1 ต.ค. 2021 เวลา 10:21 • กีฬา
คุณคาดหวังอะไรจากทีมชาติไทยยุค "มาโน่ โพลกิ้ง" ?
#แบกเป้ดูบอลไทย By #เก้นนิติพงษ์
บุกแหลกแบนนี้แหละที่ทีมชาติไทยต้องการ
“มาโน่ ไทม์” ชื่อนี้การันตีมีลุ้นประตูจนถึงวินาทีสุดท้าย
แผน 2-3-5
ไร้ดีกรีความสำเร็จแบบนี้จะไหวเหรอ
เล่นมันส์ แต่ไม่มีแชมป์
ท่ามกลางฟีดแบคที่มีทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น และกลายเป็น Talk of the town ของแฟนบอลบ้านเรา หลังจากที่มีการประกาศแต่งตั้ง มาโน่ โพลกิ้ง มารับหน้าที่เฮดโค้ชทีมชาติไทยลุยศึกชิงแชมป์อาเซียน 2020 ปลายปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายแรก และเป้าหมายเดียวของแฟนบอลไทยก็คงจะหนีไม่พ้น “แชมป์”
มาโน โพลกิ้ง เข้ามาทำหน้าที่ผู้ฝึกสอนในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2012 โดยเริ่มจากการเป็นผู้ช่วยโค้ชของ วิลฟรีด เชเฟอร์ กุนซือใหญ่ทีมชาติไทย ก่อนจะผันตัวไปคุมทีมระดับสโมสรในไทยยาวนานถึง 8 ปี ไล่มาตั้งแต่ อาร์มี่ ยูไนเต็ด, สุพรรณบุรี เอฟซี และทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ก่อนจะย้ายไปคุมทีม โฮจิมินห์ ซิตี้ ในศึกวีลีก เวียดนาม เป็นทีมล่าสุด กระทั่งจรดปากกาเซ็นสัญญาเป็นกุนซือทีมชาติไทย
เรียกได้ว่าประสบการณ์ในการคุมทีมของ มาโน่ กับความเข้าใจในเรื่องของฟุตบอลไทยนั้นอยู่ในข่ายที่สุกงอมเต็มที่
ทุกคนต่างรู้ดีว่า มาโน่ โพลกิ้ง นั้นมีรูปแบบการทำทีมที่ชัดเจน โดยเฉพาะกับการให้ความสำคัญในเรื่อง “เกมรุก” มากเป็นพิเศษ พิสูจน์ได้จากจำนวนประตูเมื่อครั้งที่เจ้าตัวทำหน้าที่ในระดับสโมสรตั้งแต่ยุค อาร์มี่ ยูไนเต็ด จนถึง โฮจิมินห์ ซิตี้ ที่มีค่าเฉลี่ยการทำประตูอยู่ที่ 1.97 ประตูต่อนัด
และถ้าแยกออกมาเฉพาะยามที่กุนซือชาวเยอรมัน-บราซิลรายนี้กุมบังเหียนทัพ “แข้งเทพ” ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ยิ่งเห็นได้ชัดว่า เกมรุกในแบบฉบับของ มาโน่ โพลกิ้ง นั้นเต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ หลังมีค่าเฉลี่ยการทำประตูสูงถึง 2.12 ประตูต่อนัด
แต่นั่นอาจจะไม่สามารถนำมาเป็นข้อมูลที่ฟันธงได้ชัดว่าทีมชาติไทยในยุคของเจ้าตัวนั้นจะยังรักษาความสะเด่าเหมือนแต่ก่อน เพราะอย่าลืมว่าในระดับสโมสรนั้นมีปัจจัยในเรื่องของผู้เล่นต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง และแน่นอนว่าสิ่งที่แฟนบอลบ้านเราต้องการมากกว่าเกมรุกที่ดุดันตลอดทั้ง 90 นาทีก็คือ “ความสม่ำเสมอ” ซึ่งนี่คือโจทย์แรกที่เจ้าตัวจำเป็นต้องสร้างความสมดุลให้ทีมกับชาติไทย ทั้งเกมรับ และเกมรุก เพราะสุดท้ายแล้ว เกมรับที่ดี จะเป็นตัวตัดสิน “แชมป์”
มองในแง่ดีว่า นี่คือช่วงเวลาที่ฟุตบอลลีกบ้านเรานั้นกำลังอยู่ในช่วงของการแข่งขัน และจะทวีความเข้มข้นไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะปิดเบรคพักเพื่อหลีกทางให้กับทีมชาติไทยได้โฟกัสรายการชิงแชมป์อาเซียนแบบเน้นๆ ซึ่ง มาโน่ โพลกิ้ง และทีมงานคงจะต้องใช้เวลานับตั้งแต่นี้ในการวิเคราะห์ มองหาจุดแข็ง-จุดอ่อน และสิ่งที่ต้องเสริม เพื่อเฟ้นหานักเตะไทยที่คู่ควร และเหมาะสมกับฟุตบอลในแบบฉบับของ มาโน่ โพลกิ้ง ให้ได้มากที่สุด
ด้วยปัจจัยของเรื่องเวลาที่ค่อนข้างจะกระชั้นชิด บวกกับสถานการณ์โควิด-19นั้นอาจจะทำให้การเตรียมทีมของ มาโน่ นั้นไม่ง่าย หากแต่ด้วงองค์ความรู้ และความเข้าใจ ตลอดจนการสั่งสมประสบการณ์กับฟุตบอลไทย และนักเตะไทยอย่างใกล้ชิดมาเป็นเวลานาน สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ มาโน่ โพลกิ้ง สามารถหาจุดที่ลงตัวให้กับทีมชาติไทยชุดนี้ได้ง่ายขึ้น
เมื่อรวมกับทีมงานที่เพียบพร้อมไปด้วยประสบการณ์ทั้ง จเด็จ มีลาภ และหนึ่งฤทัย สระทองเวียน สองผู้ฝึกสอนระดับโปรไลเซนส์ ที่ก้าวเข้ามาเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอน น่าจะช่วยให้อดีตกุนซือทัพ “แข้งเทพ” นั้นทำงานได้ง่ายขึ้นทั้งในเชิงเทคนิค และการบริหารจัดการ
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ผมมองเห็น และสัมผัสได้นั่นคือ “จิตวิทยา” และความบ้าคลั่งในแบบฉบับของ มาโน่ ที่ค่อนข้างจะแตกต่างไปจากกุนซือทีมชาติไทยก่อนหน้านี้ ภาพที่เราเห็นเจ้าตัวปลดปล่อยอารมณ์แบบสุดขีดไม่มีกั๊กข้างสนามทั้งยามสั่งการ หรือยามดีใจ คือจุดที่ชี้ชัดได้เลยว่า ทุกวินาทีของการทำงานนั้นเต็มไปด้วยแพสชั่น และอารมณ์ร่วมของทีม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับทีมมากๆ ในแง่ของการปลุกเร้า
หรือแม้แต่การกระตุ้นให้นักเตะ และทีมงานทุกคนสู้ตราบจนเสียงนกหวีดสุดท้าย พิสูจน์ได้จากวลีเด็ด “มาโน่ ไทม์” ที่เจ้าตัวพาทีมโกงความตายกลับมาได้นับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเราพูดกันตรงๆ ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ค่อยเกิดขึ้นกับทัพ “ช้างศึก” สักเท่าไหร่ แต่เชื่อได้เลยว่านับจากนี้ไป เราอาจจะมีโอกาสได้สัมผัสกับ “มาโน่ ไทม์” กับทีมชาติไทยก็เป็นได้
"ผมไม่รู้จะใช้คำไหนมาอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของผม ผมมีความสุข มีความภูมิใจ ตื่นเต้น และมั่นใจ ประเทศไทยเหมือนบ้านของผมอีกหลัง ผมรักผู้คน และวัฒนธรรมแบบเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาที่ผมมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนความไว้วางใจที่มีให้กับผม และด้วยผู้เล่น ทีมงานโค้ช และบอร์ดบริหาร รวมถึงแฟนบอลอันแสนพิเศษ ผมก็รู้ว่าผมจะทำมันได้แน่นอน ผมจะทำงานอย่างหนัก และโฟกัสอย่างเต็มที่เพื่อคว้าแชมป์ ซูซูกิ คัพ กลับประเทศไทยให้ได้"
นี่คือประโยคแรกของ มาโน่ โพลกิ้ง หลังจากเข้ารับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ซึ่งแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการจะพาทัพ “ช้างศึก” กลับมาทวงบัลลังก์จ้าวอาเซียนให้ได้ เราเชื่อว่านี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สุดในชีวิตการทำงานของเจ้าตัวก็เป็นได้ ท่ามกลางความคาดหวังของแฟนบอลไทยทั้งประเทศ
แต่อย่างที่ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมชาติไทยชุดใหญ่ และรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ได้ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า นี่ยังไม่ใช่มาสเตอร์แพลน และผลการแข่งขันรายการนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความสามารถกับอนาคตของทีมชาติไทยของ มาโน่ ซึ่งนับจากนี้ไป เวลาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทีมชาติไทยในยุคของ มาโน่ นั้นจะมีทิศทาง และมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นหรือไม่
ท่ามกลางความกดดัน และความคาดหวัง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่งานที่ง่ายเลยแม้แต่น้อย หากแต่ถ้าเราหวังที่จะก้าวไปข้างหน้า บางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง และในเวลานี้ ชายที่ชื่อว่า “มาโน่ โพลกิ้ง” เท่านั้นที่จะเป็นคนพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า นี่คือการตัดสิญใจที่ถูกต้อง และใช่ที่สุดสำหรับทัพ “ช้างศึก”
แล้วคุณหล่ะครับ คุณคาดหวังอะไรจากทีมชาติไทยยุค "มาโน่ โพลกิ้ง" ?
สำหรับ การแข่งขันเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2020 ระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2564 - 1 มกราคม 2565 ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยโปรแกรมการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มเอ ของไทย มีดังนี้
🗓 5 ธันวาคม 2564
ผู้ชนะรอบคัดเลือก (🇧🇳 บรูไน หรือ 🇹🇱 ติมอร์ เลสเต) พบ ไทย 🇹🇭
🗓 11 ธันวาคม 2564
🇹🇭 ไทย พบ เมียนมาร์ 🇲🇲
🗓 14 ธันวาคม 2564
🇵🇭 ฟิลิปปินส์ พบ ไทย 🇹🇭
🗓 18 ธันวาคม 2564
🇹🇭 ไทย พบ สิงค์โปร์ 🇸🇬
#เก้น #นิติพงษ์ยวนตระกูล ผู้จัดการสื่อสารการตลาด & มีเดีย หนุ่มเมืองเหนือไฟแรง : ผู้บรรยายฟุตบอล และบรรณาธิการกีฬา ที่คลั่งไคล้มนต์เสน่ห์ลูกหนังอย่างจริงจังโดยเฉพาะฟุตบอลไทย จนตัดสินใจยกหัวใจให้ “เกมลูกหนัง” เป็นตัวนำทางชีวิต
โฆษณา