16 ก.ย. 2021 เวลา 23:10 • ไลฟ์สไตล์
โชคดี...
อรุณสวัสดิ์ครับพี่ๆเพื่อนๆทุกคน
เมื่อวานใครรวยยกมือขึ้น😊😊
เราเป็นญาติกันแล้ว อย่ลืมคนนี้น๊าาา
โชคดีแล้วก็อย่าลืมทำบุญกันนะจ๊ะ
ครั้งหน้าจะได้รวยๆอีกยิ่งขึ้น
[---โชคดี---] 💞💞💞💙
my sun
โชคดีที่เราได้พบเจอกัน หลายๆคนบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนเราอยู่ห่างกันคนละฟากฟ้ายังรู้จักกันได้ นี่แหละมันคือพลังดึงดูดจากจักรวาลมอบให้เรา
กฎแรงดึงดูด กฎจักรวาล จริงหรือ??
กฎแรงดึงดูด คือ แนวคิดที่เชื่อว่าจิตของมนุษย์มีพลังอำนาจมากพอ ที่จะดึงดูดทั้งสิ่งดีและไม่ดีเข้ากับในชีวิตผ่านเหตุการณ์และสถานการณ์ต่างๆ หากเรามีความคิดบวกก็จะดึงดูดแต่เรื่องดีๆ แต่หากมีความคิดลบก็สามารถดึงดูดเรื่องแย่ๆ ได้เช่นกัน พูดง่ายๆ ก็คือ "เราจะดึงดูดสิ่งที่เราคิด เข้ามาในชีวิตเสมอ"
เมื่อเราคิดบวก จิตของเราจะคัดสรรว่าต้องการให้อะไรเข้ามาในชีวิตบ้าง สมองจะถูกกระตุ้นโดยความคิด โน้มน้าวจิตสำนึกสร้างแรงผลักดันให้เราบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ กฎนี้จึงถูกเรียกว่า "กฎแรงดึงดูด" เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่คอยดึงดูดสิ่งดีๆ ที่เราคิด และต้องการให้เข้า
ขณะที่คำว่า Universe (จักรวาล) ก็เป็นคำที่มักถูกนำมาใช้ควบคู่กับกฎแห่งแรงดึงดูด โดยทฤษฎีนี้เชื่อว่าจักรวาลมีพลังงาน เชื่อมโยงกับพลังจิตและความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ทำให้สิ่งที่เราหมกมุ่นอยู่ในความคิดตลอดเวลาเกิดขึ้นจริงๆ เช่น สมมติเราจอดรถทิ้งไว้ แล้วในใจกลัวว่าจะมีโจรมาทุบกระจกรถแตก จักรวาลจะจดจำความคิดนี้ไว้ และเมื่อเรากลับมา กระจกรถก็อาจโดนทุบแตกจริงๆ หรืออีกนัยหนึ่งคล้ายๆ กับความคิดเวลาที่เรารู้สึกสังหรณ์ใจนั่นเอง
ทฤษฎีนี้จึงมีเรื่องราวความเชื่อเหนือธรรมชาติและพลังจิตเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่การนำเรื่องจักรวาลมาใช้ควบคู่กัน ทำให้บางครั้งกฎนี้ถูกเรียกว่า "กฎจักรวาล" หรือ "กฎแรงดึงดูดของจักรวาล" นั่นคือ จักรวาลจะมีพลังและแรงดึงดูดสิ่งที่คิดให้เกิดขึ้นจริงกับเรา คราวนี้จะเริ่มเห็นชัดขึ้นแล้วว่า จริงๆ แล้วเรื่องของกฎจักรวาลอาจจะเป็นเพียงกุศโลบายหนึ่งที่ช่วยให้คนเรามีเป้าหมายที่แน่วแน่ เกิดกระบวนการคิดที่ตอกย้ำจิตสำนึกให้ทำในสิ่งที่มุ่งหวังไว้ให้สำเร็จ
จะอย่างไรก็ตาม เราโชคดีแล้ว
จงรักษามันใว้ให้ได้นั้นก็สำคัญกว่าเป็นหลายเท่า บางครั้งเราไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงกันจึงทำให้เราทุกข์พอรักษาสิ่งที่เป็นอยู่ใว้ไม่ได้
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นคือความโชคดีที่สุด ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน
นั้นแน่แท้ประเสริฐแล้ว
สุภาษิตโบราณที่หมายถึง จะทำการใดๆ พยายามทำด้วยตัวเองอย่างสุดความสามารถ และเพียรพยายาม
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้น เป็นพุทธพจน์ที่มุ่งให้มนุษย์มีความเพียรในการทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของการเป็นมนุษย์ที่สามารถลงมือทำได้ ดังเช่นพระพุทธองค์ที่ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ยังสามารถพัฒนาจนพ้นทุกข์ ล่วงรู้ธรรมมากมาย และทรงนำพาผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้ตามไปด้วย
เมตตา ความปราถนาให้เขามีความสุข ฝึกจิตให้สงบ ฝึกเป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน เมื่อเป็นที่พึ่งได้ คนอื่นก็สามารถพุ่งพาได้ด้วนเพราะความเมตตาก็เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติของคนที่มี อัตตาหิอัดตะโนนาโถ
คนเราที่เกิดมาในโลกนี้จากท้องแม่ ไม่ว่าจะเป็นชาย หรือหญิง จากวัยเด็กสู่วัยรุ่น จะได้รับการเลี้ยงดูจากบิดา-มารดา ต่อมาก็จะเป็น “ครู” เป็นพ่อแม่ลำดับสอง ได้รับการกล่อมเกลาอบรมเลี้ยงดูให้เป็น “คนดี” เจริญเติบโตทั้งทางกายใจ จิตใจ อารมณ์ มีวุฒิภาวะเข้ากับสังคมได้
แต่การเจริญเติบโตนอกจากสายเลือด หรือว่าด้วยพันธุกรรมที่ปู่ย่า ตายาย พ่อแม่สู่ลูกหลานก็มีผลส่วนหนึ่ง แต่ว่าปัจจัยภายนอกที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงความเจริญรุ่งเรืองด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เทคโนโลยี และโดยเฉพาะความเจริญด้านการสื่อสารเจริญรุ่งเรืองมากอย่างรวดเร็ว ที่เรียกว่า “สังคมสื่อสารเทคโนโลยี” มี “อิทธิพล” อย่างมากต่อพฤติกรรมวิถีชีวิตทำให้ “เด็กรุ่นใหม่” เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
1
หากเทียบกับยุค “คุณพ่อ คุณแม่” ของเขาช่วงสั้นๆ แค่หนึ่ง-สอง ทศวรรษ สังคมอดีตจะอบรมสั่งสอนให้พ่อแม่ดูแลลูกคนโต คนที่ 2 คนที่ 3 และต่อมาจะให้พี่คนที่ 1 ดูแลคนที่ 2 และที่ 3 ลดหลั่นกันลงไป จนกระทั่งพ่อแม่ ครูบาอาจารย์จะอบรมดูแลท้ายสุด คือ ให้ช่วยตัวเองพึ่งตัวเองให้ได้ แล้วต่อไปก็ช่วยดูแลคนอื่นต่อไป นี่คือวัฒนธรรมไทยๆ ที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือพระสงฆ์องค์เจ้า ก็จะบอกเสมอว่าทางภาษาบาลีว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”
เป็นหลักในครองชีวิตตนเอง ดูแลตนเองไม่ให้เป็นที่เดือดร้อนพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูง หรือผลที่สุดที่จะไปกระทบต่อตนเองเดือดร้อนนั่นเอง
แบบนี้แหละโชคดี💞💞💞💙
เมื่อใดที่ใจเราสามารถที่ตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วนั้นคือความโชคดีสูงสุด
ประเด็นหรือเรื่องนี้ลำดับแรกต้องมีตัวเองเป็น “กัลยาณมิตร” ที่จริงมีคุณธรรมหลายอย่างที่จะส่งเสริมให้เรามีตัวเองเป็นกัลยาณมิตร เช่น
“สัปปุริสธรรม” 7 คือ จะต้องเป็นคนที่ดำรงชีวิตอย่างรู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาลเวลา รู้ชุมชน รู้บุคคล ถ้าเราเป็นอย่างนี้จะคุ้มครองตัวเองได้ เพราะคุณธรรมอย่างนี้จะไม่ทำให้เราทำเหตุแห่งความประมาท
การที่จะมีชีวิตที่ต้องดูแลตัวเอง ต้องไม่ให้มีความเหงามันจะทำให้เราดูงดงามอยู่ในทุกๆ ที่ คือ
ถ้าเราไม่เหงาแล้วเรางามทั้งนั้น ถ้ามันเหงาก็ไม่งามไม่เหงาก็งดงาม ความงดงามแห่งจิตใจสำคัญมาก ถ้าเรามีความหนักแน่นมั่นคงในการกระทำทุกอย่างก้าววิถีชีวิตย่างคนที่มี “ตัวเอง” เป็นเพื่อน คนคนนี้จะไม่นำเหตุแห่งความเหงาเลย บางครั้งคำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นดูคล้ายๆกับว่าเราอยู่ตามลำพัง เหมือนจะเหงานะ💞💙💙💙
บางทีเรามองว่าคนที่อยู่คนเดียวมักจะเหงา แต่เคยเห็นไหมว่าคนที่อยู่ท่ามกลางคนจำนวนมากๆ ก็เหงาได้ เห็นไหมว่าความเหงาไม่ได้อยู่ที่คนมากหรือน้อย แต่มันอยู่ข้างใน ว่ามีตัวเองเป็นเพื่อนหรือเปล่า บางคนอาจอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแต่เหงา ในขณะที่บางคนอยู่คนเดียว แต่ไม่เคยเหงาเลย เพราะชีวิตมันรวมพลังเป็นความหนักแน่นมั่นคง แล้วเป็นประโยชน์อยู่ตลอดเวลากับการทำหน้าที่ในทุกๆ ย่างก้าวของเขา คำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนอาจดูเป็นคำที่มองดูแล้วเหมือนกับจะเป็นพฤติกรรมของคนที่อยู่คนเดียว และคำว่า “ชีวิตเดียวในท่ามกลาง” หมายถึง ไม่ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนหรือสังคมก็ตาม แต่เราเป็นอิสระจากการกระทบถึงจะอยู่ในท่ามกลางแต่เราก็กลายเป็นคนที่มีชีวิตหนักแน่นมั่นคง งดงามเป็นอิสระและไม่เหงาได้
ไม่เหงาใช่มั่ย 😊😊😊
เราโชคดีที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามเชื่อเถอะ..ยิ้มชิ
พ่อรู้พ่อเห็น😄😄😄😄
ขอขอบคุณ
ขอให้บุญรักษาทุกท่าน
ขอให้สุขกายสุขใจกันทุกคน
เฉาเอง
โฆษณา