Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เศรษฐวาสิก by JF.
•
ติดตาม
4 ก.ย. 2021 เวลา 01:08 • ปรัชญา
คนเราคบกัน ... อยู่ที่บุญเคยทำ กรรมเคยก่อ
คนเรา เมื่อตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน
ต่างฝ่าย ต่างทำดีที่สุด
ให้กับ " คนอีกฝ่ายหนึ่ง " แล้วหรือยัง
2
คำถามนี้ เราขออนุญาตถามตัวเราเอง
และขออนุญาตถามเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน
ถามด้วยใจ ที่มิได้มีเจตนาจะล่วงเกิน หรือกร้าวร้าว
หากแต่เป็นความรู้สึกที่อยากจะขอให้เป็นการร่วมแบ่งปัน
ร่วมเตือนสติ ร่วมฉุกคิด และร่วมส่งเสริมซึ่งกันและกัน มากกว่า
หากทำให้ท่านใดเข้าใจผิด คิดคลาดเคลื่อน ประการใด
ขอได้โปรดประทานอภัย และอย่าถือสา ว่ากล่าวกัน .. นะครับ
จากคำว่า " คนอีกฝ่ายหนึ่ง "
ในประโยคที่เราเขียนจั่วหัวไว้ข้างบน
เราหมายถึงใครก็ได้ ทุกสถานะ ทุกความสัมพันธ์
ทุกเพศสภาพ ทุกอายุวัย ทุกเงื่อนไขปัจจัย
ไม่ว่าคนๆ นั้น จะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง
ญาติสนิท มิตรสหาย ศัตรู คู่อริ
หรือแม้กระทั่ง แฟนที่รัก คนรู้ใจ
เพราะถ้าถึงเวลาที่ต้องพรากจากกัน
ต่อให้มีเงินทองกองท่วมฟ้า
มีอำนาจบารมีท่วมท้นพ้นแผ่นดิน
ก็เรียก “ คนอีกฝ่ายหนึ่ง ” ที่ว่านั้น
ก ลั บ คื น ม า ไ ม่ ไ ด้
เรื่องราวที่เราเขียนเล่าข้างล่างนี้
ความจริง เราได้เคยอ่านมานานมาแล้ว
ในฟอร์เวิร์ดเมล์ ที่เราก็จำไม่ได้
และไม่สามารถสืบค้นถึงต้นฉบับว่า
มาจากท่านใดเขียนแต่งเอาไว้
ความซาบซึ้ง ความประทับใจ ในวันที่ได้อ่าน
ยังคงคุกรุ่นอุ่นสมองและความรู้สึกไม่เลือนหาย
กอปรกับส่วนตัว ก็เคยได้ผ่านวันเวลา
ท่ามกลางความทรงจำที่ร้าวลึก
กับ " คนอีกฝ่ายหนึ่ง " เช่นกัน
ทั้ง พ่อ น้อง แฟน เพื่อน
ผู้หลักผู้ใหญ่ คนที่นับถือ คนเคยรู้จัก
สิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนสติตัวเองอยู่เป็นประจำ
คือต้องรู้จักถนอมบุญสัมพันธ์ที่พึงมีต่อกันไว้ให้ดีที่สุด
เพราะมนุษย์เรา ไม่มีใครรู้ก่อนใครได้เลยว่า
ใคร ต้องพรากจาก ใคร .. เมื่อไร และอย่างไร
เรื่องราวที่เคยอ่านในวันนั้น
วันนี้ เราขออนุญาตนำมารีไร้ท์ใหม่ในแบบฉบับของเราเอง
หากบังเอิญ เจ้าของเรื่องที่เคยเขียนไว้
ได้แวะผ่านเข้ามาอ่าน และรู้สึกคุ้นกับโครงเรื่อง
เราขอกราบอภัยมา ณ ที่นี้
และขอขอบคุณในแง่งามของการเตือนสติ
ผ่านเรื่องราวที่ว่านี้ด้วยนะครับ
เรื่องราวในแบบฉบับของเรา
เปิดฉากมา ก็เป็นความรันทดหดหู่
ที่กระทาชายนายหนึ่ง ป่วย โทรม .. เรื้อรัง !!
และที่สำคัญ
ป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหาย
แม้เขาจะหาหมอพบแพทย์ ยังไง
อาการป่วยที่เป็นอยู่ ก็ไม่หาย ไม่ดีขึ้นสักที !!
กระทั่งวันหนึ่ง ที่กระทาชายนายนั้น
ขณะกำลังนอนซมอยู่บนเตียงหลังใหญ่
ในบ้านหลังโต โก้หรู ของเขา
หลวงตาชราท่านหนึ่ง ได้เดินผ่านมา
และหยุด !! อยู่ตรงที่หน้าบ้านเขา !!
