ นั้นยืนสูงขึ้นมาอีก จนบางทีอาจทำให้คุณเผลอคิดว่าเขาคือผู้เล่นตำแหน่งหมายเลข 10 ที่ยืนเหนือสุดของรูปทรงไดมอนด์
ประตูที่สองของ ลิเวอร์พูล ในเกมเมื่อเดือนที่แล้วเป็นตัวอย่างที่รวบรัดสำหรับสิ่งที่พวกเขาพยายามทำกันมาตลอด 68 นาทีก่อนหน้านั้น เอเลียตต์ วิ่งไปยังพื้นที่ด้านนอก ก่อนที่จะจ่ายบอลมาตรงกลางให้กับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ซึ่งวางบอลอย่างเหมาะเจาะต่อไปให้ มาเน่ ซัดประตู นี่เป็นแอสซิสต์ครั้งที่ 34 ของเขาแล้วใน พรีเมียร์ลีก ซึ่งมันมาด้วยการเล่นอย่างซับซ้อน
ในเวลาไล่เลี่ยกันที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บทบาทของ ไคล์ วอล์คเกอร์ ในเกมกับ นอริช ซิตี้ ก็มีความแตกต่างออกไปเช่นกัน
เขาไม่ได้เติมขึ้นไปในพื้นที่สุดท้าย แต่ก็เหมือนกับ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ การมีส่วนร่วมในเกมหลัก ๆ จะมาจากช่องว่างทางฝั่งขวา แทนที่จะวิ่งโอเวอร์แลปขึ้นไปตามแบบฉบับดั้งเดิม การเล่นบอลทางริมเส้นของทีมเรือใบสีฟ้าในวันนั้นจะมาจาก กาเบรียล เชซุส และหน้าที่หลักของ วอล์คเกอร์ ก็คือการยืนอยู่หลังตัวรุกชาวบราซิล พยายามยืนให้ชิดกันไว้ คอยเคลื่อนบอลไปตรงกลาง และคอยขวางจังหวะโต้กลับเร็ว
ทั้งคู่ประสานงานกันบ่อยครั้ง วอล์คเกอร์ จ่ายบอลให้ เชซุส ไป 25 ครั้ง และ เชซุส จ่ายบอลให้ วอล์คเกอร์ ไป 22 ครั้ง หากต้องการเห็นภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็ให้ลองดูที่ภาพทิศทางการจ่ายบอล ลูกจ่ายของ วอล์คเกอร์ (เส้นสีแดง) ส่วนใหญ่จะเป็นการจ่ายจากด้านในออกสู่ด้านนอก และเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ส่วนของ เชซุส (เส้นสีน้ำเงิน) เกือบทั้งหมดจะเป็นการจ่ายจากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน และเคลื่อนที่ไปข้างหลัง
โดยปกติแล้วคุณจะไม่ค่อยเห็นการจ่ายบอลแบบนี้บ่อยนักจากฟูลแบ็คสู่ปีกในเกม พรีเมียร์ลีก บางทีที่ใกล้เคียงที่สุดก็อาจจะเป็นทีมหญิงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยด้วยซ้ำ พวกเธอเล่นในแนวทางคล้ายกัน
มีเพียง 2 ครั้งเท่านั้น จากจังหวะจ่ายบอล 47 ครั้งของ วอล์คเกอร์ และ เชซุส ที่ไปจบลงในพื้นที่เขตโทษของ นอริช แต่ทั้ง 2 ครั้งนั้นก็เป็นจังหวะสำคัญ
วอล์คเกอร์ จ่ายบอลก่อนจังหวะแอสซิสต์ 2 ครั้ง และ เชซุส ก็มีชื่อเป็นผู้ทำ 2 แอสซิสต์ในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของ ซิตี้ ในยุค กวาร์ดิโอล่า นั่นก็คือปีกคนหนึ่งจ่ายบอลเข้ามาในกรอบ 18 หลา ให้ปีกอีกคนยิงเข้าไป ซึ่งทั้ง 2 ครั้งนั้นการจ่ายของ วอล์คเกอร์ ก็เข้าจังหวะพอดีกับการวิ่งขึ้นหน้าที่ยอดเยี่ยมของ เชซุส โดยครั้งแรกนั้นผู้จบสกอร์ก็คือ แจ็ค กรีลิช ซึ่งแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเข้าใจแนวทางการวิ่งของปีกในระบบการเล่นแบบนี้
พวกเขาทำในแบบที่แทบจะเหมือนกันอีกครั้งในครึ่งหลัง โดยคราวนี้คนยิงประตูเปลี่ยนเป็น ราฮีม สเตอร์ลิง
ทัชแมพที่แสดงชี้ให้เห็นว่า วอล์คเกอร์ สัมผัสบอลในเกมกับ นอริช ในพื้นที่ฝั่งขวาด้านในมากกว่าค่าเฉลี่ยของเขาใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลก่อน
นั่นเท่ากับว่าทีมชาติอังกฤษมีตัวเลือกแบ็คขวาที่น่าสนใจถึง 2 คน ซึ่งตำแหน่งนี้ก็เคยเป็นที่ถกเถียงกันมากก่อนหน้าการแข่งขัน ยูโร เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องติดตามกันว่าทีมสิงโตคำรามจะมีแนวทางการเล่นอย่างไรต่อไป
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ในตำแหน่งเดียวกันก็ยังมีอีกตัวเลือกคือ รีซ เจมส์ ซึ่งเล่นได้อย่างโดดเด่นให้กับ เชลซี ในเกมปราบ อาร์เซน่อล ซึ่งผู้เล่นทั้ง 3 คนก็ไม่มีใครที่เล่นเป็นแบ็คขวาตามแบบฉบับดั้งเดิมเลยสักคน
เจมส์ รับบทบาทเป็นวิงแบ็คในเกมที่ เอมิเรตส์ โดยยืนสูงจนแทบจะเป็นแนวเดียวกับแผงหลังฝั่งตรงข้ามเลยด้วยซ้ำ ส่วน อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เป็นแบ็คขวาที่ชอบหุบเข้ามาเป็นเพลย์เมคเกอร์ คอยหาช่องจ่ายบอลทะลุขึ้นหน้า ขณะที่ วอล์คเกอร์ เป็นฮาล์ฟแบ็คที่เน้นจ่ายบอลออกด้านนอกไปให้กับปีกที่วิ่งขึ้นไปทางริมเส้น
เซาธ์เกต จะได้โอกาสตัดสินใจเลือกใช้งานทั้ง 3 คน ในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก เพื่อหาคำตอบไม่ใช่แค่ว่าใครคือนักเตะที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่รวมถึงบทบาทแบ็คขวาแบบไหนที่เหมาะกับทีมชาติอังกฤษมากที่สุดด้วย
(เรียบเรียงจากบทความ Alexander-Arnold and Walker show there is more to right-backs than playing on the right and being at the back
เขียนโดย ไมเคิล ค็อกซ์ ลงในเว็บไซต์
theathletic.com
เมื่อ 27 สิงหาคม 2021
เรียบเรียงโดย ณัฐดนัย เลิศชัยฤทธิ์)
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย