17 ต.ค. 2021 เวลา 14:51 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
รีวิววาย : HIStory 4 Close to You (Taiwan-2021)
• "เมื่อพล็อตเรื่องกลายเป็นประเด็นดราม่าที่ทำให้ Close to You เป็นตอนที่ถูกกระแสวิจารณ์มากที่สุดของซีรีส์ชุด HIStory!!
• ต้องเรียกว่ากระแสความแรงซีรีส์ HiStory 4 ในบ้านเราหรือแม้กระทั่งในไต้หวันเองก็ตามนั้นไม่ค่อยเปรี้ยงปร้างเหมือนกับซีซั่นก่อนๆ ที่ปกติแล้วถ้า HiStory ออนแอร์เมื่อไหร่ กระแสตอบรับมักจะดีมากเสมอ
• ส่วนแรกนั่นก็คือจังหวะเวลาที่ออกอากาศ ที่ตอนแรกคาดว่าน่าจะรอให้เรื่อง We Best Love : No.1 for You จบเสียก่อนแล้วค่อยปล่อยเรื่องนี้ออกฉาย แต่บังเอิญว่า WBL นั้นดังเป็นพลุแตกจริงๆครับ ทำให้ทางฝั่ง WeTV ก็เลยรีบส่ง Fighting Mr.2nd ออกมา ซึ่งกลายเป็นว่ามาชนกันกับ HiStory 4 แบบเต็มๆ ทำให้กระแสความแรงของ HiStory 4 นั้นดูจะแผ่วลงไปจากซีซั่นก่อนๆพอสมควร
• และอย่างที่ 2 คือ เมื่อเรื่องนี้ออกฉายไปแล้วปรากฏว่ามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ลบออกมาจากคนดูค่อนข้างเยอะก็เพราะ "พล็อตเรื่องค่อนข้างสุ่มเสี่ยง" ซึ่งเท่าที่ผมเข้าไปสำรวจมาก่อนที่จะมีโอกาสได้ดูนั้น ก็เห็นว่าน่าจะจริงครับ เพราะมีทั้งเรื่องความดาร์กในเชิงพฤติกรรมของตัวละครหลัก เรื่องของการยอมรับได้ของการคุกคามทางเพศ หรือ แม้กระทั่งประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดขึ้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน!!
• แต่อย่างไรก็ตาม ผมยังไม่ตัดสินใจก่อนนะครับว่า กระแสวิจารณ์เหล่านั้นมันจะเป็นจริงแค่ไหนเพราะว่าบางทีมันอยู่ที่การตีความ มันอาจจะเป็นสารที่เค้าพยายามส่งถึงคนดูก็เป็นไปได้ครับ ซึ่งด้วยความที่เป็น HiStory ที่ทำออกมาได้ดีเสมอมาตั้งแต่ซีซั่นก่อนๆ ผมก็เลยพยายามตามหาดูเข้าจนได้ แล้ววันนี้ผมจะมารีวิวให้ครับว่า กระแสที่ว่าเหล่านั้นมันเป็นอย่างไร ... แต่ก่อนอื่นเดี๋ยวไปอ่านเรื่องย่อกันก่อนครับจะได้เข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องนี้กัน
• เป็นเรื่องราวของ 3 หนุ่มเพื่อนรัก ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกันและทำงานที่บริษัทเดียวกัน อันได้แก่
• "เสี่ยวหลี่เฉิง" ผู้จัดการฝ่ายขายทีมที่ 1 หนุ่มหล่อสไตล์แมนๆเตะบอล โผงผางโวยวาย เป็นคนพูดตรงๆจนบางครั้งไม่ทันได้คิดก่อน ก็พูดออกไปอย่างนั้น เรียกว่าเป็นคนเหมือนจะมีฟอร์มจัดแต่เอาเข้าจริงก็ดูออกง่ายเลยครับว่าคิดอะไร คนอื่นมักจะรู้ทันเขาเสมอ
• "เถิงมู่เหริน" ผู้จัดการฝ่ายขายทีมที่ 2 หนุ่มหล่อสายหวาน สุดเนี๊ยบ ผู้มีเสน่ห์ เป็นที่คลั่งไคล้ของหลายๆคนในบริษัท เขามีบุคลิกที่เรียกว่า สงบแต่ซับซ้อน เป็นคนที่พูดน้อยแต่ต่อยหนัก คือมักจะคิดก่อนเสมอว่าควรจะพูดอะไร แต่ถ้าได้พูดออกไปแล้วจะตรงประเด็นแบบสุดๆ แบบว่าไม่รักษาน้ำใจฝ่ายตรงข้ามเลย และที่สำคัญเป็นคนเซ้นต์ไว ฉลาด และเจ้าความคิด ซึ่งจะเห็นได้ว่าช่างตรงกันข้ามกับเสี่ยวหลี่เฉิงแทบจะทุกอย่างเลย
• "เย่วซิงซือ" เป็นผู้จัดการฝ่ายออกแบบ เขาเป็นคนที่สุขุมใจเย็นมีเหตุผลเป็นที่รักใคร่และเคารพของลูกน้องและจะทำหน้าที่เป็นคนกลางห้ามทัพระหว่างหลี่เฉิงและมู่เหริน แต่ลึกๆแล้วเป็นคนที่ค่อนข้างปิดตัวเอง ซึ่งในหลายๆอย่างเขาไม่เคยแสดงออกมาให้คนอื่นเห็นเลยว่าคิดอะไรอยู่
• ในส่วนของครอบครัวของ "เย่วซิงซือ" พ่อของเขาแต่งงานใหม่หลังจากที่แม่ของซิงซือตาย เมื่อตอนเขาอยู่มัธยม ในขณะที่ฝั่งแม่เลี้ยงของเขาก็มีลูกติดมาด้วย 1 คน เป็นเด็กผู้ชายวัย 10 ขวบชื่อว่า "ฝูหย่งเจี๋ย" ซึ่งครอบครัวใหม่ของเขานี้ดูเหมือนจะไปกันได้ด้วยดี ก็จะมีแต่หย่งเจี๋ยนี่แหละครับ ที่ดูจะมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว เพราะเรื่องราวในอดีตต่างๆก่อนที่จะมาอยู่กับครอบครัวของซิงซือ ทำให้หย่งเจี๋ยกลายเป็นเด็กที่มีปัญหาทางด้านการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
• สำหรับหย่งเจี๋ยแล้ว มีเพียงแค่ซิงซือเท่านั้นที่เขาจะเชื่อฟัง แต่หลังจากที่ซิงซือไปเรียนมหาวิทยาลัย จนกระทั่งเขาออกมาใช้ชีวิตด้วยตนเองไม่ได้กลับไปอยู่ที่บ้าน หย่งเจี๋ยก็กลับไปมีพฤติกรรมแบบเดิมอีกครั้ง
• เส้นเรื่องที่ 1 เป็นเรื่องราวอันแสนวุ่นวายของเสี่ยวหลี่เฉิง เถิงมู่เหริน และ หลิวเหมยฟาง มันเริ่มมาจากวันหนึ่ง "หลิวเหมยฟาง" ได้เข้ามาเป็นพนักงานใหม่ของบริษัทมาร่วมอยู่ในทีมออกแบบของซิงซือ ซึ่งพอสืบไปสืบมาก็พบว่าเหมยฟางคนนี้ ก็คือคนเดียวกันกับเพื่อนในวัยเด็กและรักแรกของ"หลี่เฉิง" ซึ่งมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงแอบชอบเธออยู่เหมือนเดิม แต่อย่างไรก็ตามเพราะเรื่องราวเมื่อในสมัยวัยเด็กของทั้งคู่ หลี่เฉิงมักจะชอบล้อเลียนและรังแกเธอมาตลอด ดังนั้นเหมยฟางจึงไม่มีความประทับใจที่ดีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย
• ฝั่งหลี่เฉิงเหมือนจะรู้ตัวดีครับว่า พฤติกรรมในอดีตของเขา มันทำให้การตามจีบเหมยฟางแบบธรรมดาๆอีกครั้งนั้นคงไม่สำเร็จแน่ๆ เขาจึงพยายามหาวิธีการหลายอย่าง เพื่อให้เหมยฟางเห็นถึงความดีของเขาบ้าง แต่ด้วยวิธีการในแบบหลี่เฉิงนั้น มันยิ่งทำให้เหมยฟางยิ่งรู้สึกว่า หลี่เฉิงเป็นคนวุ่นวาย ก่อกวนความสงบในชีวิตของเธอยิ่งไปกว่าเดิมอีก
• จนกระทั่งหลี่เฉิงค้นพบว่าเหมยฟางนั้นเป็น "สาววาย" เขาเลยแสร้งทำเป็นว่าตัวเขาเองก็เป็น "หนุ่มวาย" เหมือนกัน ทั้งๆที่หลี่เฉิงยังไม่รู้เลยครับว่า "สาววายคืออะไร" แต่เขาก็ไม่ได้สนใจว่ามันคืออะไร แค่วิธีนี้เป็นช่องทางให้เขาได้เข้าถึงเหมยฟางก็เพียงพอแล้ว และแล้วด้วยการเป็น(และแสร้งเป็น) สาวกวายของทั้งคู่ ก็เลยทำให้เขาสองคนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันอีกครั้ง
• เรื่องราวก็ดำเนินไปเรื่อยๆครับ หลี่เฉิงก็แอบภูมิใจว่าเขาได้ใกล้ชิดกับเหมยฟางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สักวันเขาต้องมีโอกาสได้พิชิตหัวใจของเธอได้อย่างแน่นอน แต่หารู้ไม่ว่าเหมยฟางไม่ได้คิดกับหลี่เฉิงเกินกว่าความเป็น พส.(เพื่อนสาว)เลย แถมด้วยความสนิทสนมแบบถึงเนื้อถึงตัวของหลี่เฉิงกับมู่เหรินที่มีมาแต่เดิมด้วยแล้วนั้น ก็เลยทำให้เหมยฟางคิดว่า หลี่เฉิงแอบชอบมู่เหรินอยู่ แต่เก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ เหมยฟางเลยอาสาที่จะเป็นกูรูความรักให้กับหลี่เฉิง เพราะนอกจากจะทำให้ พส. สมหวังแล้ว เธอก็จะได้เสพโมเม้นท์ของหลี่เฉิงกับมู่เหรินไปในตัวด้วย
• และแล้วด้วย "ความหลี่เฉิง" เขาดันเออออตามน้ำไปกับเหมยฟางอีกครั้ง เพราะยังเชื่อว่าวิธีการเนียนเป็นหนุ่มวายแบบนี้ ยังเป็นวิธีการที่เค้าจะได้ใกล้ชิดกับเธอเหมือนเดิม ซึ่งคราวนี้นอกจากหลี่เฉิงที่จะไม่รู้ตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแล้ว ความซวยก็ต้องตกไปอยู่ที่มู่เหรินด้วยครับ เพราะต้องมาเล่นละครตบตาร่วมกับหลี่เฉิงด้วยอีกคนอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
• จากที่แกล้งจีบกันไปมา แกล้งเนียนต่างๆเพื่อเอาใจเหมยฟางนั้น มันเลยเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "ผีผลัก" เข้าซะงั้น!! กลายเป็นว่าทั้งคู่เริ่มสงสัยในใจว่าหรือจริงๆแล้วเขาทั้งคู่คิดอะไรกันอยู่หรือเปล่า เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคน ที่ดูจะเกินเลยมากกว่าความเป็นเพื่อนสนิทไป จนเป็นหลี่เฉิงเองครับที่ค้นพบตัวเองว่าเขาชอบมู่เหรินเข้าจริงๆ สุดท้ายเขาเลยตัดสินใจบอกความรู้สึกทั้งหมดออกไป และเดินหน้าเปิดตัวจีบมู่เหรินอย่างจริงจัง!!