ราวกับตั้งใจที่จะหยุด เพื่อบางสิ่งอย่าง
ขอบคุณเครดิตภาพจากเว็ป pixabay.com
สิ้นเสียงเคาะประตูเพียงไม่นาน
เด็กรับใช้ภายในบ้านคนหนึ่ง
ก็เปิดประตูด้วยอาการกระหือกระหอบ
หลังจากที่วิ่งโล่มาอย่างเร่งรีบ
...
...
" อืม ... ขอรับหลวงตา
ตอนนี้ เอ่อ ... เราคงไม่สะดวกจะทำบุญหนะขอรับ
นิมนต์ข้างหน้าก่อนดีกว่า นะ !! "
เด็กรับใช้พูดตอบด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ อ่อนน้อม
ภายใต้ความรู้สึกที่เกรงใจ
หลังจากที่ได้เห็นว่า
เจ้าของเสียงเคาะประตูบ้าน คือหลวงตา !!
หลวงตาชรา ยิ้มอย่างมีเมตตา
ก่อนจะเอ่ยตอบเด็กรับใช้วัยรุ่นผู้นั้นว่า
" อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
อาตมาแค่พอมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง
ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าพอจะช่วยได้หรือเปล่า แค่ไหน
ว่าแต่ .. ในบ้านหนะ มีคนป่วยอยู่ ไม่ใช่รึ "
เด็กรับใช้ยืนนิ่ง สติขาดหายไปชั่วครู่
" เอิ่ม ... กระผม ตัด..ตัดสินใจเองไม่ได้หรอกขอรับ
ขอ..ขอไป ถามเจ้านายกระผมก่อน จะดีกว่านะ ขอรับ "
เสียงตอบหลวงตาของเด็กรับใช้ หลังจากที่ได้สติกลับคืน
ก่อนจะวิ่ง หายเข้าไปในบ้าน
เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเจ้านายฟัง
ด้วยท่าทีที่ยังไม่หายอึ้งกับเหตุการณ์
โดยไม่ได้สนใจว่า หลังจากที่ตนวิ่งกลับเข้าไปในบ้านแล้ว
หลวงตายังยืนรออยู่ที่หน้าประตูด้วยทีท่าอย่างไร หรือเปล่า
" อึ่ม !! .. ถ้าท่านอยากเข้ามา ก็ให้เข้ามา !! "
เสียงตอบตัดความรำคาญของเจ้านายผู้ป่วยโทรม
ซึ่งเป็นคำตอบชี้ชัด แทนคำอนุญาตที่เด็กรับใช้ได้รับ
หลังจากที่เล่าเรื่องจบ และต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันสักครู่
" นิมนต์ข้างใน ขอรับหลวงตา
เจ้านายกระผม อนุญาตแล้วขอรับ "
เด็กรับใช้กล่าวนิมนต์หลวงตาเข้ามาในบ้าน
และเดินนำทาง มาจนถึงห้องนอนของเจ้านาย
...
...
ภายในห้องนอนที่ดูโอ่อ่า สง่างาม และหรูหรา
เพียบพร้อมด้วยเฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียง ที่หลากสีสัน
ให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าพักอาศัย
หากแต่ขัดกันนัก กับสังขารที่โทรม ทรุด
ของชายเจ้าของบ้าน ที่นอนทอดตัวนิ่ง
หมดอาลัยตายอยาก
เรียวหน้าที่ซูบ ตอบ และซีดเผือด
ประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
สภาพร่างกายที่ผอม แห้ง ดูโรยรา
ไม่แตกต่างกับกองกระดูก
ที่พอมีเศษเนื้อเศษหนังหุ้มอยู่บ้าง
ชวนให้ผู้พบเห็น อดที่จะสังเวชใจไม่ได้
1
หลังจากจัดแจงหาเก้าอี้มาถวายหลวงตา
ให้นั่งอยู่ข้างๆ เตียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เด็กรับใช้คนเดิม
และคนเดียวที่คอยเฝ้าดูแลเจ้านายที่ป่วยโทรม
ก็เดินหายไปสักครู่ใหญ่
ก่อนจะกลับมาพร้อมน้ำท่าที่เตรียมมาถวาย
หลวงตายิ้ม มองดูชายเจ้าของบ้านที่ป่วยทรุด
แล้วพูดขึ้นด้วยความห่วงใย
" อาการหนักเลยน่ะนี่ !! "
1
ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับ จากชายเจ้าของบ้าน
ด้วยว่าเขาเลือกที่จะนิ่ง และเงียบ
ไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูดกับเขา
หลวงตาตรวจดูอาการของเขาอย่างผ่านๆ พอเป็นพิธี
ก่อนจะพูดขึ้น ทำลายบรรยากาศความเงียบชั่วขณะอีกครั้ง
" โทรมมากเลยนะ !! โทรมจริงๆ !! ..."
