Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Blof Football
•
ติดตาม
22 ก.ย. 2021 เวลา 05:05 • กีฬา
Blof Story - เมื่อชายคนหนึ่งมีฟุตบอลเป็นทุกสิ่งในชีวิต ฟุตบอลจึงส่งให้เขาไปเป็นทุกอย่างของทีม (PART 2)
ทีมในยุคแรกๆไม่มีเสื้อแข่ง หรือมีก็มีไม่พอจำนวนคนด้วยซ้ำ ต้องใส่ชุดเก่าๆขาดไปแข่ง โค้พยายามจัดหา หาผู้สนับสนุนก็ไม่เจอที่ลงตัว หนสุดท้ายโค้ชเศกก็ยอมลงทุนทีเดียวเปิดร้านเสื้อกีฬาทำเองให้ทีม แถมยังต่อยอดด้วยการสร้างรายได้เพิ่มเติมมาทำทีมต่อได้อีก
สนามซ้อมสำหรับทีมในช่วงต้นไม่ค่อยมีเป็นหลักเป็นแหล่งเท่าไหร่ ทีมต้องย้ายที่ซ้อมเป็นประจำด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่โค้ชเศกก็ค่อยวิ่งโร่หาไม่พัก ซึ่งเคยมีถึงขั้นที่ว่าโค้ชไปเอาเครื่องตัดหญ้าไปตัดหญ้าสนามร้างที่ไม่มีคนใช้เป็นวันๆ เคยมีครั้งหนึ่งทำกันตั้งแต่เช้ากันจน 3-4ทุ่ม รดน้ำดูแลสนามกันเองเพื่อให้เด็กได้มีที่ซ้อมกัน
การที่โค้ชเศกเลือกจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หรือมีทีมงานที่น้อยมาก มันก็มีเงื่อนไขของมันอยู่ ในปรัชญาในการทำทีมของโค้ชเศก บุคลากรต้องมีความรู้และความเข้าใจอย่างแท้จริง คิดไปในทิศทางเดียวกัน ถึงจะร่วมงานไปด้วยกันได้
และผลของความพยายามก็มีความหมายในที่สุด ทีมก็มีความพร้อมมากพอที่จะก้าวเข้าสู่ฟุตบอลอาชีพได้ในปี 2009 แต่นี้หาใช่จุดสิ้นสุด หากแต่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น
บอลอาชีพแตกต่างกับบอลสมัครเล่นก่อนหน้าอย่างแน่นอน การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น ผลประโยชน์ที่มามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับสโมสร ทำให้งานนี้ยากขึ้นไปอีกสำหรับสโมสร
ซึ่งความท้าทายแรกจากการบอกเล่าของโค้ชเศกคือ การที่ทีมยังมีผู้เล่นที่ยังมีทัศนคติแบบบอลสมัครเล่นอยู่ สืบเนื่องจากผลตอบแทนที่ไม่มากพอในแต่ละเดือนทำให้นักกีฬาส่วนหนึ่งยังคงทำงานอื่นควบคู่ไปด้วย และไม่ได้ให้ความสำคัญที่มากพอกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ทำให้เขาไม่ได้เป็นนักกีฬาที่ดีสักเท่าไหร่และไม่ได้ร่วมเดินทางไปแข่งกับทีมได้ทุกครั้ง บางครั้งการไปแข่งของทีมกำแพงเพชรมีตัวสำรองแค่ 1 ถึง 2 คนเท่านั้น ผู้เล่นบางคนต้องเล่นสารพัดตำแหน่งตั้งแต่ผู้รักษาประตูยันกองหน้าหรือบางครั้งตัวโค้ชเศกยังต้องสลัดคราบโค้ชลงไปเล่นกับผู้เล่นในสนามด้วยซ้ำ
ลุ่มๆ ดอนๆมากว่า 20 ปีจนมาถึงทุกวันนี้ สโมสรก็ยังขอเป็น 1 สโมสรอาชีพ ทีมเล็กๆตัวแทนจากภาคเหนือตอนล่างเพื่อเข้าร่วมแข่งขันในลีกอาชีพไทย
แล้วปัจจุบันละ ทีมเป็นอย่างไร
เวลา 20 กว่าปีสร้างประสบการณ์ทั้งนอกสนาม และในสนามให้กับทีม ทีมเคยประสบปัญหากับการหาหรือเก็บรักษาผู้เล่นที่มีความสามารถบวกกับทัศนคติแบบมืออาชีพ
โค้ชเศกจึงมีวิธีบริหารจัดการนักเตะใหม่เพื่อแก้ปัญหาตรงนี้ โดยสัดส่วนของนักเตะในทีมจะแบ่งเป็นนักเตะ 4 ประเภทด้วยกัน
ประเภทที่ 1 เป็นเด็กเยาวชนท้องถิ่น ซึ่งต้องผ่านการณ์ทดสอบเป็นพิเศษ ซึ่งทดสอบที่ว่าไม่ใช่ฝีเท้าแต่หากเป็นความคิด และทัศนคติ มีความมุ่งมัน เอาจริง ไม่ขาดซ้อม โค้ชเศกใช้คำว่าดูใจ เพราะอยากให้นักเตะเหล่านี้โตไปกับทีมกันยาวๆ 3-5 ปี