• .... และสุดท้ายมู่เหรินจะหาทางออกจากเรื่องนี้ได้อย่าง เพราะอย่างที่รู้ครับว่า "ความหลี่เฉิง" นั้นต้องสร้างความวุ่นวายให้กับชีวิตอันแสนสงบสุขของเค้าอย่างแน่นอน และจริงๆแล้วบทสรุปของความรู้สึกที่เก็บลึกในใจของมู่เหรินที่มีต่อหลี่เฉิงจะเป็นอย่างไรต้องติดตามชมกันครับ
• ในขณะเดียวกันอีกเส้นเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องราวของซิงซือ ซึ่งเขาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและธรรมดา แต่เรื่องที่เขาเป็นเกย์นั้น ยังคงเป็นความเป็นความลับที่เขาไม่ได้บอกใครแม้กระทั่งเพื่อนสนิททั้ง 2 คน
• แม้ว่าภายนอกของเขาจะดูมีความสุขดี แต่ลึกๆในใจของซิงซือนั้นเค้ามีความหนักใจในเรื่องที่เขาเป็นเกย์อยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะต่อครอบครัว เพราะเขาเป็นคนที่รักครอบครัวมากไม่อยากให้พวกเขาเสียใจเรื่องที่เขาเป็นเกย์ และมักอึดอัดใจเสมอที่ทางบ้านถามเขาเรื่องแต่งงาน ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาออกจากบ้านมาแชร์ห้องอยู่ร่วมกับหลี่เฉิงและมู่เหริน
• แต่แล้วแทนที่ซิงซือจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบและทำใจได้ที่จะเก็บความลับนี้เอาไว้กับตัวตลอดไป กลับกลายเป็นว่า "หย่งเจี๋ย" น้องชายของเขาเองก็ก้าวเข้ามาในชีวิตเขา ซึ่งไม่ใช่ในฐานะของน้องชาย แต่หย่งเจี๋ยอยากที่จะเข้ามาในฐานะคนรัก!! แม้ว่าในทางสายเลือดพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันก็ตาม แต่ในมุมมองของซิงซือนั้น เขาคิดเสมอว่าหย่งเจี๋ยคือคนในครอบครัว คือน้องชายของเค้า ดังนั้นซิงซือจึงค่อนข้างระมัดระวัง ในการรักษาระยะห่างด้านการแสดงออกกับหย่งเจี๋ยพอสมควร
• แต่ในมุมของหย่งเจี๋ยนั้นตรงข้ามกับซิงซือ เพราะหย่งเจี๋ยไม่ได้คิดว่าซิงซือคือพี่ชายของตนเอง เขารู้ตัวว่าเขารักพี่ชายตัวเองตั้งแต่เด็ก เพราะซิงซือเป็นคนที่ทำให้เขามีความสุข ปลอดภัย และเมื่อหย่งเจี๋ยได้รู้ด้วยว่าซิงซือก็ชอบผู้ชายด้วยกัน มันยิ่งไปกระตุ้นความรู้สึกเขาให้มองว่าซิงซือคือคนที่เขาอยากร่วมชีวิตด้วย เพราะตัวเขาเองนั้นมีปัญหาในการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่เขาอยากอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตมีเพียงซิงซือคนเดียวเท่านั้น
• ความวุ่นวายในชีวิตของซิงซือจึงเกิดขึ้น เมื่อหย่งเจี๋ยพยายามเข้าหาตัวเขาด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสะกดรอยตาม การขู่ว่าจะทำร้ายตัวเองถ้าไม่ให้เขาไปเจอ
• ซึ่งทุกครั้งที่หย่งเจี๋ยมีพฤติกรรมแบบนี้ ซิงซือก็ยอมให้น้องชายตัวเองตลอดทุกครั้งเช่นกัน เพราะเขาอยากปกป้องความรู้สึกของหย่งเจี๋ย ที่เป็นคนที่มีปัญหาในการเข้าสังคมและการแสดงความสัมพันธ์การคนอื่นตั้งแต่เด็ก เขาคิดว่าที่หย่งเจี๋ยเป็นแบบนี้ก็มาจากปมด้อยในใจเรื่องครอบครัว ซึ่งเขาต้องมีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย
• มันก็เลยทำให้หย่งเจี๋ยได้ใจ และเอาแต่ใจเพิ่มขึ้น จนในที่สุดเขาก็วางแผนที่จะครอบครองร่างกายของซิงซือ เพื่อเป็นการผูกมัดไม่ให้ซิงซือปฏิเสธเขาได้อีก และแล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
• ... ในวันเกิดของหย่งเจี๋ย เขาขอร้องให้ซิงซือพาไปเที่ยวทะเลและนอนค้างด้วย 1 คืน เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด และในคืนนั้นหย่งเจี๋ยก็มอมเหล้าซิงซือจนเมามากแทบไม่ได้สติ หยงเจี๋ยก็เลยใช้โอกาสนี้ล่วงเกินร่างกายของพี่ชาย ซึ่งด้วยความที่ซิงซือมีสติที่ลางเลือนแม้จะมีท่าทีขัดขืนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก หย่งเจี๋ยจึงได้ใจจึงใช้กำลังล่วงเกินต่อ แต่หลังจากนั้นเมื่อซิงซือถูกจู่โจมจากผู้ชายด้วยกันเอง มันก็เลยเป็นไปตามสัญชาตญาณ เขาจึงคล้อยตามและมีความสัมพันธ์กันทางร่างกายกันจนได้
• เช้าวันต่อมา ซิงซือตื่นขึ้นแบบมีสติครบถ้วนแล้ว ก็พบว่าเขาได้พลาดไปมีความสัมพันธ์กับน้องชายตัวเองไปเสียแล้ว เขารู้สึกตกใจ เสียใจและสับสนในใจไปหมด จึงหนีกลับออกมาก่อน และหลังจากนั้นเขาก็หลบหน้าไม่ยอมพบกับหย่งเจี๋ยอีกเลย เพราะเขากังวลใจมากว่าไม่รู้จะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร
• จนสุดท้ายซิงซือค้นพบว่า ตัวเองก็มีความรู้สึกดีๆให้กับน้องชายตัวเองเหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้เขาเองพยายามปิดกั้นความรู้สึกส่วนนี้เอาไว้ ก็เพราะคำว่าคนในครอบครัวเดียวกัน นอกจากนั้นเขาก็ได้รู้ถึงความรู้สึกของหย่งเจี๋ยว่ามีความมุ่งมั่นต่อความรักที่มีให้เขามากแค่ไหน รู้ถึงแผนการที่หย่งเจี๋ยคิดแก้ปัญหาเรื่องที่หนักใจของเขาเกี่ยวกับครอบครัว ซึ่งพอมีหลายสิ่งมาประกอบกัน สุดท้ายซิงซือก็เห็นด้วยกับหย่งเจี๋ยที่ว่า "ถ้าครอบครัวรู้ว่าซิงซือเป็นเกย์แล้ว หย่งเจี๋ยคือตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายพอใจ" เขาจึงตอบตกลงยอมเป็นคนรักกับหย่งเจี๋ย และ ช่วยกันหาทางออกเพื่อให้ครอบครัวยอมรับในตัวพวกเขาให้ได้
• สุดท้ายทางออกของพวกเขาจะเป็นไปได้ด้วยดีไหม และพวกเขาจะหาวิธีการอย่างไรเพื่อที่จะให้ครอบครัวยอมรับพวกเขาให้ได้ ก็ต้องติดตามรับชมกันในซีรีส์นะครับ
• ถ้าจะให้ผมพูดถึงความน่าสนใจของ Close to You โดยยังไม่พูดถึงประเด็นดราม่าก่อน ผมว่าเรื่องนี้ก็มีความน่าสนใจอยู่หลายจุดด้วยกันครับ
• อย่างแรกเลย คือ เนื้อเรื่องนี่แหละครับที่คราวนี้กลายเป็นว่าเหมือนไม่มีคู่หลักคู่รอง แต่จะเป็น 2 เส้นเรื่องในตอนเดียวควบคู่กันไปเลย แถมจริงๆพล็อตเรื่องก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย อย่างเส้นเรื่องของหลี่เฉิงและมู่เหริน แม้ว่าจะเคยมีเนื้อเรื่องประมาณนี้เคยทำเป็นซีรีส์มาแล้ว แต่ความซับซ้อนกับปมที่แตกต่างไปจากเรื่องก่อนๆ เลยทำให้ตรงนี้เป็นจุดเด่นที่น่าติดตาม แม้จะเคยมีคล้ายๆแบบนี้มาแล้วนะและรู้ด้วยว่าจะต้องลงเอยแบบนี้นะ แต่ปรากฏว่ามันไม่น่าเบื่อเลยครับ เพราะในระหว่างทาง เรายังเดารายละเอียดไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง
• หรือเรื่องของซิงซือกับหย่งเจี๋ย อันนี้จริงๆแล้วก็น่าสนใจมากครับ แต่อาจจะพูดได้ว่า "เรื่องที่เสนอมันน่าสนใจน่ะ ตัวบทมันไม่ลุ่มลึกเพียงพอ" ที่จะเอาภาพของความรักที่คาบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในเชิงสถานภาพของคนในครอบครัวมาเป็นพล็อตเรื่องที่ดีได้ มันก็เลยเกิดดราม่าขึ้นมาซึ่งเดี๋ยวจะพูดถึงกันครับ
• สำหรับอีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องและยังทำได้ดีเสมอสำหรับ HiStory คือ พาร์ทคอมเมดี้ อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวด้วยครับ ที่ผมว่ายังคงมีจังหวะขำเอิ๊กอ๊ากให้ชมกันเหมือนเดิม (อันนี้ติดใจมาตั้งแต่ The Trapp แล้วครับ จังหวะโบ๊ะบ๊ะ ดีมาก)
• ด้านนักแสดง - อันนี้ต้องชื่นชมในส่วนของนักแสดง คือตัวละครหลักทั้ง 4 คน ผมว่าพวกเขาเล่นได้ดีทุกคนเลยครับ คือแสดงได้ดีตรงคาแรกเตอร์ของตัวละครชัดมาก ทั้ง "ความหลี่เฉิง" ที่เล่นได้แบบเป็นตัวหลี่เฉิงมาก คือนึกภาพตามว่า ถ้าจะมีตัวละครที่จะมีบุคลิกแบบนี้ สไตล์นี้ในเรื่องต่อๆไป ก็จะต้องนึกภาพของอีตาหลี่เฉิงนี้เอาไว้เลยครับ ว่าเป็นอุดมคติของมนุษย์ประเภทนี้จริงๆ หรือ มู่เหรินที่เจ้าความคิด อันนี้เราเห็นปุ๊บก็นึกภาพออกเลยครับว่า มนุษย์เจ้าความคิด เจ้าระเบียบมันเป็นอย่างไร
• ส่วนอีก 2 คนที่จะขอพูดถึงก็คือ บทของพ่อของซิงซือและแม่ของหย่งเจี๋ย ซึ่งทั้งคู่เล่นได้ดีมากเลยครับ เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นพ่อเป็นแม่ได้ชัดเลย ผ่านการแสดงที่สื่อออกมา
• คราวนี้ขอพูดถึงสิ่งที่น่าขัดใจกันบ้าง และเช่นเดิมครับจะตัดส่วนที่เป็นประเด็นดราม่าออกไปก่อนนะครับ ก็พูดในภาพรวมเลยว่า ซีซั่นนี้ทำออกมาแล้วสู้กับ ซีซั่น 2 และ 3 ไม่ได้เลย ทั้งเรื่องของโปรดักชั่น การตัดต่อลำดับเรื่องต่างๆ เพราะทั้ง 4 เรื่องในซีซั่น 2 และ 3 นั้นทำได้ดีกว่านี้จริงๆครับ
• ยกตัวอย่างเรื่องการตัดต่อลำดับเรื่อง ที่ขัดใจนั้นอยู่ตรงที่ว่าเส้นเรื่องของทั้ง 2 เรื่องมันสลับไปมาครับ คือเข้าใจว่าทางทีมสร้างคงต้องการลำดับเรื่องกันตามไทม์ไลน์ที่เกิด แต่พอตัดสลับกันไปมาแบบนี้มันก็เลยเกิดจังหวะที่ว่าบางช่วงของเส้นเรื่องหนึ่งมันกำลังจะพีคแล้ว ซึ่งถ้าขยี้ต่อมันจะดึงอารมณ์คนดูได้ดีมากๆเลย
• แต่ว่ามันกลายเป็นตัดฉับกระโดดไปอีกเส้นเรื่องหนึ่งตามไทม์ไลน์ คนดูก็ค้างซิครับ ต้องมานั่งปรับอารมณ์ดูเส้นเรื่องใหม่ และพอตัดกลับไปตอนต่อของเส้นเรื่องเดิมคราวนี้มันไม่อินแล้วครับ ต้องปรับอารมณ์กันใหม่อีกรอบ ดังนั้นจึงรู้สึกเสียดายครับว่าบางช่วงมันดีมาก พีคมากเลย แต่พอใช้จังหวะตัดแบบนี้ มันเลยหาไคลแมกซ์ของเรื่องแบบที่ควรจะเป็นไม่เจอ
• หรือการยืดเนื้อเรื่องในช่วง ep.ท้ายๆ ที่เข้าใจว่าเป็นการปูเรื่องเพื่อเข้าสู่ "Make Our Days Count 2" แต่ผมว่ามันเยอะไปครับ จนสุดท้ายกลายเป็นว่าผมจำภาพตอนจบของ Close to You ไม่ได้ว่ามันเป็นยังไง
• มาถึงประเด็นดราม่ากันครับ อันนี้เท่าที่ผมไปอ่านมาจากที่ต่างๆมีหลายประเด็นที่เห็นด้วย แต่บางอย่างก็มองว่าเป็นการพูดเกินจริงไปสักนิดนึงครับ ซึ่งถ้าจะให้ผมสรุปก็แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆเลยด้วยกันครับ
• อันดับแรกคือ การพยายามตั้งคำถามว่าถ้าวันนึงลูกๆของพวกคุณเกิดรักกันขึ้นมาจริงๆ คนเป็นพ่อเป็นแม่จะควรทำอย่างไร ซึ่งถามว่าในบริบทของตัวเรื่องเราจะเห็นได้ว่าทั้งซิงซือและหย่งเจี๋ยไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดก็จริง แต่ว่าความสุ่มเสี่ยงที่โดนวิพากษ์วิจารณ์มันอยู่ตรงที่ แม้ทั้งคู่ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆก็ตาม แต่ทั้งคู่เติบโตและมีช่วงของชีวิตในฐานะของครอบครัวเดียวกันมาตั้งแต่ต้น ซึ่งมันมาแปรเปลี่ยนเอาตอนที่ทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ภาพที่ออกมาก็เลยไปแตะต้องกับคำว่าศีลธรรม และคำว่าสถาบันครอบครัว ที่ในเกือบๆทุกสังคมยังยอมรับเรื่องเหล่านี้ไม่ได้
• ประเด็นนี้ผมมองว่าทางทีมสร้างน่าจะตั้งใจเพื่อทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาสะท้อนภาพและตั้งคำถามสังคมว่า เรื่องเหล่านี้ก็เป็นความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่มันมีอยู่ และถ้ามันเกิดอย่างนี้จริงๆเราควรแก้ไขปัญหาอย่างไร ยิ่งในโลกของ LGBTQ นี้เชื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยด้วย (เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการมีลูกที่เกิดมาจากเลือดชิด) ซึ่งในเรื่องก็สะท้อนภาพให้เราเห็นด้วยว่าสุดท้ายของเรื่องแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดก็คือการยอมรับในตัวตนของทุกฝ่าย แล้วหาวิธีที่เหมาะสมจะอยู่ร่วมกันได้
• แต่ทว่าความพลาดมันอยู่ตรงที่การยอมรับนั้นมันไม่ได้เกิดจากความพร้อมใจ หรือ เกิดจากความเข้าใจของทุกฝ่ายนี่แหละครับ การยอมรับในเรื่องมันเกิดจากการใช้เล่ห์กลเพื่อบีบให้เหลือทางเลือกไม่กี่อย่าง คล้ายๆกับการบังคับเลือกแล้วต้องไปทำใจยอมรับให้ได้เอาเอง อันนี้แหละครับที่ผมบอกว่า "เป็นพล็อตหรือบทซีรีส์ที่ไม่ลุ่มลึกพอ" มันก็เลยทำให้เกิดภาพที่ว่า กลุ่มหนึ่งใช้สิทธิ์เรียกร้องให้คนยอมรับ แต่อีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าจะยอมรับหรือไม่ยอมรับไปซะอย่างนั้น
• ความพลาดอย่างที่ 2 ซึ่งสำหรับผมแล้วนั้น อาจจะต้องพูดว่าเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของ HIStory 4: Close to You คือประเด็นเรื่องของการยกเอาความสัมพันธ์ทางเพศแบบไม่ได้ยินยอม และการสร้างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ เช่น การสะกดรอย การบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว การข่มขู่ด้วยการจะฆ่าตัวตาย มาเป็นข้อต่อรองในการเรียกร้องแถมได้รับการตอบสนองกลับในทางที่ตั้งใจเอาไว้ด้วยครับ
• ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันจะกลายเป็นการส่งเสริมทัศนคติที่ไม่ดี หรือ จะกลายเป็นแบบอย่างให้คนดูเห็นว่า "ถ้าชั้นทำอย่างนี้บ้างชั้นก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการละซิ!!" ซึ่งหลายๆคนอาจจะไม่เห็นด้วยตรงนี้เพราะอาจจะแย้งได้ว่า "คนดูเขาแยกแยะได้ว่าอะไรควรไม่ควร"
• แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ละคร ภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่างๆเหล่านี้ นอกจากมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงแล้ว มันยังเป็นกระบอกเสียงสื่อไปยังคนหมู่มากในสังคมที่มีความหลากหลายของวัย เพศความเชื่อ หรือวุฒิภาวะอีกด้วยนะครับ ดังนั้นถ้าในเรื่องมันแฝงทัศนคติแบบนี้อยู่ด้วย มันจะกลายเป็นสิ่งที่บางคนยอมรับได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องได้นะครับ
• อีกอย่างในเรื่องจะเห็นว่าตัวละครที่แสดงพฤติกรรมเหล่านี้ในตอนท้ายก็ไม่ได้บทลงโทษให้เห็นอย่างจริงจัง แถมได้เห็นบทสรุปตอนท้ายด้วยว่าทำแบบนี้แล้วมันได้ผล สมหวังแฮปปี้อีกต่างหาก ผมเลยมองว่าความพลาดอันนี้เป็นเรื่องอันตรายมากครับ
• ในความรู้สึกของผมต้องบอกว่าน่าเสียดายจริงๆ เพราะการกลับมาอีกครั้งของซีรีส์ชุด HiStory ในครั้งนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้ เพราะโดยภาพรวมแล้ว เรื่องนี้ยังคงความสนุกเฮฮา ชวนฟินจิกหมอน มีดราม่าให้ซึ้งกินใจกันเหมือนเดิม เช่นเดียวกับซีซั่นก่อนๆ ก็ตามแบบฉบับความครบรสของ HiStory นั่นแหละครับ
• แต่ดันมา "ตกม้าตาย" ที่ประเด็นสะท้อนสังคมเกี่ยวกับการยอมรับในความเป็น LGBTQ ของเรื่องนี้มัน "ไม่ลุ่มลึกเพียงพอ" ที่จะทำให้สังคมเห็นพ้องและยอมรับได้ หนักไปกว่านั้นภาพพจน์ที่ออกมาจากความ "ไม่ลุ่มลึกเพียงพอ" ในครั้งนี้ นอกจากสะท้อนสังคมไม่ได้แล้ว ยังเป็นการชี้นำสังคมให้เห็นว่า LGBTQ มองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ "ยอมรับได้" และ การเรียกร้องให้คนในสังคมยอมรับนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของตัวเองฝ่ายเดียว ไม่ได้สนใจหรือเคารพความหลากหลายอื่นๆในสังคมเลย ซึ่งความพลาดในครั้งนี้ถือว่าเป็นแผลใหญ่ที่น่าผิดหวังเป็นที่สุดครับ
• สุดท้ายแล้วก็จะเกิดคำถามสะท้อนกลับมาที่พวกเรา LGBTQ ว่า ระดับความเหมาะสมในการเรียกร้องที่จะทำให้สังคมส่วนใหญ่ยอมรับได้และเข้าใจพวกเราได้นั้นมันอยู่ที่ตรงจุดใด ... เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ต้องตอบกับสังคมให้ได้นะครับ
• ถ้าถามว่าผมจะแนะนำให้ดูเรื่องนี้หรือไม่ ก็ต้องตอบว่าอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนดีกว่าครับ ผมเล่าคร่าวๆให้ฟังแล้วว่าเป็นอย่างไร ซึ่งจริงๆแล้วถามว่าสนุกไหม ก็ต้องตอบว่าสนุกดีครับ โดยเฉพาะคู่ของหลี่เฉิงกับมู่เหริน ถ้าดูเพลินๆไม่คิดอะไรมากก็ถือว่าน่าติดตามเลยทีเดียว
• แต่ว่าอาจจะหาชมยากสักนิด เพราะผมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุผลที่ไม่ได้ฉายในเมืองไทยนี้อาจจะเป็นตรงที่เนื้อหาที่เป็นดราม่าด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจนะครับ เลยไม่ได้เอามาฉายที่บ้านเรา ก็ลองหาๆดูครับเป็นซับอังกฤษมีอยู่พอสมควร แต่ถ้าซับไทยผมเคยเจออยู่บ้างแต่มันไม่ครบทุกตอน เอาเป็นว่าถ้าใครเจอซับไทยแล้วแอบมาบอกกันหน่อยนะครับ จะได้เข้าไปดูอีกที เผื่อว่าพอเป็นภาษาไทยแล้วมันอาจจะเห็นมุมมองอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมก็เป็นได้ ....
โฆษณา