ปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์นั้นกำลังจะเข้าสู่ Warp Speed โดยการผสมหลายสาขาวิชานอกจาก สุขภาพและแพทย์ มารวมกับ Information Technology, Imaging, Cloud Computing และ A.I. ทำให้เราสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ Health Care ที่มีช่วยในการตรวจพบ/วินิจฉัย/ป้องกัน/รักษาได้อย่างตรงจุด และลึกถึงระดับ DNA นวัตกรรมที่เพิ่งเริ่มต้นนี้จะ Break Through อายุไขของมนุษย์ และลด Cost ในการรักษาได้อย่างมหาศาลโดยใช้เทคโนโลยี
กองทุน Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund พยายามที่จะ capture โอกาสเหล่านี้เอาไว้ แน่นอนล่ะ มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ผู้ที่เห็นโอกาสและรับความเสี่ยงได้ สามารถเลือกลงทุนระยะยาวเพื่อคาดหวังผลตอบแทนจาก Megatrend นี้ได้อย่างมหาศาล
2. การบริหารกองทุน Worldwide Health Innovation
กองทุนบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนผู้ที่เข้าใจใน Health Innovation 3 คน ร่วมกับ Advisory Group ที่ Baillie Gifford สร้าง Network ไว้ทั่วโลก ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ ผู้ประกอบการ นักวิจัย และความเชี่ยวชาญอื่นๆที่เป็นสหสาขาวิชา ร่วมกันให้มุมมองที่เปลี่ยนไปของประชากร และนวัตกรรม Health Care ที่อยู่ในขั้นต่างๆ เพื่อ ร่วมรวม/อัพเดท Idea และ Insight ก่อนจะนำไปเข้า Investment Process เพื่อเฟ้นหา Future Winner of Health Care หรือผู้ชนะของอุตสาหกรรม Health Careในอนาคต
ปรัชญาในการลงทุนของกองทุน
กองทุน Baillie Gifford Worldwide Health Innovation Fund มีปรัชญาหลัก คือ
Growth, Long Term and Interdisciplinary / การเติบโต ระยะยาว และสหสาขาวิชา
Future Winner in Healthcare หรือผู้ชนะในโลกอนาคตของ Health Care คือ ผู้ที่สามารถช่วยทำให้โลกเข้าถึงการรักษาที่ดี ราคายอมรับได้ และก้าวเป็นผู้นำที่อยู่ในแต่ละ Stage ดังนี้
1. ความเข้าใจในโรค
ช่วยให้วงการ Health Care เข้าใจในโรครักษายาก โรคทางพันธุกรรม มากขึ้น มุ่งสร้างเครื่องมือตรวจหาสาเหตุของโรคได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การป้องกัน เช่น Genome Sequencing, Bio Informatics เป็นต้น
จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ของ Health Innovation นั้นเป็นอะไรที่ใช้เทคโนโลยี สร้างผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น ถึงวันนี้จะยังไม่ใช้แพร่หลาย แต่นี่แหละคือ Future of Health Care
เนื่องจากกองทุนเลือกหุ้นแบบ Bottom Up จึงไม่ได้จำกัดที่ภูมิภาค หรือประเทศใดใด
ณ ข้อมูลปัจจุบัน (สิ้นเดือน ส.ค. 2021) ลงทุนใน USA และ Denmark รวมกันถึง 80% ตามด้วยประเทศในกลุ่ม Developed Market เป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง Ecosystem เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมสุขภาพ และผู้ใช้บริการสามารถ afford ราคาผลิตภัณฑ์และบริการได้ กองทุนมี Exposure ในกลุ่ม Bio Technology, Health Care Equipment (สองประเภทแรกเกินกว่า 60%), Lifescience Tools & Service และ Health Technology ส่วนหุ้น 10 อันดับแรก เน้นในเรื่อง Bio Technolgy, Gene Therapeutics และ Medical Device ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นชื่อนัก ดังที่สุดคงเป็น Moderna
นอกนั้น เราไปสืบมาแล้ว พบว่ามีโครงการที่น่าสนใจรออยู่เพียบ ดังนั้นต้องเชื่อใจทีม Health Innovation ว่าจะติดตามการลงทุนในหุ้นเหล่านี้เป็นอย่างดี
พอร์ตการลงทุนสุดท้ายจะมีหุ้นอยู่ระหว่าง 25-50 ตัว มีความเข้มข้นสูง แต่ก็ยังได้มาตรฐานของ UCITS และแนะนำให้ลงทุน 5-10 ปีขึ้นไป และคาดหวังว่าจะมีการสับหุ้นเข้าออกต่ำเพียง 20% ต่อปี เปรียบเทียบผลตอบแทนกับ MSCI All Country World Index หรือดัชนีหุ้นโลกที่เรารู้จักกันดี
4. ลงทุนผ่านกองทุนไหนได้บ้าง?
