7 ก.ย. 2021 เวลา 08:07 • ไลฟ์สไตล์
ฉันมันไม่มี “ศาสนา” ขอเธอนั้น(อย่ามา)สนใจ.....
ขออนุญาตดัดแปลงเนื้องเพลงของคุณชรัส เล็กน้อย ก่อนจะอ่านบทความนี้ขอความกรุณาเปิดใจให้กว้าง เปิดรับมุมมองอื่น ที่เกี่ยวกับ การนับถือศาสนา..........ประเด็นที่นำเสนอจะใช้การตั้งคำถามเพื่อนำไปสู่มุมมอง ย้ำว่ามุมมองไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหา
ปล. บทความนี้ไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือประเด็น พส. ใด ๆ ทั้งสิ้น กรุณาแสดงความเห็นเยี่ยงปัญญาชน
The Pew Forum on Religion & Public life สำรวจประชากรโลกที่ไม่นับถือศาสนามีจำนวน เพิ่มขึ้นทุกปี(https://www.snf.or.th/2019/2021/04/26/noreligion/) ประเทศติด 3 อันดับแรกที่ประชากรไม่นับถือศาสนาใดเลย ได้แก่ จีน (682 ล้านคน) ตามด้วยญี่ปุ่น (72 ล้านคน) และ อเมริกา (51 ล้านคน) คำถามที่ชวนคิดต่อไปว่า เพราะอะไรปัจจุบันคนเลือกที่จะไม่นับถือศาสนา? แต่ก่อนจะไปหาคำตอบนั้นมาดูวิวัฒนาการของศาสนากันก่อน
1. ทำไมต้องมีศาสนา?
ศาสนาเกิดขึ้นมาจากมนุษย์กลัวปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น ฟ้าผ่าฟ้าร้อง พายุ แผ่นดินไหว และสิ่งที่มองเห็น เช่น การตายต่อเนื่องของคนในหมู่บ้าน โรคระบาด เป็นต้น โดยปรากฏการณ์ที่ว่ามานั้นยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ (ยุคก่อนกำเนิดศาสนา) เมื่อมนุษย์เกิดความกลัวย่อมต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อขจัดหรือปลอบประโลมความกลัว
2. ศาสนาดำรงอยู่อย่างไร?
ศาสนาหลายๆ ศาสนากำเนิดมาแล้วเป็นพันปี ซึ่งสิ่งที่ดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การมีคำสอนที่จารึกไว้ในคัมภีร์ การถ่ายทอดจากบุคคลหนึ่ง (ศาสดา) ไปยังบุคคลอื่นสืบต่อไป (นักบวช , บาทหลวง) ด้วยวัตรหรือวิถีปฏิบัติ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความเชื่อ ศรัทธา นอกจากนี้มีข้อมูลจากงานวิจัยของ พิปปา และรอนอลด์ (https://www.snf.or.th/2019/2021/04/26/noreligion/) ให้ข้อสังเกตว่า ในสังคมหรือประเทศใดที่ เศรษฐกิจไม่ดี ความไม่เท่าเทียมกันมีระดับสูง คนจะยิ่งใช้ศาสนาเป็นที่ยึดเหนี่ยวมากขึ้น
3. เหตุผลที่ศาสนาอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นในยุคปัจจุบัน?
จากผลสำรวจข้างต้นและข้อมูลจากแหล่งอื่น พอจะแบ่งเหตุผลได้เป็น
1. เลือกเอาเฉพาะสิ่งที่เป็นรูปธรรมจากหลาย ๆ ศาสนา จนไม่สามารถระบุได้ว่า ฉันนับถือศาสนาอะไร เช่น เชื่อเรื่องกรรม ที่ทำอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น (พุทธ) แต่ไม่เชื่อว่า สวรรค์และนรกมีจริง เพราะมันเป็นนามธรรมพิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้ ในขณะที่ชอบกฎของอิสลามที่ห้ามดื่มเหล้าแต่ก็ไม่ชอบพิธีถือศีลอด เพราะคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะอดอาหารจะเอาเรี่ยงแรงที่ไหนไปทำงาน หรือ บูชารูปเคารพพระลักษมีแต่ทุกครั้งที่ไปอินเดียกลับไปหัวเราะบรรดานักบวชฮินดูที่เอาขี้วัวทาตัว ดังนั้น จึงไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นคนศาสนาอะไรจึงให้ข้อมูลในแบบฟอร์มหรือระบุในบัตรประชาชนได้ว่านับถือศาสนาอะไร
2. ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้ เมื่อได้รับการพิสูจน์ด้วยหลักฐานที่เป็นประจักษ์ บอกที่มาที่ไปได้ ก็ไม่จำเป็นต้องหาอะไรยึดเหนี่ยวเพื่อขจัดความกลัวเหมือนในยุคก่อนมีศาสนา เช่น น้ำท่วมเกิดจากโลกร้อนน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพิ่มขึ้น หรือฝนไม่ตกเพราะเผาป่าเป็นอาจิณ จะไปเอาความชื้นที่ไหน แห่แมวไปก็ไม่ช่วยให้ความชื่นเพิ่มขึ้น!
3. การนับถือศาสนาเป็นเรื่องของเสรีภาพ เพราะความเชื่อ ศรัทธา เลื่อมใส เป็นเรื่องปัจเจก พ่อแม่จะมาบังคับลูกว่าต้องนับถือศาสนานั้นนี้ เพียงแค่เพราะเรื่องจารีต วัฒนธรรมอันดีงาม กลายเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักน้อยในเชิงเหตุผล ซึ่งสอดคล้องกับ พิปปา และรอนอลด์ สรุปว่า สังคมที่ประชาชนมีกาศึกษาสูงขึ้น สภาพเศรษฐกิจดี สาธารณสุขดี มีแนวโน้มที่คนในสังคมนั้นจะไม่นับถือศาสนามากขึ้น
4. ความเสื่อมของบุคคลที่เป็นผู้สืบทอดศาสนา เช่น พระดื่มเหล้า พาสีกาเข้าม่านรูด พระหลอกเอาเงินโดยเอาพิธีกรรมที่ไม่เกี่ยวกับคำสอบของพุทธเจ้า ระเบิดพลีชีพทำคนตายเป็นจำนวนมากโดยอ้างว่าเป็นบัญชาของพระเจ้า นักบวชล่วงละเมิดางเพศเด็กชาย
การจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะมาตราหน้าว่าเป็นคนผิด คนบาป คนชั่วหยาบช้า แต่ปัญหาอยู่ที่การอยู่ร่วมกันของคนในสังคมที่คนนับถือศาสนาเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่อาจใช้ความเป็นคนกลุ่มใหญ่กดดันหรือด้อยค่าคนกลุ่มน้อย นำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคม
โฆษณา