• ในบรรดาอุตสากหรรมเคป็อบที่เต็มไปด้วยการไต่ชาร์ตจากแนวป็อบแดนซ์ไม่ก็บัลลาดสลับวนเวียนในกระแสหลัก เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ก็นับว่า 95% โดยประมาณได้ซึ่งในส่วนที่เหลือมันก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กๆถึงเหล่าแนวเพลงกลุ่มอินดี้จัดๆ ที่จะประสบความสำเร็จตามชาร์ตเพลงได้.. แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมากลับมีอยู่หนึ่งเพลงที่โผล่ขึ้นมาอยู่ในกระแสหลักชนิดที่ว่าถ้าไม่ฮิตตอนนี้แม่งก็ไม่รู้จะไปฮิตเอาตอนไหน for lovers who hesitate ส่งผลให้วงร็อคอินดี้ที่นิยามตัวเองว่าเป็นพวก rock never die JANNABI(ชันนาบี) กลายเป็นกลุ่มศิลปินอินดี้เล็กๆ ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจนสามารถขึ้นไปถึงอันดับหนึ่งบนชาร์ตเพลง MelOn ทำเอาเพลงกระแสหลักอย่าง Boy with luv ที่ไม่มีวี่แววถึงเพลงไหนจะสามารถดึงพวกเขาลงได้นอกเสียจากไอยู(แซวนะ ฮ่าๆๆๆ)หล่นมาอยู่เป็นอันดับสองร่วมเกือบเดือน อีกทั้งยังขนเพลงเก่าๆกลับมาอยู่ในสมรภูมิชาร์ตขึ้นเป็นดอกเห็ด
• พอผ่านพ้นช่วงวิกฤตปัญหาอย่างหนักหน่วงมาร่วมปีกว่าผนวกกับจริงจังการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต(ในช่วงที่ยังไม่เกิดโรคระบาด COVID-19)ก็ได้ส่งผลงานเล็กๆคั่นกลางอย่างอีพีอัลบั้ม JANNABI’s Small Pieces พาร์ทแรกเป็นการเปรียบเสมือนว่าตัวเองนั้นเป็นพื้นที่อันน้อยobfให้คนได้เข้ามาพักพิงอาศัยในยามที่หัวใจหรือความรู้สึกของตัวเองจมดิ่ง แต่เป็นการทำงานเพียงแค่สองคนเท่านั้นคือหัวเรือจองฮุนและโดฮยอน(มือกีต้าร์)ก่อนจะโหมโรงเปิดตัวอัลบั้มชุดที่สามที่ปูทางมายาวนานแสนนานที่ต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก.. The Land of Fantasy จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวและดนตรีหนักข้อทางแฟนตาซีแบบอัพเกรดสมชื่อขึ้นให้ทุกอย่างเป็นเหมือนการเล่านิทานของกลุ่มนักผจญภัยที่ไปยันเกาะแห่งจินตนาการในความฝันที่ยังคอนเซ็ปธีมความเป็นงานเรโทร 70s สไตล์ชันนาบีแบบดั้งเดิม
• Oh Brave Morning Sun จึงเป็นความพร้อมต่อการก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยงานดนตรีที่เบาสบายกับเสียงนกในยามเช้าอันสดใส เหมือนเป็นภาพสะท้อนถึงเรื่องราวการที่ต้องจมปลักอยู่คนเดียวจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลกระทบจากการเป็นคนมีชื่อเสียง, A Ballad of Non Le Joh ที่หยิบคำพูดยอดฮิตของ John Lonnon มาเป็นการคารวะแด่วงร็อค The Beatles เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าตัวเองและเพื่อนที่เหลือพร้อมจะก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแห่งวงการเพลง งานดนตรีดูเป็นความสนุกสนานแต่กลับกลายเป็นเรื่องอันน่าเศร้าที่ตอนนี้เขาอยู่เพียงลำพังในห้องใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นเพลงสรรเสริญ(ไม่ใช่พระบารมี)แด่ตำนานเลยก็ว่าได้, Confession Show เลยเป็นแทร็คที่จองฮุนสารภาพความในใจที่กำลังต่อสู่กับความเหงาของตนเอง
Farewell to Arms! + Hymn for the Cradle เป็นการขอพรภาวนาให้เพื่อนๆของตัวเองพบเจอแต่กับความสุข ถึงจะต้องแลกกับความยากลำบากของตนเองก็ตาม ในช่วงแทร็คลิสต์ 3 ลำดับพาร์ทแรกเลยสื่อให้เห็นว่าจองฮุนนั้นพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองหลุดจากสภาวะแห่งความสิ้งหวังจากเรื่องราวที่ร้ายๆ
• The King of Romance บรรยายถึงฉากรักจากหนัง hollywood เหมือนกับว่าตัวเขานั้นได้ไปเดทจริงๆ เหมือนเป็นการอ้างอิงถึงช่วงที่ชื่อเสียงของวงกำลังเป็นที่โด่งดังมากขึ้น พาร์ท outro ของเพลงซาวนด์จึงเล่น shuffle กลับตาลปัตรเหมือนกำลังจะเกิดเรื่องกลหนบางอย่างขึ้น, Clay Pigeon Boy ซาวนด์กลิ่นอาย psychedelic ออกแนวลึกลับ จึงเป็นสื่อที่ออกมาอย่างชัดเจนทันที ตอนนี้เขาได้ตกลงมาอยู่บนพื้นดินที่เป็นเสมือนความโชคร้ายของการเป็นคนมีชื่อเสียงเหมือนกับนกพิราบที่กำลังบินขึ้นฟ้าที่สูงขึ้นแต่กลับถูกยิงลงมา เห็นภาพได้ชัดเจนจากทริลเลอร์เปิดตัวอัลบั้มที่หยิบเอาเนื้อหามาเล่นกันตรงๆ, Time ซาวนด์ sorrow power-ballad เลยเป็นการทบทวนกับตัวเองว่าสรุปเวลาที่ผ่านมาทั้งหมดของเขานั้นทำไปเพื่อใครกันแน่?
• เพื่อเป็นการตามหาคำตอบให้กับตัวเอง I Know Where The Rainbow has Fallen เป็นจุดไคลแม็กซ์ของอัลบั้มที่โดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน จองฮุนได้พบคำตอบที่เป็นการปลอบใจตัวเองถึงสิ่งที่กำลังเผชิญและเปรียบเสมือนสายรุ้งเป็นความหวังที่จะทำให้เขากลับมาสดใสและเข้มแข็งได้อีกครั้ง, Bluebird, Spread your wings! พร้อมเป็นนกที่จะสยายปีกบินไปกับความเชื่อมั่นของตัวเองอีกครั้ง, Come Back Home แทร็คปิดท้ายของละครเวทีที่จองฮุนแต่งไว้เมื่อตอนอายุ 15 ปีและเป็นการตระหนักว่าชันนาบีจะยังด้วยกัน 5 คนตลอดไป
Top Tracks: Oh Brave Morning Sun, A Ballad of Non Le Joh, Confession Show, The King of Romance, FAREWELL TO ARMS! + hymn for the candle, Clay Pigeon Boy, I Know Where The Rainbow has Fallen, Bluebird, Spread your wings!