ชายเจ้าของบ้าน ยังคงไม่สนใจคำพูดของหลวงตา เช่นเดิม
" ... ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองมองดูที่กระจกนั่นสิ !! ... "
ถึงแม้จะไม่ได้ใส่ใจ หรือสนใจในคำพูดของหลวงตา
แต่ด้วยความบังเอิญที่หางตา เหลือบไปทางกระจกแต่งตัว
ทันใดนั้นเอง !!
ภาพคนรักของเขา คนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้
ก็ปรากฏขึ้นเต็มบานกระจก
ก่อนจะเลือนลาง และค่อยๆ จางหายไป
กลายเป็นภาพของทิวทัศน์ชายทะเล
เป็นชายทะเลในบานกระจก ที่เงียบ สงบ
ไม่มีแม้ใครสักคนที่จะเดินผ่านไปมา
ขอบคุณเครดิตภาพจากเว็ป pixabay.com
...
...
ในขณะที่ชายเจ้าของบ้านผู้ป่วยโทรม
กำลังมองภาพที่ปรากฏอยู่ในกระจก
อย่างจดจ่อและตั้งใจอยู่นั้น
พลันภาพที่เขาได้เห็นถัดต่อจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที
ก็เป็นภาพ ศพหญิงสาวคนหนึ่ง
ซึ่งนอนตาย อยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า ตรงชายหาด
ไม่นานต่อมา ก็มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมาตรงบริเวณนั้น
และทันทีที่ได้เห็นศพหญิงสาว ก็รีบเดินเลี่ยงๆ
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความรู้สึกที่รังเกียจ
ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากเห็น และไม่อยากดู
ทิ้งช่วงนานอีกสักครู่ใหญ่ ก็มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขา มองดูศพหญิงสาว ด้วยความสงสาร เวทนา
และตัดสินใจถอดเสื้อนอกที่ตัวเองสวมอยู่
คลุม ห่อศพนั้น ก่อนจะเดิน ... จากไป
โดยไม่ติดใจสงสัยอะไรมากมาย
1
ทะเล ... ยังคงสงบ นิ่ง
มีเพียงเสียงอันแผ่วเบาของระลอกคลื่นเล็กๆ
ที่ซัดกระทบพื้นทรายอย่างเบาๆ เท่านั้น
เบาจนแทบจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ตั้งใจฟัง
บรรยากาศโดยรอบ แลดูเงียบเหงา และวังเวง
1
กระทั่งเมื่อ มีชายอีกคนเดินผ่านมา เป็นคนที่สาม
ชายคนที่สามนี้ หลังจากเดินมาถึงตรงกองผ้า
ที่คลุมห่อศพหญิงสาวนั้นไว้
เห็นเป็นรูปทรงที่แปลก ผิดปกติ
ด้วยความฉงนสงสัย " ใครนะมาลืมเสื้อนอกไว้ตรงนี้ "
และทันทีที่เปิดห่อผ้านั้นออก ถึงได้เห็นเต็มตา
ว่าเป็นศพหญิงสาวที่ตายในสภาพเปลือยเปล่า
ด้วยจิตที่เมตตา สงสาร
และไม่อยากให้เป็นที่อุจาดตาแก่คนอื่นๆ
เขาจึงตัดสินใจ ว่า
จะช่วยฝังศพเธอให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยจากไป
แต่เนื่องจากไม่มีแม้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดๆ
ที่พอจะขุดหลุมทรายได้
เขาพยายามชะเง้อมองดูบริเวณโดยรอบแล้ว
มองแล้ว มองอีก
มองไกลสุดเท่าที่จะสามารถมองเห็น
แต่ก็ไม่พบไม่เห็นอะไรที่พอจะใช้งานได้
พลันจู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า
ก็มือทั้งสองข้างนี่แหละ ดีที่สุดแล้ว
1
โดยไม่ลังเล หรือละล้าละลัง
เขาเริ่มกอบทรายขึ้นมา
ทีละกำ สองกำ ... ทีละกำ สองกำ
เช่นนี้เรื่อยๆ กระทั่งถึงพลบค่ำ !!