กองทุนแรกที่นำ Baillie Gifford Health Innovation Fund เข้ามาในประเทศไทยคือ
PRINCIPAL-GHEALTH ซึ่งเป็น Fund of Funds ถือร่วมกับกองทุน Health Innovation อื่นๆ
เช่น จากค่าย Credit Suisse ที่เก่งไม่แพ้กัน
กองทุนเซ็ตต่อมา มาจากค่าย SCBAM นั้นก็คือ SCBIHEALTH(A), SCBIHEALTH(E) ลงทุนในกองทุน Baillie Gifford Health Innovation Fund เต็มๆ เพียงกองเดียวในรูปแบบ Master-Feeder Fund มีรูปแบบสะสมมูลค่าปกติ, E class และรูปแบบกองทุนลดหย่อนภาษี SCBHEALTH-SSF
อีกค่ายที่นำกองทุนนี้เข้ามาคือ LH Fund เป็นรูปแบบ Master Feeder Fund เช่นกัน
ซึ่งมี 3 Share Class ด้วยกัน LHHEALTH-A, D (ปันผล) และ E
ในความเห็นของเด็กการเงิน คิดว่ากองทุน Health Innovation นั้นเป็นกองทุนประเภท Thematic ที่มีลักษณะเฉพาะที่เป็นหุ้นเติบโต มีพอร์ตกระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่ม Health Technology แตกต่างจาก Health Care ดั้งเดิมที่เราได้มีโอกาสเล่าว่าที่มาของรายได้และผลิตภัณฑ์มีความแตกต่างกันมาก โดย Health Care แบบดั้งเดิมนั้นจัดอยู่ในกลุ่ม Defensive ที่สามารถเติบโตได้สม่ำเสมอในทุกสภาวะเศรษฐกิจ จาก ยารักษาโรคและอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั่วไป
ส่วน Health Technology คือกลุ่มเทคโนโลยี เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมการรักษา, BioTechnology, Informatics, Genenomic Technology และ Telemedic (การรักกษาทางไกล) ซึ่งยังเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น แม้จะมีศักยภาพสูง แต่รายได้ยังไม่คงที่และสม่ำเสมอแบบ Health Care
1
เมื่อเข้าใจถึงความเสี่ยงแล้ว
เราจึงขอแนะนำให้ให้ Health Innovation เป็นส่วน Thematic ในสัดส่วน 5-20% ของพอร์ต โดยพอร์ตจะมีส่วนทั้งหมด Thematic เพียง 20-30% เท่านั้น (ร่วมกับ เทคโนโลยีอื่นๆ พลังงานสะอาด ESG ฯลฯ) และไม่ซ้ำกับกลุ่ม Health Care และสามารถลงทุนด้วยกันได้
และจัดพอร์ตในส่วนอื่นให้มีหุ้นกระจายตัวดี ช่วยในเรื่องความผันผวนและผลตอบแทนโดยรวม ลงทุนระยะยาวรอการเติบโตของ Health Innovation ซึ่งเป็น Megatrend ที่มาถึงตัวเราสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน