16 ก.ย. 2021 เวลา 05:38 • ปรัชญา
ทำไมถึงต้องเกิด นั้นสิ ทำไม..วันนี้พระอาทิตย์ขึ้น ก็ตื่น..ตื่นมาแล้วทำอะไร ..ออกไปทำมาหากิน อยากกินนั้นกินนี่ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่อยากได้อยากมี อยากไปอย่างนั้นอย่างนี้ ได้สมหวังดังใจบ้าง ผิดหวังบ้าง ทะเยอทะยานบ้าง พอพระอาทิตย์ตก เหนื่อยก็นอนพักกาย กายนอนพักก็ไม่รับรู้อะไร หากเอนกายนอน ยังไม่หลับก็คิดนั้นคิดนี้ เรื่องที่ผ่านๆมา ค้างคาใจ ไม่ได้ดังใจ โมโหคนนั้น โกรธคนนี้ ชอบตรงนี้ตรงนั้น กว่าจะหลับไปก็อ่อนล้า พระอาทิตย์ขึ้นมาใหม่ ก็ตื่น..ตื่นมาแล้วไปทำอะไร..ออกทำมาหากิน ซ้ำไปซ้ำมา ตามกาลเวลา พระอาทิตย์ไม่ยอมหยุด ก็ต้องตื่นมา..ไปทำอะไร ทำทุกวัน ผ่านเดือนผ่านปี มีอารมณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง ใช้อารมณ์อะไรไปบ้าง จนแก่เฒ่าชราอ่อนล้า ก็ไม่เคยทบทวนว่าวันๆอยู่กับอารมณ์อะไร เกิดขึ้นที่ใจตน มันเกิดขึ้นทุกวัน เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
ก็เหมือนเราเกิดมาในโลก กายก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงจนเราจำไม่ได้ ว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง ได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน มีรูปเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่พอมองรายละเอียดก็ไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไป เรื่องราวชีวิตที่ตื่นมากินแล้วนอน ก็เกิดเรื่องราวสะสมภายในกายในจิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต่างเกิดมาสะสมเรื่องราว บันทึกภายในจิตแต่ละดวง ด้วยธาตุทั้งสี่ ที่จะนำพาไป ไปสู่สถานที่แตกต่าง ตามเรื่องราวที่สะสมมายามพระอาทิตย์ขึ้น ไปทำอะไร แล้วก็นอน ทำไปทุกวัน จนหลับไม่ตื่น อีกแล้ว ไปแล้วไปลับ ไม่กลับมา ไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่รู้
เกิดมาทั้งที ก็ควรเรียน รู้เรื่องกาย อารมณ์ จิต จิตเรามีกรรม มีทุกข์เพราะอะไร ไม่คิดคำนึง เกิดมาแบบไม่รู้ ก็ไปแบบไม่รู้ ว่าเกิดมาทำไม แล้วจะได้อะไีรจากการเกิด จิตของเรามาดวงเดียว เวลาไปก็ไปดวงเดียว ไม่มีใครไปด้วย แต่สิ่งที่ตามเราไป เราเอาอะไรไป ของๆโลก ก็ต้องทิ้งไว้ในโลก ไม่ใช่ของเรา แล้วอะไรที่จิตเราเอา ก็กรรมที่เกิดจากการแสวงหาวัตถุปัจจัยด้วยอารมณ์โลภโกรธหลงที่ปรุงแต่งอารมณ์ในกายกายตนนั้นที่รวบรวมกรรมไว้ เมื่อแสวงหามาได้มาประทังหล่อเลี้ยงสังขารพอสมควรแก่เหตุให้มีชีวตอยู่ รู้จักแบ่งปันสิ่งที่ได้มาก็เกิดเป็นกุศลบารมีให้แก่จิต ไม่ไปยึดเรื่องราวของชีวิตที่ใช้อารมณ์โลภโกรธหลงเกินกว่าเหตุ ก็จะเกิดเป็นบุญกุศลให้จิตเบาบางจากกรรม จิตเบาบางจากกรรม มันก็เบา ลอยไปไหน มีแต่ลอยขึ้นสูง ไม่จมธรณีอยู่กับโลก
โฆษณา