12 ก.ย. 2021 เวลา 15:18 • นิยาย เรื่องสั้น
จุติแดนสวรรค์
ภพวิญญาณ
เสียงโหยหาของความเศร้า ที่เฝ้ารอการกลับมาของความสุขของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ณ เมืองสีขาว ซึ่งในอดีตเมืองสีขาวนั้นเป็นที่มีแต่ความสุขของเหล่าวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย ซึ่งเหล่าวิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ แต่ละตัวก็มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ มีนิสัยที่ร่าเริง และเบิกบานสนุกสนานกับชีวิตตลอดเวลา พวกเขานั้นก็ได้อยู่กันอย่างสงบสุขในเมืองสีขาวมาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วอายุของพวกเขา
ที่มารูปภาพ : ยุทธจักร
แต่อยู่มาวันหนึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาด ณ เมืองสีขาวขึ้น วันนั้นมีพายุเข้า ฝนตก ฟ้าร้อง แผ่นดินอย่างหนัก เป็นเวลานาน จนเกิดมีคลื่นน้ำขนาดใหญ่ได้พัดพาเอาเหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนไปกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากไหลไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น
ที่มารูปภาพ : https://pixabay.com
ณ ที่แห่งนั้นเหล่าวิญญาณเร่ร่อนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้นานเพราะอุณหภูมิและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เลยทำให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนได้ล้มหายตายไปจากเหล่าพี่น้อง นับตั้งแต่วันนั้นมาก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดนี้อยู่เรื่อยๆ ทำให้เหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนได้ล้มตายจากภัยพิบัตินี้มากมายหลายชีวิต จากเมืองที่เคยมีแต่ความสุข มีเสียงหัวเราะ ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานมีแต่ความเบิกบานร่าเริงของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน ก็ต้องกลายมาเป็นเมืองที่มีแต่ความเศร้าโศก เสียใจของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน
ที่มารูปภาพ : เปิดตํานาน
เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นกับเหล่าวิญญาณเร่ร่อนนั้น คือการลงทัณฑ์จากพระหัตถ์ของพระเจ้า (เทพ) เป็นการลงโทษสูงสุดของเหล่าทวยเทพผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ แต่เหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่เข้าใจว่า เหล่าวิญญาณเร่ร่อนได้กระทำการใดที่ทำให้ให้พระเจ้าโกรธเกรี้ยวไม่พอพระทัย
และได้ลงทัณฑ์ต่อเหล่าวิญญาณเร่ร่อน เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้หาคำตอบอยู่เป็นเวลาแสนนานว่าได้กระทำการใดลงไปถึงถูกลงทัณฑ์จากพระเจ้าได้ แต่ก็ไม่พบคำตอบนั้นเลย ได้แต่เศร้าโศกเสียใจกับเหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนที่ล้มหายตายจากไป............  จนเวลาได้ล่วงเลยไปแสนนาน...
อยู่มาวันหนึ่งเหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนที่เหลือรอดมาได้ ก็ได้ไปคิดหาวิธีที่จะหยุดการลงทัณฑ์จากพระเจ้า พวกเขาก็ได้คิดหาวิธีต่างๆและได้ใช้วิธีเหล่านั้น แต่ก็ไม่สามารถที่จะหยุดการลงจากพระเจ้าได้เลย แต่มาวันหนึ่งวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งก็ได้พบหนทางแห่งการรอดพ้นภัยพิบัตินี้ วิญญาณเร่ร่อนตัวนั้นได้ค้นพบบันทึกสวรรค์ที่เทพธิดาได้บันทึกเหตุการณ์ต่างๆบนสวรรค์ไว้ ซึ่งเนื้อหาในนั้นได้บันทึกเหตุการณ์และเรื่องราวต่างของสวรรค์รวมทั้งวิการที่จะช่วยให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนรอดพ้นจากพระหัตถ์แห่งพระเจ้าได้
เหล่าวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นก็พากันดีใจมากที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัติจากพระหัตถ์แห่งพระเจ้าได้เสียที เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้อ่านบันทึกสวรรค์นั้นและได้ทำความเรียนรู้และดำเนินการปฏิบัติตามวิธีที่จะช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติได้ซึ่งทำให้พวกเขาดีใจมากที่จะพ้นจากภัยพิบัติที่ทำให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานานนี้เสียที
แต่ในความดีใจนั้นก็มีกลัวและความทุกข์ใจด้วยเช่นกัน เพราะหนทางแห่งการรอดพ้นนั้นได้บันทึกเอาไว้ว่า วิธีที่จะรอดพ้นได้คือต้องรอวันที่ท้องฟ้าเปลี่ยนสี มีฝนตก ฟ้าร้องเป็นจังหวะ แล้วรอคลื่นน้ำกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากพัดพาออกไปสู่การเริ่มต้นใหม่แห่งชีวิต จึงทำให้พวกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนไม่ค่อยแน่ใจว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัติจากพระเจ้าไปได้ด้วยวิธีที่อันตรายเช่นนี้
เพราะการที่จะรอดพ้นนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อคลื่นกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้พัดพาออกไปแล้วนั้น เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ต้องเจอกับอุปสรรคต่างมากมายในการรอดพ้นจากภัยพิบัตินี้... และหลังจากนั้นเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้แต่เฝ้ารอคอยวันเวลาที่เกิดเหตุการณ์ดังที่ได้บันทึกไว้ในบันทึกสวรรค์ เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้เฝ้ารอให้วันๆ นั้นมาถึง แต่ก็ได้แต่เฝ้ารอวันแล้ววันเล่าพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจที่ได้สูญเสียเหล่าพี่น้องวิญญาณเร่ร่อนจากการลงทัณฑ์ของพระเจ้า...  แล้วเวลาก็ได้ผ่านมาเนิ่นนานพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ได้ตายจากไป...
และแล้วเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็มีความหวังกลับมาอีกครั้ง เมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี มีฝนตกฟ้าร้องเป็นจังหวะตามที่บันทึกสวรรค์ได้บันทึกเอาไว้ เหล่าวิญญาณเร่ร่อนต่างก็พากันดีใจที่จะได้หลุดพ้นจากภัยพิบัตินี้เสียที หลังจากที่ต้องทนทุกกับโศกนาฏกรรมของเหล่าพี่น้องที่ได้จากไปมาแสนนาน และตอนนี้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่เหลือรอดก็ได้เตรียมพร้อมที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่... ทุกตัวต่างเฝ้ารอคลื่นกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากพัดพาออกไปจากเมืองสีขาวที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจแห่งนี้เสียที...
และแล้วการเฝ้ารอของเหล่าวิญญาณเร่ร่อนทีจะได้ออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็มาถึง เมื่อคลื่นกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากได้พุ่งผ่านทางแห่งสุขด้วยความรวดเร็วและรุนแรง แต่แล้วเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็เริ่มมีความกลัวแล้วได้พูดคุยกันว่าพวกเราจะรอดพ้นจากภัยพิบัติจากพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วยกระแสน้ำนี้นะหรือ
(ตอนนี้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนกำลังมีความรู้สึกกลัวกับหนทางรอดพ้นที่ได้บันทึกไว้ในบันทึกสวรรค์) และลังเลที่จะพุ่งตัวไปกับกระแสน้ำนี้ แต่ก็มีวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ถ้าพวกเราไม่พุ่งตัวไปกับกระแสน้ำนี้ พวกเราก็จะต้องทนทุกข์กับภัยพิบัติจากพระเจ้าเช่นนั้นหรือ
เหตุการณ์ได้เงียบไปชั่วขณะ จากนั้นเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้หันมองหน้ากันแล้วตกลงปลงใจกัน ที่จะพุ่งตัวไปกับกระแสน้ำนี้ และแล้วเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้พุ่งตัวไปกับกระแสน้ำผ่านเส้นทางแห่งความสุขเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ พุงตัวไปกับกระแสน้ำ
ที่มารูปภาพ : https://www.google.com/url?
เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแห่งกระแสน้ำ (เมืองสีแดง) เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้พบกับความกว้างใหญ่ของเมืองใต้น้ำที่พวกเขาพึงเดินทางมาถึง ทั้งเมืองถูกโอบล้อมไปด้วยแสงสว่างสีแดงฉานที่ส่องประกายระยิบระยับอันอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา
เมื่อแสงนั้นส่องถูกหรือกระทบเข้ากับสิ่งมีชีวิต ก็จะทำให้สิ่งมีชีวิตมีชีวิตชีวามากขึ้นรู้สึกเบิกบานและสัมผัสได้ว่าแสงสีแดงที่ส่องมากระทบนั้นเป็นแสงที่ทำให้สิ่งมีชีวิตรู้สึกสดชื่น  และเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้แหวกว่ายอยู่ในห้วงน้ำสีแดงที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีนั้นและต่างก็พากันดีใจที่รอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้และยังได้เจอกับแสงที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขอีก
แต่ก็ไม่สามารถดีใจได้เต็มที่มากนัก เพราะในบันทึกสวรรค์ของเทพธิดาได้บันทึกเอาไว้อีกว่า เมื่อมาถึงเมืองที่มีแสงสีแดงส่องประกายแล้วนั้น ก็ต้องเดินทางตามแสงสว่างเหล่านั้นไป และบันทึกสวรรค์ของเทพธิดาก็ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า....
“เมื่อประสบพบเจอประกายแสงสีทองส่องจ้านภากระจ่าง  ฟ้าเริ่มสางตะวันกวาดรัศมี  ทุกแห่งหนสว่างทั่วปฐพี  ทุกชีวี ณ ที่นี้จะสุขใจ ถึงจะพบกับเส้นทางแห่งการหลุดพ้นที่แท้จริง………………………..…”ซึ่งเป็นแสงที่จะทำให้พวกเขาได้พบเจอกับความสุขที่แท้จริง
แต่มีหนึ่งข้อความของบันทึกสวรรค์ของเทพธิดาที่ได้บันทึกไว้แต่ทิ้งท้ายอีก ซึ่งเหล่าวิญญาณเร่ร่อนนั้นไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะข้อความที่บันทึกนั้นเป็นภาษาเทพเจ้า ซึ่งได้บันทึกเอาไว้ว่า (ผู้ที่แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว)
ซึ่งเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่ได้สนใจในข้อความนั้นแม้แต่น้อย เพราะบันทึกสวรรค์ของเทพธิดานั้นได้พัดพาพวกเขาให้รอดพ้นจากภัยพิบัติจากพระเจ้ามาได้ และต่างพากันดีใจมาก... หลังจากนั้นก็ได้เริ่มออกเดินทางตามที่บันทึกสวรรค์ของเทพธิดาได้บันทึกไว้
ที่มารูปภาพ : https://www.google.com
เมื่อเหล่าวิญญาณเร่ร่อนได้ออกเดินทางตามแสงสว่างสีแดงโดยการแหวกว่ายตามผืนน้ำสีแดงนั้นไปเรื่อยๆ ก็ได้เจอเข้ากับอสูรกายรากษสขาวจำนวนมากมายแหวกว่ายอยู่ในห้วงน้ำสีแดงแห่งนี้เช่นกัน ณ เวลานี้พวกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็เจอเข้ากับศัตรูที่เป็นปัญหาต่อพวกเขาเข้าชะแล้ว
เพราะพวกมันอสูรกายรากษสขาวนี้เป็นอสูรกายที่อันตรายมาก คอยดักจับกินสิ่งมีชีวิตต่างที่แหวกว่ายผ่านมันไม่เว้นแม้แต่เหล่าวิญญาณเร่ร่อน เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ต่างพากันกลัวอสูรรากษสขาวมาก แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก จึงได้ตัดสินใจพากันแหวกว่ายไปข้างหน้าต่อไปเรื่อยๆตามทางที่แสงสว่างสีแดงส่องประกายและพยายามหลบหลีกอสูรรากษสขาวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่เหล่าวิญญาณเร่ร่อนนั้นแหวกว่ายในห้วงน้ำไม่ค่อยเร็วนัก จึงทำให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนถูกอสูรรากษสจับกินมากมายในห้วงน้ำสีแดง วันเวลาก็ได้ผ่านไป จนในที่สุดก็ผ่านพ้นจากอสูรกายรากษสมาได้...
พวกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ได้แหวกว่ายในห้วงน้ำสีแดงต่อไป พร้อมกับความหวังที่เหลือเพียงน้อยนิด เพราะตลอดเวลาของชีวิตพวกเขา ได้ประสบพบเจอแต่ความโศกเศร้าเสียใจ และความตายของเหล่าพี่น้อง ทำให้พวกเขาเริ่มท้อแท้ต่อชีวิตที่เหลืออยู่
เพราะพวกเขาคิดว่าพวกเขาเริ่มไม่มีความหวังที่จะรอดชีวิตไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้เลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาก็ได้พบเจอแต่ความตายของเหล่าพี่น้อง และเริ่มหมดหวังกับการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา
แต่ในความหวังอันน้อยนิดของเหล่าวิญญาณเร่ร่อนนั้น ก็ยังมีความโชคดีอยู่ เมื่อเหล่าวิญญาณเร่ร่อนบางตัวได้สังเกตเห็นประกายแสงสีทองส่องประกายมาจากทางด้านหน้าของพวกเขา ซึ่งเป็นแสงแห่งความหวังสุดท้ายของเหล่าวิญญาณเร่ร่อน เป็นแสงแห่งการนำทางไปสู่การเริ่มต้นแห่งชีวิตใหม่ของพวกเขา
แสงนั้นได้แผ่รัศมีส่องประกายไปทั่วผืนแผ่นดินและห้วงน้ำ เป็นเส้นทางให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อน แล้วเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้งแล้วเริ่มแหวกว่ายตามแสงสีทองไป ในที่สุดการแหวกว่ายของเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่ได้ไรความหมาย เมื่อเหล่าวิญญาณเร่ร่อนได้พบกับแหล่งกำเนิดแห่งแสงสีทองที่เปล่งประกายออกมาเป็นแสงนำทางให้พวกเขา เหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็ไม่รอช้าที่จะแหวกว่ายไปสู่แหล่งกำเนิดแห่งแสงด้วยความเร็วเท่าที่พวกเขาจะทำได้ (25 ไมโครเมตร/วินาที)
เมื่อเหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่เหลือรอดกลุ่มสุดท้ายได้แหวกว่ายมาถึงต้นกำเนิดแห่งแสง (นิวเคลียส) พวกเขาต่างก็มีความสุขและดีใจมากที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที จากนั้นเหล่าวิญญาณเร่ร่อนก็เริ่มชอนไชเข้าไปในต้นกำเนิดแห่งแสง
เพื่อหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ในความสุขนั้น ก็แฝงมากด้วยความทุกข์เช่นกัน เพราะว่าบันทึกสวรรค์ของเทพธิดาได้บันทึกข้อความสุดท้ายที่เหล่าวิญญาณเร่ร่อนไม่สามารถเข้าใจได้ไว้ว่า (ผู้ที่แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว)
ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีเพียงวิญญาณเร่ร่อนเพียงตัวเดียวที่จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างแท้จริง... ในที่สุดวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งก็สามารถชอนไชเข้าไปในต้นกำเนิดแห่งแสงได้สำเร็จและได้รับพลังแห่งชีวิตของต้นกำเนิดแห่งแสงมาทั้งหมด ทำให้ต้นกำเนิดแห่งแสงมีปฏิกิริยาบางอย่างออกมาจากด้านใน และก่อตัวเป็นเกราะ ไม่ให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่เหลือเข้าไปได้
เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปเรื่อยๆ... ทำให้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่ข้างนอกต้นกำเนิดแห่งแสงได้ตายลง ส่วนวิญญาณเร่ร่อนเพียงตัวเดียวที่อยู่ด้านในต้นกำเนิดแห่งแสง ก็รอคอยการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
ที่มารูปภาพ : https://www.google.com
เมืองสวรรค์
แสงสีทองส่องผ่านพระบัญชร  สาวงามดุจเทพธิดาก็ตื่นขึ้นจากการหลับไหล แล้วเดินตรงไป ณ แดนสุขาวดี จากนั้นไม่นานก็เดินออกมา ตรงไปหาคนรักของเธอ พร้อมกับร้อยยิ้มที่เต็มเปี่ยมด้วยความดีใจ และมือข้างหนึ่งได้จับอุปกรณ์แปลกๆ ไว้แน่น
#ปล. มีชัยมาตร
ขอขอบคุณ
ภาพหน้าปก : จาก ยุทธจักร
ภาพที่ 1 จาก pixabay
ภาพที่ 2 จาก เปิดตํานาน
ภาพที่ 3 จาก https://www.google.com/url?
ภาพที่ 4 จาก https://www.google.com/url?
ภาพที่ 5 จาก https://www.google.com
โฆษณา