17 ก.ย. 2021 เวลา 09:23 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
EP5. เมื่อเราเกิดมาพร้อมกับปีศาจในตัว (The devil inside)
ลองจิตนาการดูนะครับว่าถ้าเราเกิดมาพร้อมๆกับพันธุกรรมที่เกิดมาเพื่อฆ่า (born to kill) อะไรจะเกิดขึ้น เรื่องราวต่อไปนี้จะเล่าคดีฆาตกรรมที่ว่าด้วยเรื่องราวของยีนกลายพันธุ์พี่จะทำให้คนที่มียีนเหล่านี้เสี่ยงต่อการใช้ความรุณแรง ยีนนั้นคือ Warrior gene
ค่ำคืนวันที่ 16 ตุลาคม 2006 ณ. รัฐเทนเนสซี่ สหรัฐอเมริกา แบรดลีย์ วอดรูฟ นั่งดืมเบียร์พร้อมกับอ่านไบเบิ้ลภายในรถบ้านของเขานั่งรอภรรยาและลูกๆกลับบ้าน วันนั้นภรรยาและลูกๆทั้งสี่คนไปเที่ยวบ้านเพื่อนบ้าน ค่ำคืนนั้นเองเพื่อนบ้านอาสาขับรถมาส่งภรรยาและลูกๆของแบรดลีย์ที่บ้าน
เมื่อเพื่อนบ้านขับรถมาถึงหน้าบ้านของแบรดลีย์ เพื่อนบ้านและภรรยาของแบรดลีย์ได้มีปากเสียงกันอย่างเสียงดัง แบรดลีย์ซึ่งนั่งจิบเบียร์และอ่านไบเบิ้ลอยู่ภายในบ้าน ได้ออกมานอกบ้านพร้อมกับปืน .22 พร้อมกับมีดมาเชเต้ในมือ....
1
ทันทีหลังจากออกมานอกบ้าน แบรดลีย์ก็ยิ่งปืม 8 นัดใส่เพื่อนบ้านจนเสียชีวิตและนำมีดมาเชเต้มาเปิดกระโหลกออก เหตการณ์ทั้งหมดนี้ทำเบื้องหน้าภรรยาและลูกๆของเขา หลังจากฆาตกรรมเพื่อนบ้านเสร็จ แบรดลีย์ก็เอาปืนยิงภรรยา 3 นัดไม่ให้โดนจุดที่สำคัญและเขาก็ได้เอามีดไล่แทงเธออีกหลายแผลและตัดนิ้วของเธอ ภรรยาที่บาดเจ็บของเขาพยายามหนี แบรดลีย์ลากภรรยาของเขาเข้ารถบ้านเพื่อปิดบัญชี แต่ก่อนที่จะสังหารเธอ แบรดลีย์หันไปบอกให้ลูกๆของเขาว่าบอกลาแม่ของพวกแกซะ "say good bye to your mom" จังหวะนั้นเองภรรยาของแบรดลีย์ฉวยโอกาสวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างปาฏิหาริย์ ที่น่าแปลกใจคือแบรดลีย์ไม่ได้ตามเธอไป จนเธอสามารถไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
Bradley Waldrop
ภายหลังเหตุการณ์แบรดลีย์ถูกจับโดยไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างไร และให้การยอมรับสารภาพเรื่องที่ทำไปทั้งหมดและรู้สึกผิด
ในระหว่างการพิจารณาคดี อัยการฟ้องแบรดลีย์ข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาและเสนอให้มีการประหารชีวิต แต่ทีมทนายของแบรด์ลีย์สู้คดีนี้โดยแก้ต่างว่าการกระทำทั้งหมดนี้ "แบรดลีย์ทำไปโดยไม่มีเจตนา" . . . . . . .เพราะแบรดลีย์ไม่เคยมีประวัติการใช้ความรุณแรงมาก่อน และหลังเกิดเหตุแบรดลีย์ก็ไม่หนีหรือต่อสู้ขัดขืน ทีมทนายจึงเกิดข้อสงสัยขึ้น..........จากการให้ปากคำของแบรดลีย์ได้ความว่า "อยู่ๆผมก็รู้สึกอยากที่จะฆ่าขึ้นมาเฉยๆ" (ในบทความต้นฉบับใช้คำว่า SNAP)
ทีมทนายได้ส่งตัวอย่างเลือดของแบรดลีย์ไปให้นักวิจัยด้านพันธุกรรมจิตวิทยา ที่มหาวิยาลัยวิเคราะห์ ผลออกมาพบว่าแบรด์ลีย์มียีนกลายพันธุ์ที่เรียกว่า "Warrior gene" ซึ่งพบมากในคนร้ายที่ก่อคดีอุกฉกรรจ์จำนวนมาก
การต่อสู้คดีทีมทนายต่อสู้ไปในทิศทางที่โน้มน้าวคณะลูกขุนให้เชื่อว่าแบรดลีย์ทำไปโดยไม่เจตนา แต่ที่ทำลงไปเพราะว่ามาจากพันธุกรรมซึ่งเปรียบเสมือนกับระเบิดเวลารอวันระเบิดออกมา พร้อมกับการให้การของนักวิจัยได้ให้การว่า "ถ้าผู้ที่มี Warrior gene ในร่างกายถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก (child abuse) ก็จะเพิ่มโอกาสการแสดงออกของยีน" ที่น่าสนใจคือแบรดลีย์มีวัยเด็กที่ถูกพ่อทำร้ายร่างกายด้วย
ทางอัยการก็คัดค้านอย่างเต็มที่แต่ก็ไม่เป็นผล คณะลูกขุน "เชื่อว่าการกระทำของแบรดลีย์ ทำไปโดยไม่ได้เจตนา แต่มาจากสิ่งที่แบรดลีย์เลือกไม่ได้ คือ Warrior gene และประสบการณ์ทารุณกรรมในวัยเด็กของเขา"
สุดท้ายแบรดลีย์ได้รับการตัดสินโทษจำคุก 33 ปี โทษฐาน "ฆ่าคนโดยไม่เจตนา" แทนการได้รับโทษประหารชีวิต จากข้อหาที่อัยการสั่งฟ้องในข้อหา "ฆาตกรรม"
ข้อสรุปของคดีนี้คือ แบรดลีย์มีลักษณะการกลายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการก่อเหตรุณแรงมาแต่กำเนิด โดยปกติยีนนี้จะไม่ได้เปิดการแสดงออกง่ายๆ (Turn off) แต่หนึ่งในสาเหตุที่ยีนนี้แสดงออกมา (Turn on) เกิดเนื่องจากสิ่งกระตุ้นในวัยเด็กนั้นก็คือการถูกพ่อทำร้ายร่างกาย ซึ่งจริงๆแล้วก็เปรียบเสมือนกับ "ปีศาจ" ที่อยู่ภายในตัวเรารอวันปลดปล่อยออกมา โดย Warrior Gene เปรียบเสมือนกับ "ปีศาจ" และ การถูกพ่อทำร้ายในวัยเด็ก คือ "กุญแจปลดปล่อยปีศาจ"
2
จริงๆแล้วมีเรื่องที่คล้ายๆกันอีกเรื่องหนึ่งที่นึกออกระหว่างเขียนบทความ เรื่องนั้นคือ "คดีฆาตกรรม The devil made me to it" เป็นคดีที่นำมาสร้างหนัง The Conjuring ภาค 3 เรื่องราวมีอยู่ว่า วันดีคืนดี อาร์นีย์ จอนสัน ก็ดันไปฆ่าเจ้าของที่ดินที่เค้าเช่าบ้านอยู่ โดยการสู้คดี อาร์นี อ้างว่า "ปีศาจบอกให้เค้าทำ" โดยสุดยอดคนดังนักปีศาจวิทยา เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน ให้การเป็นยานด้วย แต่สุดท้ายอาร์นี จอนสัน ก็ถูกประหารอยู่ดี หรือว่าจริงๆแล้วไม่ได้มี "ปีศาจกระซิบแต่อย่างไร" แต่ภายในตัวอาร์นีเองอาจจะมี Warrior gene เหมือนกับ แบรดลีย์ วอดรูฟ
1
สำหรับบทความในตอนถัดไปผมจะพาไปตามล่าหา "ปีศาจ" กัน
เพราะวิทยาศาตร์อยู่รอบตัวเรา
by lazybio
เปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียน ชีวะ-เคมี
สามารถ add QR code สอบถามรายละเอียดได้เลยนะครับ
โฆษณา