6 ก.ย. 2021 เวลา 01:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เรื่องที่ต้องรู้ถ้าจะลงทุนแบบ Passive
การลงทุนแบบ Passive คือการลงทุนที่หวังผลตอบแทนเท่ากับตลาด หรือ ตัววัดบางอย่าง โดยไม่ได้หวังทำการเลือกหรือวิเคราะห์หุ้นเพื่อจะเพิ่มผลตอบแทนให้สูงกว่า "ตลาดหุ้น" โดยตัวตลาดเองนั้นก็หมายถึง ดัชนีที่ประกอบจากหุ้นจำนวนหนึ่งเพื่อแสดงภาพแทนตลาดหุ้นนั้นๆ แต่ละดัชนีเองก็มีลักษณะต่างกันออกไป เช่น Dow Jones , S&P500 , Nasdaq 100 ก็มีหุ้นและผลตอบแทนไม่เหมือนกันเลย การลงทุนแบบ Passive จึงอาจะเรียกได้ว่าเป็นการลงทุนในดัชนี หรือ ซื้อ Index fund นั้นเอง
Index Fund ก็มีหลายแบบ
ในไทยนั้นการลงทุนใน Index fund มีตัวเลือกให้เราเลือกมากมายซึ่งแต่ละ Index จะประกอบด้วยหุ้นที่ต่างๆกันไป โดยหลักๆในไทยจะเห็นกองทุนที่เกาะ 3 index คือ
1. Set50 ลงทุนหุ้น 50 ตัวที่ใหญ่ที่สุด
2. Set100 ลงทุนหุ้น 100 ตัวที่ใหญ่ที่สุด
3. Set ลงทุนในหุ้นทั้งตลาด
ถ้าจะให้เห็นภาพชัดๆคือเวลาซื้อ
SET 50 เงิน 100 บาทจะถูกเอาไปลงใน PTT 9.4 บาท และ AOT 7.42 บาท
SET 100 เงิน 100บาทจะถูกเอาไปลงใน PTT 8.26 บาท และ AOT 6.52 บาท
SET เงิน 100บาทจะถูกเอาไปลงใน PTT 5.39  บาท และ AOT 4.31บาท
ทำให้สัดส่วนของการลงทุนแตกต่างกันไป...
SET50 แทบไม่ลงทุนในหุ้นกลางเลย ขณะที่ SET100 มีหุ้นกลางอยู่บ้าง และ SET จะมีทั้งหุ้นกลางหุ้นเล็ก
ผลตอบแทนและความเสี่ยงจึงต่างกันไปซึ่งเราควรจะพิจารณาก่อนว่า เราต้องการลงทุนแบบไหน รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ลักษณะเดียวกันกับการเลือกว่าจะลงทุนใน S&P500 หรือ Nasdaq
ตัวอย่างผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปีที่ผ่านมา
ดัชนี            ผลตอบแทนรายปี            ความผันผวน           
SET50          -0.45%                               22.37%
SET100         0.78%                                21.97%
SET               -0.81%                              21.10%
***ดังนั้นจริงๆ Passive ก็ไม่ได้เรียกว่าไม่ต้องคิดเลยเสมอไป เพราะยังไงเราก็ต้องเลือก index ที่จะลงทุน ซึ่ง index เองก็มีนับไม่ถ้วน
การเลือก index เรียกได้ว่าอาจจะไม่ต่างอะไรกับการเลือกหุ้นเลย ยิ่งถ้ารวม index เฉพาะทางอย่างเทคโนโลยี แบงก์ ซึ่งก็เป็น index ได้เหมือนกัน
แต่โดยภาพรวมแล้ว Passive fund จะถูกหมายถึงเฉพาะกองทุนหุ้นที่รวมหุ้นใหญ่และจำนวนมากๆในตลาดนั้นๆครับ
ซึ่งสำหรับไทยเราแล้ว SET50 ก็ยังเป็น Index ที่กองทุนนิยมสร้างมากที่สุดหากจะลงทุนหุ้นไทย โดยเฉพาะ LTF ในอดีต และ RMF, SSF ในปัจจุบัน
ดังนั้นเราจะพิจารณาจาก SET50 เป็นหลักครับ
ถึงจะเป็น Index Fund กลุ่มเดียวกันผลตอบแทนกลับต่างกัน
ลองสังเกตุตัวอย่างผลตอบแทนของกองทุนที่ลงทุนใน SET50
(เอาเฉพาะที่ลงทุนตาม SET50 แท้ๆเพราะจะมีกองทุนที่เพิ่มกฏอย่าง ESG ไปด้วยทำให้สัดส่วนอาจจะไม่ตรงกับ SET50)
เปรียบเทียบผลตอบแทนผลตอบแทนจากมากไปน้อยของกองทุนที่เกาะ SET50 10 ตัวแรกโดยไม่มีปันผล ตั้งแต่ต้นปีถึง 2/9/64
SET50 Fund ผลตอบแทนรายปี
1. SCBSET50E  11.900%
2. M-S50 11.871%
3. PRINCIPAL SET50-E 11.810%
4. KS50LTF-A 11.743%
5. M-S50 RMF 11.716%
6. MS50LTF 11.712%
7. KT-SET50 11.633%
8. K-SET50 11.518%
9. SCBSET50 11.497%
10. PRINCIPAL SET50-A 11.479%
สำหรับ ETF ที่ลงทุนใน SET 50 คือ TDEX ได้ผลตอบแทน 9.444% รวมปันผลอีก 2.222% จะคิดเป็น 11.666% อยู่ในอันดับ 7
แต่ถ้าคิดว่าเอาเงินปันผลกลับซื้อ TDEX ที่ราคาหลังวันจ่ายปันผล 23/2/64 จะทำให้ผลตอบแทนกลายเป็น 2.411% และผลตอบแทนรวมคือ 11.855% ขยับมาเป็นอันดับ 3 เลยทีเดียว (จริงๆต้องหักภาษีปันผล และคิดค่าธรรมเนียมเงินที่ได้มาปันผลด้วยนะครับ แต่เพื่อความง่ายจึงไม่ได้รวม)
ความแตกต่างของแต่ละกองทุนนี้เกิดจากอะไร?
1. Tracking Error จะเห็นได้ว่าไม่มีกองทุนใดๆ เลยจะได้ผลตอบแทนเท่ากับ Index เนื่องจากกองทุนเหล่านี้นั้นจำเป็นมีการซื้อขาย และปรับพอร์ตรวมทั้งลงทุนเงินปันผลกลับเข้าไปเพื่อให้หุ้นที่มีในพอร์ตใกล้เคียง Index ที่สุดตามการลงทุนแบบ Passive และการซื้อขาย และรับปันผลนั้นมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ซึ่งทำให้กองทุนที่บริหารการปรับพอร์ตได้ดีกว่าจะได้ผลตอบแทนสูงกว่า ตัวอย่างที่น่าจะสนใจคือ
เช่น กองทุน M-S50 กับกองทุน KT-SET50 ในปีนี้มีผลตอบแทน 11.871% และ 11.633% โดย Error เป็น 3.86% และ 0.12% ตามลำดับ
 
แบบนี้หมายความว่าM-S50 ดีกว่าหรือไม่??
 
และยิ่งในปี 2561 M-S50 ทำผลตอบแทน -0.91% ขณะที่ KT-SET50 ทำได้ -5.68% และ Set50 ได้ -5.23% !! M-S50 ชนะ index มากทีเดียว
แต่พอดูในปี 2562 M-S50 กลับทำผลตอบแทนได้ 2.86 % ขณะที่ KT-SET50 ได้ 4.65% และ Set50 ได้ 5.32%
ซึ่งเมื่อดูระยะยาวแล้ว Tracking Error ของแต่ละกองทุนจะค่อนข้างคงที่เช่นกองที่มากก็จะมากตลอด และน้อยก็จะน้อยตลอด แสดงถึงแนวทางของกองทุนนั้นๆ การที่เราจะเลือกก็ต้องสนใจตรงนี้ด้วยเช่นกันว่าตรงกับความต้องการเราหรือไม่
2. ส่วนที่สำคัญที่สุด "ค่าธรรมเนียม" โดยหลักๆแล้วจะเป็น
"ค่าธรรมเนียมการจัดการ หรือ Management fee" คือ การจัดการ + ผู้ดูแลผลประโยชน์+นายทะเบียน+อื่นๆ แต่มักจะเรียกรวมๆเป็นค่าธรรมเนียมการจัดการ เพราะส่วนอื่นมักน้อยกว่ามาก ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้จะถูกหักออกไปจาก NAV ของกองทุนในทุกๆวัน และรวมเป็น FEE รายปี
ลองดูตัวอย่างจากกองทุน 10 อันดับแรก
Fund                                FEE                    Tracking Error
SCBSET50E                      0.11%             0.5%
M-S50                             0.628%             3.86%
PRINCIPAL SET50-E                 ?? %
KS50LTF-A                     0.7056%             0.42%
M-S50 RMF                    0.7883%             3.85%
MS50LTF                        0.7627%             3.84%
KT-SET50                       0.5148%             0.12%
K-SET50                         0.5876%             0.42%
SCBSET50                       0.64%             0.5%
PRINCIPAL SET50-A       0.696%             0.85%
TDEX                              0.5092%  0.61%
***จะเห็นได้ว่าค่าธรรมเนียบมีผลอย่างมากในการลงทุน Passive ใน Index Fund
ความแตกต่าง 0.1-0.4 % อาจจะดูไม่ได้มีผลมากนัก แต่หากลองคิดว่าเงินลงทุน 1ล้านบาท เพียงแค่เลือกกองทุนที่ลงทุนแบบเดียวกันจะมีผลตอบแทนต่างกันได้ถึง 1000-4000 บาท ซึ่งยิ่งเงินมากกว่านี้ หรือผลตอบแทนทบต้นไปจะยิ่งเห็นผลชัดขึ้น
กองทุนเดียวกันมีหลายรูปแบบ
เปรียบเทียบกองทุนเดียวกันอาจจะมีรูปแบบทั้ง RMF,SSF.-A ที่เป็นสะสมมูลค่า และ -D ที่มีการปันผล
อย่างในตัวอย่างจะเห็นได้ว่ากองทุนของ M-S50 ของ MFC มีทั้งแบบธรรมดา RMF และ LTF ซึ่งมีค่าธรมมเนียมต่างกัน  และได้ผลตอบแทนต่างกัน
แต่ว่าจริงๆแล้วเนื่องจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีทำให้กองทุนแบบ LTF และ RMF อาจจะได้ผลตอบแทนรวมหลังคืนภาษีมากกว่า แม้จะคิดค่าธรรมเนียมมากกว่าและได้ผลตอบแทนรายปีต่ำกว่า การดูเพียงผลตอบแทนจึงไม่ได้สะท้อนผลลัพธ์การลงทุนทั้งหมดเช่นกัน
ข้อสรุปส่วนตัวของผมคือ
1. ถ้าต้องเลือกจริงๆเพียง 1 index การซื้อ Passive fund ที่กว้างที่สุดจะทำให้หุ้นที่หลายกว่า และมีโอกาสได้ผลตอบแทนดีกว่าในระยะยาว (เพราะได้ประโยชน์ทั้ง Big Cap และ Small Cap factor)
2. เมื่อได้ Passive fund ที่อยากจะลงทุนแล้ว "ต้อง" ดูค่าธรรมเนียมเปรียบเทียบเสมอ นอกจาก 10 อันดับที่เห็นไปมีกองทุนอีกมากมายที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่านั้นมากทั้งที่เป็นกองทุน SET50 อาจจะมาจาก Tracking Error หรือ FEE ที่แพงเกินไป ซึ่งควรหลีกเลี่ยง
3. เลือกกองทุนที่ FEE ต่ำที่สุด โดยเฉพาะที่มีคำว่า "E" เนื่องจากเป็นช่องทางการขายผ่านออนไลน์ทั้งหมดทำให้ต้นทุนต่ำกว่า และคิดค่าธรรมเนียมเราน้อยกว่าผลตอบแทนจึงมักจะสูงกว่า
4. ส่วนตัวเลือกกองทุนที่ Tracking Error ต่ำๆ เนื่องจากเราต้องการลงทุน Passive เพื่อเกาะ Index การที่กองทุนจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่านั้นน่าจะเป็นเรื่องของ Active Fund ซึ่งคิดว่าผิดวัตถุประสงค์การลงทุนของเรา
5. บางครั้งกองทุนจะมีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมได้ บางครั้งค่าธรรมเนียบก็ลด บางครั้งก็เพิ่มได้ ซึ่งเราต้องติดตามนานๆครั้งก็ได้ เพื่อให้ได้กองทุนที่เหมาะกับเราที่สุดครับ
โฆษณา