ประเภทที่ 2 นักเตะท้องถิ่นที่มีประสบการณ์ นักเตะเหล่านี้อาจจะเป็นนักเตะที่ทำงาน Part time ให้กับสโมสร มาซ้อมหรือแข่งไม่ได้ทุกครั้ง แต่ทีมต้องการประสบการณ์ของพวกเขาในการประคองเด็กๆ ในทีมต่อกรกับทีมอื่นๆ และพัฒนาน้องๆ ในทีมทางอ้อม
ประเภทที่ 3 คือนักเตะเกรดกลางที่มาจากจังหวัดอื่นๆ ซึ่งนักเตะกลุ่มนี้จะมีคุณสมบัติไม่ค่อยแตกต่างจากประเภทที่ 2 แต่อย่างใด
ประเภทที่ 4 ประเภทสุดท้ายคือ 3 นักเตะต่างชาติ ซึ่งสโมสรก็มีความชัดเจนว่าทีมนี้ไม่ใช่ทีมที่มีเงินมาก เเต่ก็พร้อมให้โอกาสนักเตะที่ต้องการโชว์ฝีเท้า เพราะคุณมองหาที่ๆ จะให้คุณได้โชว์ศักยภาพของคุณก็คงเป็นกำแพงเพชรแห่งนี้ที่ตอบโจทย์
ด้วยอัตราส่วนของทีมจะค่อนไปทางเด็กทำให้อายุเฉลี่ยของทีมอยู่ที่เพียง 20 ต้นๆ เท่านั้นเอง โค้ชเศกได้อธิบายวิธีบริหารจัดการทีมเบื้องต้นว่าทีมจะได้เงินในการทำทีมมาจาก 3 แหล่งด้วยกัน
คือเงินสนับสนุนจากสมาคม, จากผู้สนับสนุน, และเงินจากตัวประธาน หรือโค้ชเศกนั้นเอง แล้วเมื่อทราบงบในการทำทีมคร่าวๆ ทีมก็จะมาบริหารในการเลือกนักเตะเข้าทีม
สิ่งหนึ่งที่โค้ชเศกยึดมั่นในการทำทีมคือความซื่อตรงกับนักเตะ นั่นคือเหตุผลที่สโมสรสามารถเลือกใช้นักเตะได้ แบบ 4 ประเภทข้างต้น ซึ่งอยู่ในงบการทำทีม ทำให้ไม่มีกรณีสโมสรค้างเงินเดือนนักเตะเกิดขึ้นกับทีมนี้
ในช่วงไม่กี่ปีหลังทางทีมได้ผู้จัดการทีมอย่างคุณ วีระ เอื้อนจิตญานนท์ มาช่วยในส่วนงานตรงนี้อย่างเต็มตัวเพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ราบรื่นขึ้นอีกด้วย
อนาคตของทีมละ
โค้ชเศกได้ตั้งวิสัยทัศน์อย่างชัดเจนว่าการทำทีมกำแพงเพชร เอฟซี ก็ต้องหวังที่จะขึ้นชั้นไปเล่นที่สูงกว่านั้นแหละ แต่การไปถึงเป้าใหญ่นั้นมันก็มีเป้าเล็กที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อที่จะทำให้เป้าใหญ่สำเร็จได้
การพัฒนาเยาวชนท้องถิ่นให้เขามีแนวคิดที่จริงจังกับอาชีพนักฟุตบอล พัฒนาเขาในฐานะนักฟุตบอลในสนาม และในฐานะบุคคลที่ดีนอกสนามเพราะเขาเหล่านี้และที่จะมาเป็นทรัพยากรที่สำคัญให้กับทีม
และทำให้สโมสรยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน สิ่งต่อมาที่อยู่ในความพยายามของสโมสรอยู่ ณ ตอนนี้คือการนำสโสร และชุมชนให้ใกล้กันมากขึ้น เพราะแรงสนับสนุนที่เข้าถึงง่ายที่สุดก็คงเป็นเหล่าแฟนบอลในจังหวัดนี่แหละ
ผลพลอยได้จากการทำสิ่งที่กล่าวมาคือเราจะสร้างนักกีฬาที่มีคุณภาพ ซึ่งนอกจากเขาจะสามารถช่วยสโมสรได้แล้วเขายังอาจจะมีคุณภาพที่จะเป็นนักเตะส่งออกไปค้าแข้งในสโมสรใหญ่ๆ ในไทย ซึ่งโค้ชเศกมองว่าถึงตรงนี้มันคงเป็นเหมือนโบนัสแล้วแหละ
ศูนย์ฝึกฟุตบอลเศรษฐกิจพอเพียงกำแพงเพชร เอฟซี
หลังจากที่ผ่านมาสโมสรต้องเร่ร่อนเปลี่ยนสนามซ้อมอยู่ตลอดเวลา ในปี 2017 โค้ชเศกก็ได้มาเจอกับที่ดินผืนนี้ที่มีตัวอาคาร และที่ว่างมากพอที่เหมาะที่จะทำสนามบอล
โค้ชเศกจึงไม่รีรอที่จะซื้อและพัฒนาที่แห่งนี้ให้เป็สนามซ้อม และแคมป์ให้กับนักกีฬาในทีม เพราะโค้ชเศกมองว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานของฟุตบอลอาชีพในต่างจังหวัดที่จะทำให้มันยั่งยืน