ที่สุดแล้ว หลุมที่ขุด
ก็ใหญ่พอที่จะฝัง ศพหญิงสาวผู้นั้นได้
เขาจัดแจงฝังศพ กลบทรายอย่างบรรจง และตั้งใจ
ก่อนเดินจากไป ด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบ
ที่ได้ทำบางสิ่งอย่างที่ควรทำ
และ ฉับพลันทันใด
ภาพที่ปรากฏบนบานกระจก
ที่ชายเจ้าของบ้าน มองดูอยู่อย่างจดจ่อ
ก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงสาวคนนั้นขึ้นอีกครั้ง
ก่อนจะค่อยๆ ... และค่อยๆ เปลี่ยน
สร้างความตกตะลึงให้แก่เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว
กลายเป็นภาพของหญิงคนรักของเขา
คนที่เคยคบหาดูใจ จนรู้ใจกันอย่างลึกซึ้ง นานกว่า 3 ปี
เป็นหญิงสาวที่ตกลงปลงใจจะแต่งงานด้วยกับเขา
แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ตัดสินใจ
แต่งงานกับชายคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยที่เธอเองก็ยินดีและเต็มใจ
ไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด
ทำเอาเขา ท้ังงุนงง เสียใจ ไม่เป็นอันกินอันนอน
ตรอมใจ จนป่วยหนัก และเป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบัน
จากภาพของหญิงคนรักที่ปรากฏผ่านบานกระจก
ครู่ใหญ่ต่อมา เขาก็เห็นเป็นภาพของชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆ จาง ... จาง และจางหายไป
เหลือเพียงภาพเงาของตัวเขาเอง
ขอบคุณเครดิตภาพจากเว็ป pixabay.com
" ทีนี้ เข้าใจหรือยังล่ะ !!...
ศพหญิงสาวนั้น ก็คือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ
ก็คือชายที่ผูกบุญวาสนาร่วมกับเธอหนึ่งภพชาติ
ชาตินี้ เธอจึงแต่งงานกับเขา
ส่วนโยม แค่ช่วยคลุมห่อศพที่เปลือยเปล่าของเธอ
ผูกบุญวาสนากับเธอ เพียงแค่ 3 ปี
เมื่อครบกำหนด 3 ปี ... วาสนานั้นจบสิ้น
ก็ต้องแยกจากกัน !! "
1
หลวงตาพูดอธิบายให้ชายเจ้าของบ้านฟังเพิ่มเติม
ด้วยน้ำเสียงที่นิ่ง สุขุม ลุ่มลึก
สิ้นคำอธิบายของหลวงตา
ชายเจ้าของบ้าน ก็กระอักเลือดออกมา
เด็กรับใช้ตกใจลนลาน
ในขณะที่หลวงตานิ่ง ยิ้ม ก่อนจะพูดว่า
" รอดแล้วล่ะโยม !!
โยมกระอักเลือดเสียที่คั่งค้างในตัวออกมาได้เสียที
1
...
...
โยม รอดแล้ว "
" และขอให้โยม จงเข้าใจด้วยเถิด
คนเรา ได้พบปะเจอะเจอกัน มิใช่เรื่องบังเอิญ !!
ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะบุญเคยทำ กรรมเคยก่อ ทั้งสิ้น
เมื่อบุญมาวาสนาถึง แม้ไม่ร้องขอ ก็ได้เวียนมาเจอ
แม้ถึงคราสิ้นบุญสูญวาสนา
จะฉุดยื้อถือรั้งอย่างไร ก็เอาไม่อยู่
ก็ต้องพราก ต้องจากกันไป "
" หวังว่าโยมจะคิดได้ ปลงตก
และปล่อยวาง
ซึ่งไม่ได้เพื่อใครเลย
แต่เพื่อตัวของโยมเอง
อาตมาหมดธุระแล้ว
คงต้องขอตัวลาก่อน
เจริญพร "
สิ้นสุดคำอรรถาธิบายและกล่าวลา
หลวงตาชราก็ผละออกจากห้องนอนของชายเจ้าของบ้าน
เดินตรงออกนอกบ้านไป
โดยมีเด็กรับใช้ที่ยังงุนงงกับเหตุการณ์
ตามประชิดไปส่ง และพนมมือขึ้นไหว้
ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
หากแต่หนักแน่นในความรู้สึก
" ขอบพระคุณหลวงตามากนะขอรับ "
และจากวันนั้นไม่นาน
ก็ไม่มีใครได้พบเห็นชายเจ้าของบ้าน
ในคราบของฆราวาสอีกเลย
เพราะเขา ได้ออกบวช ถือเพศบรรพชิต
โดยมิได้คิดสึก คืนสู่โลกโลกีย์อีกต่อไป
" เมื่อบุญมาวาสนาถึง แม้ไม่ร้องขอ ก็ได้เวียนมาเจอ
แม้ถึงคราสิ้นบุญสูญวาสนา
จะฉุดยื้อถือรั้งอย่างไร ก็เอาไม่อยู่
ก็ต้องพราก ต้องจากกันไป "
ไม่ว่าจะ จากตาย หรือ จากเป็น
ที่สุดแล้ว ก็คือสิ่งเตือนใจ
ที่ทำให้เราคิดและตระหนักรู้ อยู่เสมอ
" คนเรา เมื่อตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน
ต่างฝ่าย ต่างทำดีที่สุด
ให้กับ " คนอีกฝ่ายหนึ่ง " แล้วหรือยัง "
บันทึก
3
6
6
3
6
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย