Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ธ
ธรรมะจากพระไตรปิฎก
•
ติดตาม
5 ก.ย. 2021 เวลา 15:41 • การศึกษา
ไม่ถึงฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ ของพระโพธิสัตว์
ที่มา
https://www.dmc.tv
พระโพธิสัตว์ ไม่ถึงฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านไม่ต้องเสียเวลา หรือถูกยืดระยะเวลาในการสั่งสมบุญสร้างบารมี เพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกไปอีก
สำหรับอานิสงส์พิเศษทั้ง 18-ประการที่บังเกิดขึ้นมานั้น ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพระโพธิสัตว์ ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว เพราะจะทำให้ท่านสามารถสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ซึ่งอานิสงส์พิเศษดังกล่าวนี้ จะบังเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์ได้ประกอบธรรมสโมธานทั้งแปดประการ และพุทธภูมิธรรมอันยิ่งใหญ่อีกสี่ประการ อย่างเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ อนิยตโพธิสัตว์ และนิยตโพธิสัตว์
๑. อนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคย ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลย เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสร้างบารมี ด้วยการคิดอยู่ในใจ และการเปล่งวาจา ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยัง ไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
๒. นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ย่อมเที่ยงแท้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งนิยตโพธิสัตว์นี้จะต้องประกอบด้วย ธรรมสโมธาน ๘ ประการ
อนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลยเพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสร้างบารมีด้วยการคิดอยู่ในใจ และการเปล่งวาจาซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
นิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ย่อมเที่ยงแท้ว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งนิยตโพธิสัตว์นี้จะต้องประกอบด้วย ธรรมสโมธาน ๘ ประการ คือก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็นครั้งแรกว่า “ตัวท่านจักได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต”-พระโพธิสัตว์ท่านนั้น จะต้องประกอบด้วยธรรมอันสำคัญยิ่งประการหนึ่ง นั่นก็คือ ธรรมสโมธาน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดแปดประการ ดังต่อไปนี้ คือ
๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจักทรงพยากรณ์แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ถึงแม้จะเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่แค่ไหนก็ตามพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 1.ได้แก่ ความปรารถนาที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ธรรมสโมธานข้อนี้ถือเป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์จำเป็นจะต้องมี ทั้งนี้ก็เป็นเพราะการได้อัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์นั้น พระโพธิสัตว์จะสามารถสั่งสมบุญและสร้างบารมีได้ดียิ่งกว่าการไปเกิดในอัตภาพอื่นๆ เช่น อัตภาพของเทวดา พรหม อรูปพรหม หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น
ที่เป็นเช่นนี้ก็เป็นเพราะการได้อัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์นั้น จะทำให้ได้กายหยาบที่มีลักษณะแข็งแกร่งมากกว่าการได้ไปเกิดในอัตภาพของเหล่าเทวดา พรหม อรูปพรหมทั้งหลาย ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ก็เพื่อใช้อัตภาพแห่งความเป็นมนุษย์นี้สั่งสมบุญสร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลังนั่นเอง
๒. เกิดเป็นเพศชาย เพราะไม่เป็นเพศวิบัติ เป็นบุรุษเพศ แต่ถ้าเป็น เพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก) พุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 2.ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยเพศ ซึ่งการที่พระโพธิสัตว์จะมีโอกาสได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้องมีเพศที่ไม่วิบัติ หรือไม่เป็นอภัพบุคคล นั่นก็คือ จะต้องเป็นบุรุษเพศหรือเพศชายเท่านั้น เนื่องจากบุรุษเพศจะมีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกับลักษณะของกายมหาบุรุษมากที่สุด และยังเป็นกายที่สามารถสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย
แต่ถ้าไม่ได้...ความถึงพร้อมด้วยเพศชาย กล่าวคือ เป็นเพศหญิง บัณเฑาะว์ กะเทย หรือเป็นบุคคลมีสองเพศในคนเดียวกัน ที่เรียกว่า อุภโตพยัญชนก พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แก่พระโพธิสัตว์ท่านนั้นอย่างเด็ดขาด
๓. มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัต ในขันธสันดานอย่างแรงกล้า เพราะหากว่าเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุ คือความเป็นพระอรหัตยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีความแก่กล้าในขันธสันดาน พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 3.ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยเหตุ หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องมีอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ในขันธสันดาน1อย่างแรงกล้า จึงจะมีโอกาสได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ แต่ถ้าหากว่าอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ของท่านยังไม่เกิดขึ้น หรือแม้เกิดขึ้นแล้ว แต่อุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ในขันธสันดานยังไม่แก่กล้า พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ให้แก่พระโพธิสัตว์ท่านนั้นอย่างเด็ดขาด
ด้วยความที่พระโพธิสัตว์มีอุปนิสัยแห่งความเป็นพระอรหันต์ในขันธสันดานอย่างแรงกล้านี้เอง จึงเป็นผลทำให้เมื่อท่านได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ท่านจึงสามารถตรองตามธรรมของพระพุทธองค์ที่ทรงแสดงได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังพร้อมที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ณ บัดเดี๋ยวนั้นได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความตั้งใจเดิมของพระโพธิสัตว์ที่มิได้มีความปรารถนาเพียงแค่การได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เพราะในใจของท่านมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นก็คือ...การได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ท่านจึงยังไม่ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ในตอนนั้น
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 4.ได้แก่ การได้เกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับธรรมสโมธานข้อนี้ ถือเป็นโอกาสอันสำคัญยิ่ง ที่จะทำให้พระโพธิสัตว์ได้มีโอกาสสั่งสมบุญครั้งใหญ่ พร้อมทั้งตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์ และเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูความสำเร็จแห่งความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ ด้วยอนาคตังสญาณแล้ว พระองค์ก็จะทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แก่พระโพธิสัตว์ท่านนั้น ซึ่งพุทธพยากรณ์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องออกมาจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง การได้เกิดมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับพระโพธิสัตว์ผู้มีความปรารถนาที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะถ้าหากพระโพธิสัตว์ได้พบแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า หรือได้พบแต่สถานที่อันเป็นสิ่งแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาทิ เช่น พระเจดีย์หรือต้นโพธิ์ เป็นต้น แม้พระโพธิสัตว์จะมีความเลื่อมใสมากเพียงใด แต่ท่านก็จะไม่สามารถที่จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 5.ได้แก่ การได้บรรพชา คือ การที่พระโพธิสัตว์มีอัธยาศัยน้อมไปในการออกบวช ซึ่งไม่ว่าท่านจะออกบวชเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกพระพุทธศาสนาก็ตาม แต่ถ้าหากท่านเป็นสัมมาทิฐิ มีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม (เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว)-และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิตแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต แก่พระโพธิสัตว์ท่านนั้น
แต่ถ้าหากพระโพธิสัตว์ดำรงตนอยู่ในเพศของคฤหัสถ์ แม้ท่านจะปรารถนาความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากสักเท่าไหร่ ท่านก็ไม่สามารถที่จะทำความปรารถนาของท่านให้สำเร็จได้ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะชีวิตของการครองเรือนนั้น เป็นชีวิตที่ถูกผูกมัดด้วยเครื่องจองจำต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความห่วงใยในบุตร ภรรยา ทรัพย์สินเงินทอง เป็นต้น จึงทำให้ท่านไม่สามารถสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังเหมือนกับชีวิตของนักบวช
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 6.ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยคุณวิเศษ หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าคนธรรมดาสามัญทั่วไป โดยท่านจะต้องมีความเชี่ยวชาญในอภิญญาและฌานสมาบัติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงจะทรงพยากรณ์ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตแก่พระโพธิสัตว์ท่านนั้น
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 7.ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยการกระทำอันยิ่ง หมายความว่า พระโพธิสัตว์จะทำในสิ่งที่เหนือเกินกว่าการกระทำของมนุษย์ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากสิ่งไหนเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ และเป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพานแล้ว แม้คนธรรมดาทั่วไปจะไม่กล้าที่จะคิด พูด หรือทำในสิ่งนั้น แต่ท่านกลับมีความกล้าที่จะคิด พูด และทำในสิ่งนั้น ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเพียรและความมุ่งมั่น จนกระทั่ง ท่านสามารถทำสิ่งนั้นสำเร็จได้ในที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวการบำเพ็ญปรมัตถบารมีของพรหมกุมารโพธิสัตว์ ผู้มีจิตใจอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านยอมสละชีวิตของตัวเองเป็นทานให้แก่แม่เสือ ที่กำลังจะกินลูกของตัวเองด้วยความหิวโซ ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากอย่างยิ่ง แต่ด้วยความที่ท่านมุ่งหวังการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นสำคัญ ท่านจึงกล้าที่จะเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสั่งสมบุญสร้างบารมี ด้วยเหตุแห่งความถึงพร้อมด้วยการกระทำอันยิ่ง เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปนี้เอง ท่านจึงได้รับพุทธพยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
ธรรมสโมธาน ข้อที่ 8.ได้แก่ ความถึงพร้อมด้วยความพอใจ หมายความว่า ทุกภพทุกชาติที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดมา ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉานก็ตาม ท่านจะมีความรักและปรารถนาความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีอุปสรรคขวากหนามเกิดขึ้นมาขัดขวางการสร้างบารมีของท่านมากสักเพียงไร แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อและไม่หวาดกลัวต่ออุปสรรคเหล่านั้นเลย ทั้งนี้ก็เป็นเพราะจิตใจของท่านรักและมุ่งมั่นที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณให้ได้เป็นสำคัญ
๑. ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะพระพุทธเจ้าจักทรงพยากรณ์แต่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่แค่ไหนก็ตามพระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์
อย่างเด็ดขาด
๒. เกิดเป็นเพศชาย เพราะไม่เป็นเพศวิบัติ เป็นบุรุษเพศ แต่ถ้าเป็น เพศหญิง หรือเป็นบัณเฑาะว์ หรือเป็นกะเทย หรือเป็นบุคคลมี ๒ เพศ (อุภโตพยัญชนก) พุทธ-องค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์อย่างเด็ดขาด
๓. มีอุปนิสัยแห่งพระอรหัตในขันธสันดาน อย่างแรงกล้า เพราะหากว่าเป็นบุคคล
ธรรมดาที่ไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุ
คือความเป็น พระอรหัตยังไม่เกิดขึ้น ไม่มีความแก่กล้าในขันธสันดาน พระพุทธองค์ก็จะไม่ทรงพยากรณ์ อย่างเด็ดขาด
๔. ได้พบพระพุทธเจ้า และได้บำเพ็ญกุศลใหญ่แล้วได้ตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์ เพราะว่า การได้รับพยากรณ์จักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยพุทธฎีกา อันหลั่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
๕. เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกพระพุทธศาสนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าบุญบาปมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิต
๔. ได้พบพระพุทธเจ้า และได้บำเพ็ญกุศลใหญ่แล้วได้
ตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธองค์
เพราะว่าการได้รับพยากรณ์จักเกิดขึ้นได้ต้องอาศัย
พุทธฎีกาอันหลั่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
เท่านั้น
๕. เป็นนักบวชในพระพุทธศาสนา หรือนอกพระพุทธศาสนา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเป็นผู้ที่มีความเชื่อว่าบุญบาปมี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และมีความมั่นคงในเพศบรรพชิต
๖. มีคุณวิเศษ คือทรงอภิญญา สมาบัติอันเชี่ยวชาญ เพราะเป็นคุณสมบัติพิเศษเกินคนธรรมดาสามัญจักมีได้
๗. ได้เคยบำเพ็ญมหาทานบารมี โดยการสละชีวิตเพื่อแลกกับพระโพธิญาณมาก่อน เพราะเป็นปรมัตถมหาทานบารมี ที่ได้กระทำอย่างยิ่ง โดยเอาชีวิตเลือดเนื้อเข้าแลก
๘. มีความรัก พอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง ไม่ได้ท้อแท้ต่ออุปสรรคเพราะต้องมีฉันทะปรารถนาพระโพธิญาณเกินคนธรรมดา แม้จะให้ทนอยู่ในนรกอย่างทุกข์ทรมาน ตลอด ๔ อสงไขย กับอีกแสนมหากัป เพื่อแลกกับพระสัมมาสัมโพธิญาณก็ยอม
ไม่ถึงฐานะแห่งความอาภัพ ๑๘ ประการ”พระบรมโพธิสัตว์ผู้เที่ยงที่จะได้บรรลุพระโพธิญาณทั้งหลาย ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งพระพุทธบารมีที่ตนบำเพ็ญเป็นหลักเกณฑ์แน่นอน ๑๘ ประการ
๑. ไม่เป็นคนมีจักษุบอดมาแต่กำเนิด
อานิสงส์พิเศษประการที่ 1.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะไม่เป็นคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดมาพร้อมกับดวงตาที่สุกใสสว่างไสว และสามารถที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนเป็นปกติทั้งสองข้าง นั่นก็คือ...ดวงตาของท่านจะไม่มีวันมืดบอดหรือพร่ามัว ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
ตัวอย่างวิบากรรมที่ทำให้ตาบอด เช่น พระจักขุบาล ตาบอดเพราะเคยเป็นหมอใส่ยาพิษในดวงตาของคนไข้
กักขังสัตว์ในที่มืด
๒. ไม่เป็นคนหูหนวกมาแต่กำเนิด
อานิสงส์พิเศษประการที่ 2.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะไม่เป็นคนหูหนวกตั้งแต่กำเนิด หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเป็นผู้มีหูดีมาตั้งแต่แรกเกิด ที่สามารถจะรับฟังเสียงของสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนเป็นปกติทั้งสองข้าง นั่นก็คือ...หูของท่านจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการได้ยิน ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
วิบากกรรม สุนัขขัตตลิจฉวี ไม่บรรลุทิพยโสต เพราะเคยตบข้างกกหูเพื่อนภิกษุ
หูหนวกเพราะ เคยทำหูทวนลมกับพ่อแม่
๓. ไม่เป็นคนบ้า
อานิสงส์พิเศษประการที่ 3.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เป็นคนบ้า หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อม และมีดวงปัญญาที่สว่างไสวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความคิด คำพูด และการกระทำที่เป็นไปเพื่อการสร้างบารมี โดยที่ท่านจะไม่มีความผิดปกติหรือมีอาการบกพร่องทางจิตเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นก็คือ...ท่านจะไม่เกิดมาเป็นคนบ้า วิกลจริต หรือมีสติฟั่นเฟือน ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
วิบากกรรม สุรา ทำลายสติปัญญา
๔. ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย
อานิสงส์พิเศษประการที่ 5.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะไม่เป็นคนแคระและไม่เป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขา หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดมาเป็นผู้ที่มีรูปร่างลักษณะอันงดงาม สมส่วน กล่าวคือ ไม่สูงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป ไม่ผอมเกินไป และไม่อ้วนเกินไป อีกทั้งบุคลิกลักษณะท่าทางการเดินเหินของท่านก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธา ชนิดที่ว่า...ใครเห็นจะต้องเหลียวหลังหันกลับมาดูกันเลยทีเดียว ซึ่งท่านจะไม่มีความพิการทางร่างกายเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือ...ท่านจะไม่เกิดมาเป็นคนตัวเล็กจนเกินไป และจะไม่เกิดมาเป็นคนพิการ ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
ตัวอย่าง นางปัญจปาปา ทำบุญด้วยความโกรธ หรือนางขุชุตรา ล้อเลียนพระปัจเจกพุทธเจ้า
๕. ไม่เป็นคนใบ้
อานิสงส์พิเศษประการที่ 4.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เป็นคนใบ้ หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเป็นผู้ที่สามารถพูดจาสื่อสารกับผู้อื่นได้เป็นปกติ อีกทั้งวาจาของท่านก็ยังเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีอีกด้วย ซึ่งทุกๆถ้อยคำที่ท่านเปล่งออกมาล้วนเป็นถ้อยคำเพชร ถ้อยคำพลอย ที่ชักชวนให้ผู้อื่นรักในการสร้างความดี โดยที่ท่านจะไม่มีความบกพร่องทางด้านการสื่อสารด้วยวาจาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือ...ท่านจะไม่เกิดมาเป็นคนใบ้ที่พูดไม่ได้ ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
วิบากกรรมเถียงพ่อแม่ กรรมสุรา
๖. ไม่เกิดในประเทศป่าเถื่อน
อานิสงส์พิเศษประการที่ 6.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เกิดในชนชาติมิลักขะหรือชนชาติป่าเถื่อนไร้การศึกษา หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดในชนชาติที่มีอารยธรรมหรือมีการศึกษาที่ดีเท่านั้น พร้อมทั้งบุคคลรอบตัวของท่านก็จะมีแต่บัณฑิต นักปราชญ์ และกัลยาณมิตร ที่คอยชักชวนกันทำความดีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ท่านสามารถที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่เต็มกำลังมากยิ่งๆขึ้นไป นั่นก็คือ...ท่านจะไม่เกิดเป็นคนป่าเถื่อนที่อยู่ในดินแดนไร้อารยธรรม ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
มีทิฏฐิมานะ ไม่มีศีลธรรม ขาดสัมมาทิฏฐิ
๗. ไม่เกิดในท้องแห่งนางทาสี
อานิสงส์พิเศษประการที่ 7.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เกิดในท้องของนางทาสี หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดอยู่ในตระกูลสูงซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของมนุษย์ในยุคนั้น จึงทำให้ท่านมีอิสระในการดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ และสามารถที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย นั่นก็คือ...ท่านจะไม่ไปเกิดในตระกูลที่มีฐานะต่ำ ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
วิบากกรรม มีทิฏฐิมานะ วิบากกรรมใช้พระ นางขุชุตตรา
๘. ไม่เป็นคนมีความเห็นผิดเป็นนิยตมิจฉาทิฐิ
อานิสงส์พิเศษประการที่ 8.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะไม่เป็นผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างสุดโต่ง หรือที่เรียกว่า นิยตมิจฉาทิฏฐิ อย่างแน่นอน หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเป็นคนที่มีสัมมาทิฐิมาตั้งแต่เกิด กล่าวคือ เป็นคนที่มีความเห็นถูกต้องและตรงไปตามความเป็นจริง ซึ่งอานิสงส์ข้อนี้จะทำให้ท่านมีความคิด คำพูด และการกระทำที่ถูกต้องตามไปด้วย นั่นก็คือ...ท่านจะไม่มีความเห็นผิดอย่างรุนแรง จนทำให้ท่านหลุดจากเส้นทางการสร้างบารมีเพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
วิบากกรรม เห็นผิดเพราะคบคนพาล
๙. ไม่เป็นสตรีเพศ ไม่เป็นบัณเฑาะก์ ไม่เป็นกะเทย
อานิสงส์พิเศษประการที่ 9.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เป็นเพศหญิง ไม่เป็นบัณเฑาะก์ ไม่เป็นกะเทย หรือไม่เป็นบุคคลสองเพศที่เรียกว่า อุภโตพยัญชนก หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดมาเป็นบุรุษเพศหรือเพศชายเท่านั้น เนื่องจากบุรุษเพศจะมีรูปร่างลักษณะที่ใกล้เคียงกับลักษณะของกายมหาบุรุษมากที่สุด (แต่ถึงอย่างไรก็ตามร่างกายของมนุษย์เพศชายทั่วไป ก็ยังถือว่าห่างมากๆกับลักษณะของกายมหาบุรุษ)-และยังเป็นกายที่สามารถสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างดีที่สุดอีกด้วย นั่นก็คือ...ท่านจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีเพศไม่วิบัติ ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
เป็นสตรีเพศเพราะ วิบากกรรมกาเม
๑๐. ไม่ประกอบกรรมอันเป็นอนันตริยกรรม
อานิสงส์พิเศษประการที่ 10.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่กระทำอนันตริยกรรม หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะสั่งสมบุญสร้างบารมีอย่างเต็มที่เต็มกำลัง โดยที่ท่านจะไม่พลาดไปกระทำอนันตริยกรรมอย่างแน่นอน เพราะอนันตริยกรรม ถือเป็นครุกรรมหรือกรรมหนักของทางฝ่ายบาปอกุศล ที่จะส่งผลก่อนกรรมอื่นๆ โดยจะทำให้ผู้ที่พลาดพลั้งไปกระทำอนันตริยกรรมต้องตกอเวจีมหานรกในทันทีหลังจากที่เสียชีวิต
อนันตริยกรรม มี 5 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ปิตุฆาต คือ ฆ่าบิดา
2.มาตุฆาต คือ ฆ่ามารดา
3.อรหันตฆาต คือ ฆ่าพระอรหันต์
4.โลหิตุปบาท คือ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนทำให้พระโลหิตออก หรือทำให้ห้อพระโลหิต
5.สังฆเภท คือ ทำให้สงฆ์แตกแยก
นั่นก็คือ...ท่านจะไม่กระทำบาปหนักดังกล่าว ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
๑๑. ไม่เป็นคนมีโรคเรื้อน
อานิสงส์พิเศษประการที่ 11.ได้แก่ เมื่อท่านได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านย่อมไม่เป็นโรคเรื้อน หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเกิดมาเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง อีกทั้งท่านจะไม่เจ็บป่วยเป็นโรคติดต่อร้ายแรงจนเป็นที่น่ารังเกียจของสังคมอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถที่จะสั่งสมบุญ สร้างบารมีได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง โดยที่ท่านไม่ต้องมาเสียเวลา เงินตรา และอารมณ์ ที่จะต้องมารักษาพยาบาลตนเอง นั่นก็คือ...ท่านจะไม่มีเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
โรคเรื้อนเพราะ วิบากกรรรมปาณาติบาต
๑๒. เมื่อไปเกิดในกำเนิดแห่งสัตว์เดียรฉาน ย่อมเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในประเภทมีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และมีกายไม่ใหญ่กว่าช้าง
วิบากกรรมผิดศีล ทำให้เศษกรรมบังเกิดในเดรัจฉานภูมิ
อานิสงส์พิเศษประการที่ 12.ได้แก่ เมื่อท่านต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อันเนื่องมาจากวิบากกรรมในอดีตชาติ ท่านย่อมเป็นสัตว์ประเภทที่มีกายไม่เล็กกว่านกกระจาบ และไม่ใหญ่เกินกว่าช้าง หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี หากท่านจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
กายของท่านก็จะมีรูปร่างลักษณะที่พอดี สมส่วน ไม่เล็กจนเกินไปและไม่ใหญ่โตจนเกินไป อีกทั้งยังประกอบด้วยดวงปัญญาที่สว่างไสว มีความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานโดยทั่วไปทั้งหมด
โดยที่ในภพชาติสุดท้ายที่ท่านจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านจะเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยลักษณะมหาบุรุษทั้ง 32-ประการ และอนุพยัญชนะ (ซึ่งเป็นลักษณะปลีกย่อย)-อีก 80-ประการ นั่นก็คือ...แม้ท่านจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน กายของท่านก็ยังมีไว้ใช้สำหรับการสั่งสมบุญสร้างบารมี ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
๑๓. ไม่ไปเกิดในกำเนิดแห่งขุปปิปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต แลกาลกัญชิกาสุรกาย
ขุปปีปาสิกเปรต คือ เปรตที่อดอยาก ทุกข์จากความหิวโหยอยู่เป็นนิจ
นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ
กาลกัญจิกเปรต คือ เปรตในจำพวกอสุรกาย
อานิสงส์พิเศษประการที่ 13.ได้แก่ ท่านจะไม่ไปเกิดเป็น ขุปปิปาสิกเปรต คือ เปรตผู้หิวกระหาย
ไม่ไปเกิดเป็น นิชฌามตัณหิกเปรต คือ เปรตผู้ถูกความอยากเผาผลาญ
และไม่ไปเกิดเป็น กาลกัญชิกาสูร คือ อสูรกายชนิดหนึ่งที่ตัวสูงใหญ่มาก
หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี หากท่านจะต้องไปเกิดอยู่ในภพภูมิของเปรตหรืออสุรกาย ท่านจะไม่เกิดเป็นเปรตหรืออสุรกายที่ถูกตัณหา (คือ ความอยาก)-ครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา อย่างเปรตหรืออสุรกายโดยทั่วไป
เพราะตัณหาย่อมไปบดบังดวงปัญญาที่คิดจะสร้างบารมีให้มืดมิดไป เปรียบเหมือนกับบุคคลผู้มีความหิวและกระหายอย่างมาก ก็ย่อมไม่มีอารมณ์ที่จะคิดทำสิ่งต่างๆ นั่นก็คือ...แม้ท่านจะต้องไปเกิดเป็นเปรตหรืออสุรกาย ท่านก็จะไม่ถูกเบียดเบียนด้วยตัณหาและความหิวกระหาย ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
๑๔. ไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรก และโลกันตนรก
อานิสงส์พิเศษประการที่ 14.ได้แก่ ท่านจะไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรกและโลกันตนรก อย่างแน่นอน หมายความว่า...หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
หากท่านจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก ท่านจะไม่ไปเกิดในอเวจีมหานรกและโลกันตนรก ที่มีการทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัสโดยไม่มีการหยุดพัก อีกทั้งมีการทัณฑ์ทรมานเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ซึ่งบุคคลที่จะไปเกิดในภพภูมิดังกล่าวนั้น คือ ผู้ที่กระทำบาปกรรมอย่างรุนแรง หรือผู้ที่มีความเห็นผิดอย่างสุดโต่ง แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้ประกอบด้วยความเห็นที่ถูกต้อง จะไม่พลาดพลั้งไปกระทำกรรมหนักเช่นนั้นอย่างแน่นอน
นั่นก็คือ...แม้ท่านจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรก ท่านก็จะไม่ไปเกิดในภพภูมิที่มีการทัณฑ์ทรมานอย่างหนัก จนทำให้ท่านขาดโอกาสในการสร้างบารมีเป็นระยะเวลาอย่างยาวนาน ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
บังเกิดในอเวจีเพราะทำกรรมอนันตริยกรรม
บังเกิดในโลกกันตนรกเพราะมิจฉาทิฏฐิดิ่ง และทำกรรมหนัก
๑๕. เมื่อไปเกิดเป็นเทวดาในกามาวจรสวรรค์ คือสวรรคเทวโลก ๖ ชั้น ก็ไม่เกิดเป็นเทวดาซึ่งนับเนื่องเข้าในเทวดาจำพวกหมู่มาร
อานิสงส์พิเศษประการที่ 15.ได้แก่ เมื่อท่านไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นกามาวจร ท่านจะไม่เป็นเทวดาที่มีความเห็นผิด และท่านจะไม่เป็นเทวบุตรมาร หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว
ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี หากท่านต้องไปเกิดเป็นเทวดา ท่านจะไม่เกิดเป็นเทวบุตรมาร (เทวบุตรที่ถูกมารบังคับ)-ที่เป็นมิจฉาทิฐิและชอบขัดขวางการทำความดีของผู้อื่น โดยเมื่อเทวบุตรมารเห็นใครทำความดีแล้ว จะรู้สึกขัดอกขัดใจและทนไม่ได้ อยากที่จะหาทางขัดขวาง กลั่นแกล้ง หรือทำร้าย เพื่อจะทำให้ผู้นั้นไม่สามารถทำความดีสำเร็จได้ หรือไม่สามารถที่จะทำความดีได้อย่างเต็มที่
ซึ่งอัธยาศัยดังกล่าว เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีจิตใจอันใสสะอาดบริสุทธิ์ ที่พลอยจะชื่นชมยินดีและอนุโมทนาบุญกับการทำความดีของผู้อื่นอยู่เสมอ นั่นก็คือ...ไม่ว่าท่านจะเกิดเป็นมนุษย์หรือเทวดาก็ตาม ท่านจะเป็นผู้ประกอบด้วยความเห็นอันถูกต้อง ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
เทวดาในหมู่มารเช่น ท้าวปรนิมมิตวสวัสตีมาร
๑๖. เมื่อเกิดเป็นองค์พระพรหม ณ เบื้องบรมรูปาพจรพรหมโลก ก็ไม่ไปเกิดในปัญจสุทธาวาสพรหมโลก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพรหมโลกชั้นปัญจสุทธาวาสนี้ เป็นภูมิที่อยู่แห่งพรหมอนาคามีอริยบุคคลโดยเฉพาะ
สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ ๕ ชั้นด้วยกัน ตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไปตามลำดับภูมิธรรม ไม่ได้ตั้งอยู่ในระดับเดียวกัน สุทธาวาส ๕ ได้แก่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี และอกนิฏฐภพ
๑. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง ศรัทธา จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อวิหา
๒. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง วิริยะ จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อตัปปา
๓. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง สตินทรีย์ (สติ) จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น สุทัสสา
๔. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง สมาธิ จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น สุทัสสี
๕. บรรลุเป็นอนาคามี ด้วยกำลังแห่ง ปัญญา จะไปบังเกิดเป็นพรหมในชั้น อกนิฎฐา
อานิสงส์พิเศษประการที่ 16.ได้แก่ เมื่อท่านไปได้เกิดในพรหมโลก ท่านจะไม่เกิดเป็นอสัญญีพรหม และสุทธาวาสพรหม หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี หากท่านต้องไปเกิดเป็นพรหม
ท่านจะไม่เกิดเป็นอสัญญีพรหม หรือที่เรียกกันว่า พรหมลูกฟัก ซึ่งเป็นพรหมที่มีแต่รูปร่างโดยไม่มีความรู้สึกนึกคิด และไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรได้ทั้งสิ้น กล่าวคือ ความรู้สึกภายนอกดับหมด แต่กิเลสในตัวนั้นยังไม่ดับ อีกทั้งเป็นพรหมที่อยู่ในอิริยาบถเดียวเท่านั้น โดยที่ก่อนตายอยู่ในท่าไหน เมื่อตายแล้วก็อยู่ในท่านั้น ไปตลอดจนครบอายุขัยในพรหมโลก ซึ่งมีอายุขัยถึงห้าร้อยมหากัป
และท่านจะไม่ไปเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส เพราะเป็นสถานที่อยู่ของพระอนาคามีบุคคล ผู้ที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอน นั่นก็คือ...เมื่อท่านไปเกิดในพรหมโลก ท่านจะไม่เกิดเป็นพรหมที่ไม่มีโอกาสในการสร้างบารมี และท่านจะไม่ไปเกิดเป็นพรหมในชั้นของพระอนาคามีบุคคล ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
๑๗. ไม่ไปเกิดใน อรูปพรหมโลก เลยเป็นอันขาด
ระดับชั้นของอรูปพรหม
านิสงส์พิเศษประการที่ 17.ได้แก่ ท่านจะไม่ไปเกิดในอันติมภพ หมายถึง ภพอันสูงสุดของภพสาม หรือที่เราเรียกกันว่า อรูปภพ หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
ท่านจะไม่ไปเกิดในอรูปภพทั้งสี่ชั้นอย่างแน่นนอน ซึ่งบุคคลที่จะไปเกิดในอรูปภพนั้น คือ บุคคลที่เจริญภาวนาโดยไม่ได้กำหนดรูปเป็นอารมณ์ จนกระทั่งฌานที่ปราศจากรูป หรือ อรูปฌาน เกิดขึ้น และหากบุคคลนั้นตายไปในขณะที่ฌานยังไม่เสื่อม ด้วยอำนาจแห่งอรูปฌานนี้ก็จะทำให้บุคคลนั้นได้ไปเกิดในอรูปภพ เป็นอรูปพรหมที่มีอายุขัยยืนยาวมากๆ ยาวนานเป็นหลายหมื่นมหากัปเลยทีเดียว
แต่การที่พระโพธิสัตว์ไม่ไปเกิดเป็นอรูปพรหม เพราะจะทำให้ท่านต้องเสียเวลาในการสั่งสมบุญสร้างบารมี เพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต นั่นก็คือ...ท่านจะไม่ไปเกิดในภพภูมิที่มีการเสวยสุขหรือทุกข์นานเกินไป จนทำให้ท่านขาดโอกาสในการสั่งสมบุญสร้างบารมีเป็นระยะเวลายาวนาน ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
เราได้ทราบแล้วว่า การมาบังเกิดเป็นอรูปพรหมนั้น จะต้องเป็นผู้ที่ใฝ่ใจในการประพฤติปฏิบัติธรรม อย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งกระทำอรูปฌานให้เกิดขึ้นได้ เมื่อละโลกแล้วก็จะไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม
ในบรรดาอรูปพรหมทั้งหลายยังมีการแบ่งระดับชั้นตามภูมิที่อยู่ ซึ่งมีทั้งหมด 4 ชั้น มีหลักการแบ่งชั้น คือ แบ่งตามระดับความแก่อ่อนของกำลังฌาน อรูปพรหมที่มีกำลังฌานอ่อน จะอยู่ในชั้นล่าง ส่วนอรูปพรหม ที่มีกำลังฌานแก่ จะอยู่ในชั้นที่สูงขึ้นไป ดังนี้
1. อากาสานัญจายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน หรืออรูปฌาน ที่ 1 คือ บำเพ็ญฌานโดยเอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอกนิฏฐสุทธาวาสภูมิขึ้นมา ห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 20,000 มหากัป
2. วิญญาณัญจายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน หรืออรูปฌาน ที่ 2 คือ บำเพ็ญฌานโดยเอาความรู้สึกว่ามีอากาศมาเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอากาสานัญจายตนภูมิ ขึ้นมาห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 40,000 มหากัป
3. อากิญจัญญายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน หรืออรูปฌาน ที่ 3 คือ บำเพ็ญฌานโดยเอาความว่างที่ละเอียดยิ่งกว่าอากาศ (อวกาศ) ที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากวิญญาณัญจายตนภูมิขึ้นมาห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 60,000 มหากัป อาฬารดาบส กาลามโคตร ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งทรงออกแสวงหาโมกขธรรม เมื่อละโลกแล้วก็มาบังเกิดเป็นอรูปพรหมในชั้นนี้
4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คือ ภูมิอันเป็นที่อยู่ของผู้บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน หรืออรูปฌานที่ 4 คือ บำเพ็ญฌานโดยเอาความรู้สึกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยละทิ้งไป เอาความรู้สึกที่นิ่งสนิท มีแต่สัญญาอย่างละเอียดเป็นอารมณ์ ภูมินี้อยู่สูงจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นมาห้าล้านห้าแสนแปดพันโยชน์ เป็นอรูปภูมิชั้นที่สูงที่สุด และเป็นภูมิที่อยู่สูงกว่าภูมิใดๆ ในภพ 3 อรูปพรหมในชั้นนี้มีอายุ 84,000 มหากัป อุททกดาบส รามบุตร ซึ่งเป็นอาจารย์ของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งทรงออกแสวงหาโมกขธรรม เมื่อละโลกแล้วก็มาบังเกิดเป็นอรูปพรหมในชั้นนี้
๑๘. ไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่นเลยเป็นอันขาด "
พระโพธิสัตว์บังเกิดในมงคลจักรวาลนี้เท่านั้น
อานิสงส์พิเศษประการที่ 18.ได้แก่ ท่านจะไม่ไปเกิดในจักรวาลอื่น หมายความว่า หลังจากที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว ในภพชาติต่อๆไปที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี ท่านจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในจักรวาลเดียวเท่านั้น โดยที่ท่านจะไม่พลัดไปเกิดในจักรวาลอื่นอย่างแน่นอน
จนกระทั่งกำลังบุญบารมีทั้งสามสิบทัศของท่านเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ ท่านก็จะลงมาตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต นั่นก็คือ...ท่านจะเกิดมาสร้างบารมีอยู่ในจักรวาลเดียวเท่านั้น ไปตลอดทุกภพทุกชาติที่ท่านได้เกิดมาสร้างบารมี
......แต่เมื่อกล่าวถึงจักรวาล พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จักรวาลนั้นไม่มีที่สุด คือนับไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด
โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล
โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล
โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ
นอกจากนี้ยังอานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่ง ของนิยตโพธิสัตว์คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือ เมื่อพระองค์เกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่ายในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ พระองค์ก็สามารถทำการอธิมุตต คือ อธิษฐานให้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้
นอกจากอานิสงส์แห่งการเป็นผู้ไม่เข้าถึงอภัพฐานะทั้งสิบ 18-ประการ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังจะได้รับอานิสงส์พิเศษอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อพระโพธิสัตว์ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว นอกจากตัวท่านจะได้รับอานิสงส์พิเศษดังที่กล่าวมาข้างต้น
ก็ยังมีอานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นมา เพื่อสนับสนุนการสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์โดยเฉพาะ นั่นก็คือ การทำ อธิมุตตกาลกิริยา หรือการอธิษฐานจิตดับชีพของตน เพื่อลงมาเกิดสร้างบารมีบนโลกมนุษย์
หมายความว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ได้ไปเกิดเป็นเทวดาหรือได้ไปเกิดเป็นพรหมแล้ว หากท่านมีความเบื่อหน่ายในการที่จะเสวยสุขอันเป็นทิพย์ เพราะปรารถนาจะลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ พระโพธิสัตว์ก็สามารถที่จะกระทำอธิมุตตกาลกิริยาได้ โดยการอธิษฐานจิตให้จุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ในทันที ซึ่งการทำอธิมุตตกาลกิริยานี้ เป็นเรื่องที่ไม่ทั่วไปแก่เหล่าเทวดาทั้งหลาย เพราะมีแต่นิยตโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว และได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตเท่านั้นที่สามารถจะทำอธิมุตตกาลกิริยานี้ได้ โดยที่เทวดาเหล่าอื่นทั่วไปจะไม่สามารถทำเฉกเช่นนี้ได้
เราจะเห็นได้ว่า เมื่อพระโพธิสัตว์ได้รับอานิสงส์พิเศษดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่านใกล้เข้ามาทุกขณะ ตามระยะเวลาที่ท่านได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งอานิสงส์พิเศษทั้งหมดดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เราสามารถที่จะสรุปโดยย่อได้ดังต่อไปนี้ คือ
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะเกิดมาเป็นบุรุษเพศ (หรือเพศชายแท้)-ที่มีอวัยวะสมส่วนครบถ้วนทั้ง 32-ประการ อีกทั้งอวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหมดก็สมบูรณ์แข็งแรง และสามารถที่จะใช้งานเพื่อการสร้างบารมีได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านเป็นผู้ที่มีรูปร่างลักษณะงดงามสมส่วน ดูดี และเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาของผู้ที่ได้พบเห็น อีกทั้งยังทำให้ท่านสามารถที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะเป็นผู้ที่มีสติปัญญาอันเลิศ และเป็นคนที่มีสัมมาทิฐิมาตั้งแต่เกิด จึงทำให้ท่านเป็นผู้ที่สามารถจะสอนตัวเองได้บนพื้นฐานความเชื่อที่ถูกต้องตรงไปตามความเป็นจริง โดยที่ท่านจะเป็นผู้มีความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม กล่าวคือ เชื่อเรื่องบาปบุญ คุณโทษ นรกสวรรค์ โลกนี้โลกหน้า เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านเป็นผู้มีความคิด คำพูด และการกระทำ ที่ถูกต้องดีงามและเป็นไปเพื่อการสร้างบารมีเท่านั้น
เมื่อพระโพธิสัตว์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะเกิดในประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองด้วยศีลธรรม อีกทั้งท่านจะไปเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฐิและมีฐานะร่ำรวย ซึ่งเป็นตระกูลที่ได้รับความเคารพนับถือของสังคมในยุคนั้นๆ รวมทั้งบุคคลรอบข้างของท่านก็จะมีแต่บัณฑิตนักปราชญ์ที่เป็นกัลยาณมิตร คอยชักชวนกันทำความดีอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย และทำได้อย่างเต็มที่เต็มกำลัง โดยที่ท่านไม่ต้องมากังวลใจในเรื่องการหาทรัพย์ และความเข้าใจผิดของบุคคลรอบข้างเลยแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่า พระโพธิสัตว์จะต้องไปบังเกิดในภพภูมิอื่นโดยที่ท่านไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ท่านจะไม่ไปบังเกิดในภพภูมิที่ได้รับความทุกข์ยากลำบากจนเกินไป อีกทั้งท่านก็จะไม่ไปบังเกิดในภพภูมิที่มีการเสวยสุขอันเป็นทิพย์ยาวนานเกินไปอีกด้วย ด้วยเหตุนี้เอง...จึงทำให้ท่านสามารถที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีได้อย่างตลอดต่อเนื่อง โดยไม่ต้องมาเสียเวลาหรือขาดโอกาสในการสร้างบารมีเพราะเสวยสุขหรือทุกข์นานจนเกินไป
และที่สำคัญ พระโพธิสัตว์จะเป็นผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่ในการสร้างบารมีอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อีกทั้งท่านก็ยังเป็นผู้มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้มากยิ่งๆขึ้นไป เพื่อจะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ นั่นก็คือ การตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
สำหรับการสั่งสมบุญสร้างบารมี เพื่อที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างบารมีให้ครบถ้วนและเต็มเปี่ยมทุกประการ โดยที่จะขาดบารมีข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้เลย หรือบารมีบางข้อจะขาดตกบกพร่องพร่องไปสักนิดก็ไม่ได้
ดังนั้น การที่พระโพธิสัตว์จะทำมโนปณิธานในการที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สำเร็จได้นั้น ท่านจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบารมีทั้งสามสิบทัศให้เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ และเมื่อบุญบารมีทั้งสามสิบทัศของท่านเต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว ท่านก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต ซึ่งเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกและจักรวาล ที่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากห้วงวัฏสงสารแห่งความทุกข์ ไปสู่ฝั่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุขได้ ดังนั้น การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์แต่ละท่าน จะต้องใช้ความเพียรพยายาม ความตั้งใจที่มุ่งมั่น และมีความอดทนอย่างมากในการสร้างบารมี และที่สำคัญจะต้องประกอบด้วยธรรมที่จะทำให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกด้วย
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย