11 ก.ย. 2021 เวลา 15:03 • ความคิดเห็น
ตอนแรกว่าจะไม่ตอบละแต่เอาสักหน่อยก็ได้​ ยาวมากๆค่ะ​ ตั้งใจเขียนมากๆ​
เราตอบในถานะที่เราเคยผ่านปีหฤหรรษ์​มาได้​เราคิดว่าเราเคยเป็นโรคซึมเศร้า​แต่แล้ววันนึงเมื่อเราเข้าใจทุกอย่างมันก็เปลี่ยนเรากลายเป็นคนไม่แยแสอะไรเลย เปลี่ยนเราจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยค่ะ
ย้อนกลับไปประมาณ​ 3 ปีที่แล้ว​ มันมีเหตุการณ์​บางอย่างเกิดขึ้นพร้อมๆกัน​ ทั้งหมดมีผลกระทบต่อจิตใจเราหมดเลย​ รวมทั้งปกติเราเป็นคนที่เซนซิทีปค่ะ​ นิดหน่อยมันสะเทือนใจจนใจเต้นหรือเสียวหัวใจได้​มากๆ​ เหตุการณ์​เหล่านั้นมันทำให้เราต้องจมอยู่ในความทุกข์และความเครียด​ เรากลายเป็นคนที่เบื่อโลก​ ไม่อยากพบเจอใคร​ ไม่อยากเห็นแม้แต่แสงตะวัน​
เพื่อนทักว่ารอยยิ้มเราไม่เหมือนเดิม​ คือเป็นรอยยิ้มไม่มีแววตาค่ะ​ ไม่ว่าจะยิ้มจากใจขนาดไหนยิ้มนั้นไม่สดใสเลยค่ะ​ เพื่อนบอกว่าเราเปลี่ยนไปเยอะมาก​ บางครั้งแม้จะไปเจอเพื่อน(ที่สนิทจริงๆ)​หัวเราะปกติแต่ระบบบางอย่างในสมองมันสวิชเข้าโหมดเศร้าเฉยเลยค่ะ​ ลองดูว่าหัวเราะอยู่ดีๆ​ ชะงักแล้วมองไปทางอื่น​แล้วก็นิ่งเงียบ​ ตาลอย​ ในหัวไม่มีอะไรค่ะ​ เพื่อนถามว่่าเป็นอะไร​ ก็ได้แค่บอกว่าไม่มีอะไรค่ะ แต่จริงๆคิดว่าแค่ไม่อยากอยู่อีกต่อไป​ หัวเราะอะไรไร้สาระ ไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไม​ บางทีเมื่อเราหายไปทุกอย่างก็จบ​ ปกติเราชอบออกกำลังกาย​ แต่เราไม่ออกเลยค่ะ​
1
แต่มันมีความคิดที่ว่า​ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้​ เราจะหายมั้ย​ หรือจมแบบนี้​ บางครั้งมันนึกย้อนไปตอนที่เราอ่านการ์ตูนโดราเอม่อน​ ตอนที่โดราเอม่อนเอายาอะไรบางอย่างให้โนบิตะกิน​ เพราะตอนนั้นโนบิตะเศร้าและหดหู่มาก​ แต่เมื่อโนบิตะกิน​ กลายเป็นเหมือนเด็กที่ตื่นเต้นไปหมดทุกอย่าง​ ของที่เคยเล่นจนชินกลับตื่นเต้นดีใจอยากเล่นอีก​ ไม่ว่าเล่นหมากรุก​ พันด้าย​ หรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้โนบิตะที่หดหู่เปลี่ยนเป็นสดชื่นอีกครั้ง​ เราคิดว่าเราอยากเป็นแบบนั้นค่ะ
เราไม่อยากหาหมอ​ เพราะเรามีเพื่อนที่หมอวินิจฉัย​ว่าเป็นโรคซึมเศร้า​ ทั้งที่เพื่อนคนนั้น​มีเพื่อนสนิท​ เพื่อนเยอะ​ กำลังใจดีมาก​ ไปไหนมาไหนตลอด​ แม่ก็หัวสมัยใหม่​ ปกติเพื่อนเราจะลั้นลาเฮฮาปร์ตี้มาก​ เราคิดว่าเพื่อนเราแค่น่าจะเครียดอะไรในบางช่วงชีวิตเท่านั้นเอง​
เพราะเราค้นหาข้อมูลว่าการวินิจฉัยโรค​ซึมเศร้า​ตัดสินยังไง​ ประโยคคลาสสิคเลยคือ
คนที่เป็นโรคซึมเศร้า
"ไม่มีอดีต​ ไม่มีปัจจุบัน​ ไม่มีอนาคต" พวกเขาไร้แพสชั่นที่จะทำสิ่งต่างๆ​ดังนั้นจึงต้องกินยาปรับฮอร์โมน​ แต่เพื่อนเราถึงแม้จะเศร้าแค่ไหนนางยังมีแพสชั่นเรื่องการเมือง​ ยังด่าคนเป็น​ เราคิดว่ามันไม่ใช่ละ
แน่นอนเมื่อเราเศร้าจิตตกสุดๆไม่มีใครให้คำปรึกษา​ หรือให้คำปรึกษาไม่ดีพอก็ต้องไปหาหมอ​ แล้วไปหาหมอ​ ใช่ว่าหมอจะดีทุกคน​ (ไม่ได้ดูถูกอาชีพนี้นะคะ​ )​ แล้วหมอขายอะไร​? ก็ขายยาสิ​ แม้แต่ทำแบบทดสอบแน่นอนช่วงเศร้าก็ต้องตอบเศร้าๆสิ
1
แต่เราไม่ชอบกินยา​ เพราะไม่ว่าจะยาเม็ดไหนเมื่ออยู่ในมือมันย้ำเตือนเราว่าเรากำลังไม่ปกติ​ เราไม่ชอบการกินยา​ ไม่อยากไปหาหมอ​ เราเลยลงทุนหาหนังสือจิตวิทยาอ่านเสียเองเลย​ รวมทั้งหนังสือ​ mind​ set ต่างๆ​ หาบทความเรื่องฮอร์โมนต่างๆ​ว่าตัวไหนมีผลกระทบยังไง​ กิจกรรมใด​ที่เสริมสร้างฮอร์โมน​เหล่านั้นบ้าง
เราไม่ได้อยากทำกิจกรรม​เหล่่านั้นค่ะ​ แต่ฝืนทำ
ฝืนออกไปเดินเล่น​ ออกไปทำกิจกรรม​ช่วยเหลือสังคม​บางครั้งบางสิ่งก็ไม่อยากทำ​ เพราะเราไม่อยากเจอใคร​ ไม่อยากเห็นแม้แสงตะวันอย่างที่บอก​เหมือนการออกกำลังกาย​ที่บางท่าเราไม่อยากออก​ แต่ก็ต้องฝืนออกจนเราทำท่านั้นได้
อาการมันดีขึ้นค่ะ​ เพราะเวลาอะไรเกิดขึ้นจะรู้ว่า​ฮอร์โมนตัวไหนทำงานอยู่​ แต่ยังเป็นคนเซนซิทีฟ
นอกจากนั้นเรายังเรียนรู้ด้านพลังงานด้วยค่ะ
เราพบว่าคนที่เป็นโรคซึมเศร้า​พลังงานของทั้ง​ 7​ จักระในร่างกายบล็อคอยู่​ ต้องบอกว่า​การทำสมาธิคือการสร้างเซโรโทนินซึ่งช่วยให้จิตใจสงบและรักษาโรคซึมเศร้า​ แต่เราไม่อยากเข้าหาธรรมะเพียงเพราะใจพิการค่ะ
1
หลังจากนั้น​เราเจอเหตุการณ์​อีกเหตุการณ์​หนึ่ง​ ที่เจ็บแปลบสุดๆ​ ร้องไห้​สุดๆ​ วันนั้นเราปิดประตูล็อคห้องแล้วอาละวาดเต็มที่​ แล้วในหัวมันปรากฏ​เหตุการณ์​ที่เคยเกิดขึ้นอดีต​ตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน​ มันคือของเสียจากประสบการณ์​ที่เคยสะสมไว้ในจิตใต้สำนึก​มันไม่ใช่แค่เหตุการณ์​ในปัจจุบันค่ะ​ เพราะเราเป็นคนเก็บเพราะนิสัยชอบพูดว่า​ "ไม่เป็นไร" (แต่จริงๆเป็น)​ สิ่งที่เคยโดนเอาเปรียบใน​ รร​ ในครอบครัว​ พ่อแม่ถือหางใคร​ มันมาหมดค่ะ
2
อยากตายมากๆตอนนั้น​แต่เราไม่เคยบอกใครนะคะ แต่ผลจากการฝึกสมาธิคือ​ให้มีสติทุกๆ​ 1 วินาทีที่จะไม่ทำอะไรโง่ๆ​ ระลึกไว้เสมอว่าห้ามๆ​ ห้ามกระโดด​ ห้ามหาเชือก​ ห้ามหยิบมีด​ กรีดร้องค่ะ​ กรี้ดใส่หมอน​ ชกประตู​ ทำหมดเพื่อให้รู้ตัว​ วันนั้นไม่ต้องการใครอยู่ข้างๆ​ เราระเบิดทุกอย่างออกมา​คนที่อยู่ในความทรงจำเรา​ที่ทำให้เกิดเรื่องแย่ๆ​ เราโทรไปเคลียร์​หมดเลยค่ะ​ เค้างงๆ​แต่ก็ได้พูดเปิดใจกัน
หลังจากคืนนั้นโล่งค่ะ​ แล้วมันหวนกลับมาเป็นอีก​ 1 ปีให้หลัง​เกือบจะตรงกับวันเดียวกัน
แต่​ 1 ปีให้หลัง​เราต้องการใครสักคนข้างๆมากๆ​ คนที่บอกว่าจะอยู่ข้างๆเราเสมอ​เพื่อนสนิท​หรือใคร สุดท้าย​ไม่มีค่ะ​ ไม่มีใครเลย​ ทำเหมือนเดิมค่ะ​มีสติ​ สุดท้ายเราผ่านคืนนั้นมาได้​ "คนเดียว" ไม่เคยหาหมอ​ ไม่เคยใช้ยา​ มีแค่ใจล้วนๆ
เราเบลอไปหลายวันเลย​ค่ะ​ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเราไม่รู้​ เราฟังภาษาไม่ออก​ แต่หลังจากนั้น
คิดว่า​แล้วเราจะมีชีวิตเพื่อใคร? ฉันจะแคร์ใครในวันที่ฉันต้องการใครแต่ไม่มีใครแคร์ฉัน?
มันกลายเป็น
I​ don't​ give​ a​ f​*​ck​ to​ any​ body, I just do what I​ feel​ like​ to​, I don't care sh*t, I don't even care how​ people​ think​ about me. I​ have my​ own​ rules and​ I​ enjoy it, I'm no longer breakable.
เหมือนเกิดใหม่ค่ะ​ กลายเป็นคนไม่เซนซิทีฟ​ keep​ calm​ ไม่เหงา​ ไม่สน​ ไม่แคร์​ ไม่ต้องการให้ใครมาสน​ ไม่ต้องการเป็นคนสำคัญของใคร รู้ทันอารมณ์​ตัวเอง​ มองคนออก​ ไม่เอาความรู้สึก​ใส่พร่ำพรื่อ​ แยกสถานการณ์​ออก​ รู้จักใส่ใจเรื่องที่ควรใส่ใจ​ ปล่อยวางและไม่เก็บมาคิดบางเรื่อง​ เราพบว่าหลายๆอย่าวที่พบเจอในชีวิตมันไร้สาระมากที่จะ​ take​ it​ serious.​ เพราะคิดไปก็เตรียดเปล่าๆ เราไม่อนุญาต​ให้ใครมามีอิทธิพล​กับเราอีกเลย​ กลายเป็นผู้​หญิงที่จิตใจแข็งไปเลยค่ะ
*กลับมาเสริมตรงนี้ค่ะ
หลังจากนั้นเราไปเจอคำคม​ Gangster ของฝรั่ง
เค้าเขียนว่า​ "I​ went​ though​ my​ darkess​ time​ alone, so sorry if I act like​ I​ don't​ need​ anyone" ซึ่งมาทำให้เราแบบ​ แม่งงงง​ ใช่เลยย​ ทำให้เราเข้าใจความรู้สึกคนเขียนคำคมนี้ขึ้นมา​ แล้วก็รู้ว่าไม่ใช่แค่เราคนเดียวบนโลกนี้ที่ผ่านค่ำคืนตัดสินชะตาแล้วเปลี่ยนเป็นคนละคน
กลายเป็นว่าเราทำดีเพราะไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ​ แต่ทำความดีเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนมนุษย์​หรือเพื่อนร่วมโลกด้วยกัน​ ฉันทำดีเพราะ​ Feel​ like​ to​ ข้อดีคือทำดีเพราะอยากทำและไม่ต้องการอะไรตอบแทน​ แต่ถ้าไม่ทำดีหรือไม่ได้ช่วยใครยามใครต้องการ​มันก็ช่วยไม่ได้​ มันคือสิทธิ์​ของฉันที่จะช่วยหรือไม่ช่วย​ เพราะวันที่ฉันต้องการใครมากที่สุด​ ทุกคนก็ใช้สิทธิ์​ไม่ช่วยฉันในคืนนั้น
ดันนั้นไม่ว่าใครจะคิดว่าเราเป็นคนยังไงเราไม่สนค่ะ​ ปกติคนชอบคิดเองอยู่แล้ว​ และไม่มีใครรู้จักเราดีจริงๆ​ ทั้งเบื้องลึกเบื้องหลัง​ เราจึงไม่สนค่ะ​ อาจจะสุดโต่งแต่มันก็คือวิธีป้องกันตัวเองทางความรู้สึกค่ะ​
แต่ว่าเราก็ยังใจดีกับเพื่อนรอบๆข้างค่ะ
เมื่อเราไม่แคร์เราก็จะเจอความจริง​ เพื่อนก็จะโทรมาขอปรึกษา​ รับพลังงานบวก​ ซึ่งจริงๆ​เราให้ได้ทั้งบวกและลบแหละค่ะ​ เพราะเราไม่อยากให้เพื่อนที่เครียดๆโดนทิ้งให้โดดเดี่ยวแบบในวันที่เราโดน​ เพราะอาจจะมีไม่กี่คนที่สามารถข้ามผ่านวันตัดสินโชคชะตา​มาได้
เรามองกลับไปดูตัวเอง​ เราพบว่าเราไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า​ เพราะเรายังมีแพชชั่นที่จะหาย​เรายังมีความเชื่อในตัวเอง​ เราแค่ไม่รู้​จักหาวิธี​รับมือ​กับสิ่งต่างๆ​เพราะ​ รร​ ไม่เคยสอน​ ใครหลายๆคนไม่เป็น​ ไม่เคยเป็นด้วยซ้ำ​ พวกเขาแค่อยากได้ยินคำปลอบใจ​ อยากได้รับความสำคัญจากสังคม​ พวกเขาหรือเราในอดีตไม่รู้จักโต​และไม่เข้าใจว่าชีวิตเราคือความรับผิดชอบของเราเอง​ ปัญหา​เกิดขึ้นก็รู้จักเคลียร์​เองไม่ใช่วิ่งหาคนปลอบใจ​ พอไม่มีใครก็น้อยใจ​มันไม่ใช่​ เราคิดว่าโรคนี้ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ​ บางครั้งเราแค่เครียดวิตกกับบางช่วงของชีวิต​ คนเราสามารถฆ่าตัวตายเพราะเครียดเกินพิกัดไม่จำเป็นต้องเป็นโรคซึมเศร้า​ด้วยซ้ำ​ แค่รู้จักหาวิธีรับ​ เข้าใจ​ ปลดปล่อย
1
เราเคยอยากหายและอยากช่วยคนเป็นโรคซึมเศร้า​พบว่าคนเหล่านั้นหลายๆคนไม่น่าช่วยเลยค่ะ​ อย่างที่บอก​ บางคนที่อยากหาคำปลอบใจที่โดนใจ​ แค่อยากมีคนโอ๋​ เราเคยตอบคำถามคนเป็นโรคซึมเศร้า​ในนี้ค่ะ​ อาจะเพราะตรงเกินไป​ เมนต์ของเราเลยโดนรายงาน​ ใช่ว่าเราไม่เข้าใจ​ แต่เราเคยผ่านมันมาแล้วด้วยซ้ำ
ถึงแม้เราเจ็บแต่เราไม่ตัดสินให้ตัวเองเจ็บค่ะ​
เราตัดสินให้ตัวเองแกร่งกว่าความเครียดที่เข้ามา
เราเลยกลายเป็นคนไม่แยแสอะไรอีกเลยค่ะ​
ตอนนี้เราสุขภาพดี​ (มากๆ)​ แข็งแรง​ ออกกำลังกายได้หนัก​กว่าเดิม​ มีแพชชั่นหลายอย่าง​ มีชาเลนจ์​ให้ตัวเองมากมาย​ ไม่มีเวลานั่งคิดเรื่องแย่ๆค่ะ​
3
โฆษณา