แต่กลับมีโอกาสชนะโดยภาพรวมที่ต่ำ หรือมีโอกาสที่จะขาดทุนสูงในบางเวลา ดังนั้นผลตอบแทนจึงควรจะวัดคู่กับความเสี่ยงและโอกาสขาดทุนเสมอ โดยมาตรวัดนั้นมีหลายตัวแต่ที่มักเห็นกันก็คือ Standard Deviation และ Sharpe ratio ที่วัดความผันผวนของพอร์ต หรือ Maximum Drawdown, Time to Recovery และ Ulcer Index ที่วัดความเสียหายเวลาขาดทุน
เมื่อ Asset ได้ถูกกระจายไปในหลายๆสินทรัพย์ หรือ Asset Class ในสัดส่วนที่เหมาะสมบางครั้งเราสามารถลดความเสี่ยงโดยแลกกับผลตอบแทนที่น้อยลงไปบ้าง แต่กลับทำให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงดีขึ้นอย่างมากได้ ซึ่งวันนี้จะมาเล่าถึงพอร์ตการลงทุนเหล่านี้กันครับ
หากเราลงทุนในตลาดหุ้นทั้งตลาดโดยแนวทางแบบ Passive Investment ผ่านการซื้อหุ้นตามดัชนีของตลาดหุ้นเช่น Set50, Nikkei225 หรือ Hang Seng 50 เรียกได้ว่าเราได้ลงทุนกระจายความเสี่ยงของการเลือกหุ้นรายตัวออกไปแล้วและเนื่องจากมีนักลงทุนหลายๆท่านไม่ว่าจะเป็น Warren Buffett เอง รวมทั้งงานวิจัยทางการเงินที่ออกมาบอกว่าการลงทุนใน index ระยะยาวส่วนมากจะชนะการเลือกหุ้นเอง หรือ Active investment ในทางการจัดพอร์ตแล้วเนื่องจากหุ้นเป็น Asset class ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในระยะยาวการลงทุนแบบนี้จะให้ผลตอบแทนสูงที่สุด
เป็นจากจัดพอร์ตกระจายเท่าๆกันใน 5 Asset Class เหมือนกับรูปผีเสื้อกางปีก โดยไม่ได้มีที่มาชัดเจนว่าใครเป็นคนเริ่มแนะนำพอร์ตนี้
พอร์ตการลงทุนนี้ประกอบไปด้วย
20% Total Stock Market
20% Small Cap Value
20% Long Term Bonds
20% Short Term Bonds
20% Gold
ด้วยการปรับสัดส่วนแบบนี้ทำเพื่อรองรับปัจจัยทั้งด้านอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และยังเพิ่มโอกาสได้ผลตอบแทนจากหุ้นคุณค่าขนาดเล็ก เนื่องจาก Total stock market มีสัดส่วนหุ้นใหญ่ที่มากและแทบไม่ได้มีหุ้นขนาดเล็กที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเลย ทำให้การเพิ่ม Small Cap Value เป็นทั้งการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มผลตอบแทน
ซึ่งการจำลองอาจจะให้ MAI แทบหุ้นเล็ก และ SET แทนหุ้นทั้งตลาดครับ (เสียตรงที่ MAI ไม่ได้เลือกหุ้น Value มาให้เรา)