นับเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเราได้ทราบว่า “หนึ่งในการควบรวมกิจการครั้งที่มูลค่ามากที่สุด” กับ “หนึ่งในการควบรวมกิจการครั้งที่ล้มเหลวมากที่สุด” กลับกลายเป็นการควบรวมกิจการครั้งเดียวกัน เมื่อสองบริษัทยักษ์ใหญ่ในขณะนั้นอย่าง AOL และ Time Warner ได้ตกลงเข้ามาร่วมกันเป็นบริษัทใหม่ในนาม AOL Time Warner
ก่อนหน้าที่จะเกิดการควบรวมนั้น ทั้ง AOL และ Time Warner ถือเป็นบริษัทเนื้อหอม และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมทั้งคู่ และที่สำคัญทั้งคู่กำลังมองหาโอกาสในการเติบโตไปอีกขั้นหนึ่ง
Time Warner เป็นเจ้าของสื่อ สิ่งพิมพ์ สตูดิโอภาพยนตร์ ที่แบรนด์ที่มีชื่อเสียงอยู่ภายใต้มากมาย ทั้ง ช่อง CNN HBO นิตยสาร Time และสตูดิโอ วอร์เนอร์ บราเธอ พิกเชอร์ ถือได้ว่าเป็นผู้นำของอุตสาหกรรม “สื่อแบบเก่า”
AOL จากหนังเรื่อง You've Got Mail (1998) นำแสดงโดย Tom Hanks และ Meg Ryan
ภาพก่อนการรวมตัวกันของทั้งคู่นั้น เริ่มแรกเหมือนจะหวานชื่นป็นคู่ตุนาหงัน เมื่อทาง AOL จะได้ช่องทางเคเบิลทีวีและเนื้อหาคุณภาพเข้ามาจากทาง Time Warner เพื่อขยายกิจการตัวเองออกไป ส่วนทาง Time Warner เองก็จะสามารถพัฒนาโมเดลธุรกิจของตัวเองไปสู่รูปแบบดิจิทัลได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ตอนเริ่มแรกที่มีการควบรวมกิจการกันนั้นสัดส่วนการถือครองของบริษัทใหม่ที่ตั้งขึ้นมาใกล้เคียงกันมาก คืออยู่ที่ AOL 55% และ Time Warner 45% ทำให้ในการตัดสินใจอะไรใหญ่ๆ หากขาดการสนับสนุนจากอีกฝ่ายหนึ่งย่อมไม่สามารถทำได้
ด้วยพื้นฐานวิธีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างมาก (Time Warner เป็นบริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากที่มีความอนุรักษ์นิยม ต่างจาก AOL ที่เป็นบริษัทพนักงานไม่มาก ที่กล้าเสี่ยงมากกว่า) ประกอบกับเหตุการณ์ของ Dot Com Crisis ที่เกิดขึ้น ทำให้ทาง Time Warner เริ่มตั้งคำถามว่าโมเดลธุรกิจของ AOL มันจะใช้ได้จริงๆ หรือเปล่า พอสองเหตุผลข้างต้นมาประกอบกัน การทำงานระหว่าง AOL และ Time Warner ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนั้นก็เป็นได้เพียงแค่โอกาสที่ไม่ได้เป็นจริง เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนจาก Time Warner แม้จะซื้อนวัตกรรมใหม่ก็ไม่สามารถทำได้ ครั้นจะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ของตัวเองก็ทำได้ยาก จากการถูกกลืนเข้ากับวัฒนธรรมขององค์กรสื่ออนุรักษ์นิยม สุดท้ายแล้วเรื่องราวของทั้งสองบริษัทก็ดำเนินมาถึงทางตัน
📌 การแยกทางในท้ายที่สุด
จุดจบของบริษัท AOL Time Warner นั้นเมื่อคู่รักที่เคยวาดฝันภาพไว้อย่างสวยงามก่อนแต่งงาน แต่สุดท้ายเมื่อไปต่อกันไม่ได้ ทั้งสองบริษัทจึงตัดสินใจแยกออกจากกันในปี 2009 และต่อมาในปี 2015 AOL ก็ถูกซื้อไปโดยบริษัท Verizon ในมูลค่า 4,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ น้อยกว่าเมื่อครั้งที่พวกเขาเคยใช้เงินเพื่อซื้อ Time Warner กว่า 178,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็คิดเป็นแค่ประมาณ 2% ของมูลค่าการควบรวมในอดีตเท่านั้น
ปี 2015 Verizon ตัดสินใจซื้อ AOL ด้วยมูลค่าต่ำกว่า ดีลควบรวมในอดีต AOL Time Warner มหาศาล
เรื่องราวของ AOL และ Time Warner ก็เลยกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่อยู่ในตำราการควบรวมกิจการแทบทุกเล่ม หากแต่ไม่ใช่บทเรียนในแง่ดี เป็นบทเรียนที่ควรหลีกเลี่ยงไม่ทำต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นการประเมินมูลค่าที่สูงเกินไปในช่วงฟองสบู่ ความแตกต่างกันของพื้นฐานวัฒนธรรมองค์กรที่ควบรวม และที่สำคัญที่สุด คือ การขาดวิสัยทัศน์ในการมองความเป็นไปในอุตสาหกรรมที่เน้นนวัตกรรมแบบนี้