11 ก.ย. 2021 เวลา 05:30 • หนังสือ
หนังสือแนะนำ 2 เล่มรวดเลยครับ (ไม่ได้ค่าโฆษณา) Trade like a Stock Market Wizard และ Think & Trade Like a Champion
เป็นหนังสือที่น่าทึ่ง เหมือนรวมหนังสือ 2 ประเภทเข้าไว้ด้วยกัน นั่นคือ "หนังสือหุ้น" กับ "หนังสือพัฒนาตนเอง"
ความหมายคือ อ่านแล้วไฟลุก เขียนสนุกทรงพลัง และอ่านแล้วนำไปลงมือทำกับพอร์ตหุ้นของเราได้จริง
Trade like a Stock Market Wizard และ Think & Trade Like a Champion
อันที่จริงผมอ่าน 2 เล่มนี้จบมาสักพักแล้ว เพียงแต่ทิ้งไว้ให้เย็น อ่านแล้วลองไปทำตาม จากนั้นกลับมาอ่านใหม่อีกรอบ ผลก็คือยังชอบมากเหมือนเดิม และคิดว่าสิ่งที่หนังสือเขียนไว้นั้นยอดเยี่ยมมาก
มี 2 อย่างที่ผมรู้สึกหลังอ่านจบ หนึ่งคือ ถ้าได้อ่านมันเร็วกว่านี้ ผมจะจดบันทึกการเทรด กล้าตัดขาดทุน และเซฟเงินได้เยอะมาก สองคือ แต่มาคิดอีกที ถ้าได้อ่านมันเร็วกว่านี้ ผมก็อาจไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนเขียนไว้ เพราะยังไม่มีประสบการณ์มากพอ
ทั้ง 2 เล่มเขียนโดยผู้เขียนคนเดียวกัน คือ Mark Minervini เทรดเดอร์ผู้มีชื่อเสียง ประสบการณ์กว่า 30 ปี ประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่งผมเชื่อว่านักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในบ้านเราน่าจะเคยอ่านเล่มนี้กันแล้ว (ผมคงเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน) แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมแทบไม่เคยอ่านหนังสือหุ้น (โดยเฉพาะหุ้นเทคนิคอลสายเก็งกำไร) ก็เลยตื่นเต้นเป็นพิเศษ
เอาเข้าจริง หากใครเล่นหุ้นมาสัก 2-3 ปี เมื่อได้อ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ ก็อาจพบว่าไม่ได้มีอะไรใหม่ เคยได้ยินมาก่อน เคยอ่านมาแล้ว เนื่องจากดูเหมือนว่าหลักคิดและวิธีการของ Mark Minervini เองจะกระจายอยู่ในวิธีคิดและวิธีเทรดของเทรดเดอร์หรือกูรูต่าง ๆ ของบ้านเราอยู่ไม่น้อย
อาทิ การหาหุ้นที่เป็นผู้นำตลาด การบริหารความเสี่ยง การตัดขาดทุน การหาจุดเข้าและออกหุ้น การดูรอบหุ้น การไม่ซื้อถัวขาลง แต่ถัวขาขึ้น
แต่สิ่งที่น่าทึ่งสำหรับผมก็คือ วิธีคิดวิธีเขียนของ Mark Minervini สามารถโน้มน้าวให้ผมเชื่อและทำตามได้อย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน โดยเฉพาะเรื่องการจดบันทึกสถิติการเทรด และการยอมตัดขาดทุน ซึ่งโคตรเป็นเรื่องที่เบสิค แต่เขาอธิบายเป็นเหตุเป็นผล ใช้ตัวเลขคณิตศาสตร์ง่าย ๆ มายืนยันเสียจนผมต้องยอมรับ ทำตาม และคิดว่ารู้งี้น่าจะทำมานานแล้ว
1
แม้จะมีกราฟหุ้นประกอบเยอะพอสมควรตามสไตล์หนังสือหุ้น แต่เนื้อหาของหนังสือก็แทบไม่เน้นไปในเชิงเทคนิคแบบจัดเต็ม ไม่พูดถึงอินดิเคเตอร์อะไรที่ซับซ้อน และกลายเป็นว่า "หลักคิด" ของ Mark Minervini ต่างหากที่น่าทึ่งและเป็นเสน่ห์ของหนังสือ
ผมขีดไฮไลต์ไว้เต็มไปหมด ขอยกมาบางประโยคครับ (ตัดต่อเพื่อความกระชับ และยกมาจากทั้ง 2 เล่ม ไม่ได้แยกกัน)
- คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ไม่มีแผนการเทรดใด ๆ เลย พวกเขามักได้หุ้นเด่นจากโบรกเกอร์ เงินจำนวนมากถูกวางเดิมพันโดยไม่มีแผนการอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งที่การเทรดหุ้นคือการทำธุรกิจอย่างหนึ่งที่ต้องใช้เงินลงทุนจริง หากไม่มีแผน คุณก็ทำได้เพียงคอยหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง คุณต้องเทรดให้เหมือนกับการทำธุรกิจ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เทรดหุ้นเหมือนงานอดิเรกเพราะพวกเขามีงานประจำอย่างอื่นทำอยู่แล้ว แต่งานอดิเรกนั้นไม่ทำเงิน มันทำให้คุณเสียเงิน
- คนที่เทรดหุ้นโดยไม่ใช้จุด stop loss เลย สุดท้ายเขาจะเลิกเทรดหุ้นไปเอง ทางเดียวที่จะปกป้องการเทรดไม่ให้เกิดผลขาดทุนครั้งใหญ่ก็คือการยอมรับผลขาดทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่มันจะลุกลามจนควบคุมไม่ได้ และจำไว้ว่าปัญหาของการตั้งจุด stop loss ไว้ในใจก็คือ มันง่ายเกินไปที่จะลืม และถือหุ้นที่ขาดทุนเอาไว้ต่อไป แล้วคอยบอกตัวเองว่าจะขายเมื่อหุ้นเด้งกลับมา
- คุณสามารถเลือกหุ้นถูกตัวแค่ 50% และประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ แต่คุณจะต้องรักษาผลขาดทุนให้เล็กน้อย จำไว้ว่าในเชิงคณิตศาสตร์ยิ่งขาดทุนเกินกว่า 10% มากเท่าไร ผลขาดทุนจะยิ่งส่งผลมากขึ้นเรื่อย ๆ
- คุณจะต้องปรับตัวมาเป็นคนที่ยินดีกับการขาดทุนจำนวนเล็กน้อย และเจ็บปวดเวลาที่เกิดการขาดทุนครั้งใหญ่ การขาดทุนเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่เลือกได้ก็คือเราจะยอมขาดทุนเท่าไหร่ต่างหาก
- ถ้าคุณคิดว่าการเทรดแต่ละครั้งคือ 1 จากในอีกล้านครั้ง มันจะง่ายขึ้นมากสำหรับการตัดขาดทุนเล็กน้อย และเดินหน้าต่อไปกับการเทรดครั้งใหม่ เป้าหมายคือการทำกำไร ไม่ใช่การพิสูจน์ว่าคุณเป็นคนถูก และตลาดหุ้นเป็นคนผิด
- สาเหตุที่การประเมินผลการเทรดของตัวเองไม่เป็นที่นิยม ก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นการเทรดแย่ ๆ ของตัวเอง พวกเขาเลือกที่จะลืมมันไป ทั้งที่สิ่งแรกที่จะทำให้สำเร็จในตลาดหุ้นก็คือการมองเห็นปัญหาที่แท้จริง และมันต้องเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ผลการเทรดย้อนหลัง
- เรื่องราวผลประกอบการและมูลค่าหุ้นไม่ใช่สิ่งที่ผลักดันให้ราคาหุ้นขยับขึ้นหรือลงแต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของผู้เล่นในตลาดเพราะถึงแม้จะเป็นหุ้นของบริษัทที่มีคุณภาพสูงที่สุดในตลาดแต่ถ้าไม่มีคนต้องการซื้อหุ้นเลยมันก็ไม่ต่างอะไรกับเศษกระดาษที่ไม่มีค่าใดๆ
- ผมจะไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นถ้ามันยังอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะยาว ผมไม่สนใจที่จะเป็นคนแรกที่ไปถึงงานปาร์ตี้ แต่ผมอยากให้แน่ใจก่อนว่าจะมีการจัดปาร์ตี้เกิดขึ้น เป้าหมายก็คือกำจัดหุ้นที่ไม่คุ้มค่ากับเวลา ผมยินดีที่จะให้คนอื่นเข้าไปในหุ้นตัวนั้นก่อน เพราะจุดประสงค์ไม่ใช่การเข้าซื้อหุ้นที่ราคาถูกที่สุด แต่เป็นการขายหุ้นได้ที่ราคาสูงกว่าต้นทุนที่จ่ายไปอย่างมีนัยสำคัญโดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด
- นักลงทุนหลายคนเข้ามาซื้อหุ้นด้วยความรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีจุดตัดขาดทุน เพราะเขาซื้อเฉพาะหุ้นที่คุณภาพดี แต่ความจริงแล้วไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าหุ้นปลอดภัย หลายคนล้มละลายจากการเข้าซื้อและถือหุ้นเพื่อการลงทุนระยะยาวด้วยปรัชญาว่าความอดทนคือวิธีที่ฉลาดและมีคุณภาพ ทั้งที่จริงมันคือกลยุทธ์ของคนขี้เกียจหรือคนขาดกลยุทธ์
โดยสรุป ถ้าเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพอยู่แล้ว สองเล่มนี้อาจไม่จำเป็น เพราะคุณคงเคยอ่านแล้ว หรือไม่ก็ผ่านพบจนเข้าใจเนื้อหาหมดแล้ว แต่สำหรับมือใหม่ มือสมัครเล่นกึ่งเอาจริงแบบผม อยากแนะนำให้อ่านครับ เนื้อหาอาจใกล้เคียงกัน เล่มปกสีฟ้าคือเล่มหนึ่ง เล่มสีดำคือเล่มสอง แต่อ่านแยกกันได้ (ผมชอบเล่มสองมากกว่า)
ในสภาวะที่ SET ขึ้นแรงขนาดนี้ ในสภาพที่มีนักลงทุนหน้าใหม่ดาหน้าเข้าตลาดหุ้นมากเป็นประวัติการณ์ ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่เราควรลงทุนเป็นอย่างแรกเลยครับ
โฆษณา