สิ่งที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ต่างจากสนามซ้อมทั่วไปก็ตรงที่ว่าที่ดินมีผืนที่กว้างมากพอที่ทำให้ในบริเวณสามารถเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ปลูกพืชผักได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้เยอะมากพอที่จะเลี้ยงบุคลากรของทั้งทีมแต่ก็สามารถช่วยทุ่นภาระค่าใช้จ่ายสโมสรไปได้บ้าง
ความฝันของโค้ชเศกในอนาคตคือจะขยายและพัฒนาสนามแห่งนี้ให้เป็นรังเหย้าของทีมต่อไป ด้วยการทำที่นั่งให้คนดูเบื้องต้นที่ 500-1000 คน ซึ่งตอนนี้ด้วยสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่ก็ดีเพียงพอสำหรับจัดอบรมคอร์ส T License ของสมาคมได้ เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่งานยากที่จะพัฒนาสนามต่อไปให้ถึงจุดนั้น
สไตล์การเล่นแบบโค้ชเศก กำแพงเพชรสไตล์
คำถามสุดท้ายที่ผมอยากถามโค้ชเศกก็คือสไตล์การเล่นของทีมว่าเป็นยังไง ซึ่งอันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะปรัชญาของโค้ชแปลกจากที่ผมเคยได้ยินมาก่อนจากหลายๆที่โดยสิ้นเชิง
กำแพงเพชรใช้วิธีเล่นเพื่อ “ทำให้คู่เเข่งเก่งน้อยลง” ฟังแล้วอาจดูงงๆ ใช่มั้ยครับ มาฟังคำนิยามจากโค้ชเศกครับ
ก่อนอื่นโค้ชเศกคำนึงถึงทรัพยากรที่มีในทีมก่อนเลยครับ แล้วยอมรับว่าการที่จะไปเล่นบอลสวยงาม ต่อบอลเล่นสั้น เล่นบอลบนพื้นเป็นบอลครองแบบที่หลายๆ คนชอบ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ นักเตะกำแพงเพชรไม่ได้มีคุณภาพเทียบเท่าทีมอื่นๆ ขนาดนั้น แล้วอะไรละที่นักเตะทีมกำแพงเพชรมีเหนือกว่าเขา
ก็คงจะเป็นความสดของนักเตะพลังหนุ่ม จากตรงนี้จึงตกผลึกออกมาเป็นแทคติกการเล่นที่ว่าในส่วนของเกมรุกพวกเขาจะเล่นบอล Direct ไปในแดนสุดท้าย ไม่เน้นต่อบอลผ่าน Zone Midfield เพื่อปิดจุดอ่อนที่ทีมจะต้องเจอการ Pressure ในแดน Midfield ที่พวกเขาอาจสู้ไม่ได้
เราไปวัดกันในแดนบนซึ่งถ้าเก็บบอลได้ก็จะเล่นรุกต่อจากตรงนั้น แต่ถ้าคู่ต่อสู้เก็บได้ก็จะ Pressing ทันทีเพราะเราอยู่ใกล้ประตูเขาแล้ว ถ้าแย่งได้ก็สามารถเล่นรุกต่อได้ทันที
ส่วนเกมรับก็แน่นอนรับในแดน รับลึกเพื่อรอจังหวะในการส่วนกลับหรือเล่นบอล Direct เพื่อโจมตีคู่ต่อสู้ต่อไป และนี้ก็คือสไตล์การเล่นของ กำแพงเพชรมาตั้งแต่ใหนแต่ไรกว่า 20 ปี
บทความในรอบนี้ถ้าใครได้อ่านจนจบผมคิดว่าน่าจะได้มุมมองหลายๆ ด้านเกี่ยวกับฟุตบอลจากผู้ชายที่ชื่อว่า เศกสรร ศิริพงษ์
สิ่งที่เขาทำในวันนี้มันอจจะยังไม่ยิ่งใหญ่เป็นที่จับต้องได้ครับ แต่เขาและกำแพงเพชรเอฟซี ก็เป็นฟันเฟืองเล็กๆ ที่ขับเคลื่อนฟุตบอลไทยให้ไปข้างหน้าภายใต้ความฝันที่ว่าอยากเห็นไทยไปบอลโลก
และผมเชื่ออย่างยิ่งว่าความพยายามอย่างต่อเนื่องเหล่านี้สักวันจะทำให้ฟุตบอลต้องหันมาเห็นฟันเฟื่องชิ้นเล็กๆ ชิ้นนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะในฐานะส่วนหนึ่งที่ทำให้ไทยได้ไปบอลโลก หรือทีมอาชีพที่ประสบความสำเร็จก็ตาม
บทความโดย ปีย์ฟิลลิปส์ ศิริโพธิ์
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย