1 ต.ค. 2021 เวลา 13:25 • ปรัชญา
ในโลกมีอารมณ์เป็นใหญ่เหมือนนำ้ในห้องมหาสมุทร
ผู้ที่เป็นใหญ่ในโลกในห้องมหาสมุทร ก็คืออารมณ์ เบื้องหลังของอารมณ์ก็คือกรรม อารมณ์เป็นเหมือนน้ำในห้องมหาสมุทร จิตทีอยู่ในห้องมหาสมุทรอาศัยวิญญาณทั้งหก ในการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่มีคำว่าสัมผัส สัมผัส เรื่องราวของโลก สัมผัสสิ่งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สัมผัสสิ่งที่เห็นและไม่เห็น เหมือนสรรพสัตว์ในโลกนี้ อยู่ในห้องมหาสมุทร มีอารมณ์กรรมนานาชนิดเป็นเหมือนน้ำในห้องมหาสมุทร และตัวเราก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่ง ต้องกินอยู่ ต้องใช้ ต้องนอน ลมหายใจเข้าออก ก็หายใจเอานำ้ในห้องมหาสมุทรนี้มาใช้ สัมผัสทั้งหลาย ด้วยหูตาจมูกลิ้นกายใจ
มันก็เป็นอารมณ์ของนำ้ในห้องมหาสมุทรนี้ ไม่มีสรรพสัตว์ใด ตัวใดพ้นจากอารมณ์ในห้องมหาสมุทรที่ตนอาศัยไปได้เลย ตั้งแต่เกิดจนตาย ล้วนแล้วต้องอาศัยต้องใช้นำ้ในห้องนี้เป็นอารมณ์ทั้งหมด นำ้ในห้องมหาสมุทรนี้ เป็นเหมือนสีดำสีของกรรม สัมผัสกับวิญญาณอายตนะของสัตว์ของมนุษย์แล้วก็หลงใหล มีความยึดถือ อยากได้อย่างงั้นอย่างงี้ ทะเยอทะยาน ทะเยอะทะยานไม่สิ้นสุด หลงลืมตน สูดดมกระแสอารมณ์สีดำสีม่วงสีกรมท่า เป็นสีของกรรมทั้งกายทั้งจิต เป็นเหตุให้สีดำปกคลุมกายปกคลุมจิต แปลงสภาพเป็นอารมณ์ด้วยโลภโกรธหลง
การสัมผัสวัตถุที่มีชีวิตไม่มีชีวิตในโลกนี้ สัมผัสที่หูตาจมูกลิ้นกายใจ ก็เป็นอารมณ์ของน้ำในห้องมหาสมุทรนี้ สัมผัสแล้วก็ยึดหลงไหล ร้อนบ้าง หนาวบ้าง เป็นพิษ สรรพสัตว์ในห้องนี้ก็มีภูมิคุ้มกันมาไม่เหมือนกัน คือ บุญกรรม กุศลบารมี มาไม่เหมือนกัน เมื่อสัมผ้สนำ้ในห้องมหาสมุทรนี้ก็มีอาการมีปฏิกิริยา ไม่เหมือนกัน เนื่องด้วยกรรมที่เคยติดมาในสันดานในนิสัยไม่เหมือนกัน
เมื่อจุติในโลกที่เปรียบเหมือนมาเกิดในห้องมหาสมุทร กรรมทีเคยทำไวักับห้องมหาสมุทรนี้ก็ก่อตัวรวบรวมกรรมที่เคยทำไว้เป็นเหมือนบัญชีรองรับจิตที่มีกรรม..รองรับด้วยกรรมที่เคยทำมาเป็นกรรมด้วยอกุศล กุศลบารมีหรือที่เรียกว่ากรรมดีกรรมชั่วที่เคยทำมา ดึงจิตให้เกิดตามสายของกรรม มีพ่อมีแม่รออยู่ตามสถานที่ต่างๆ เมื่อจะมาอาศัยในห้องมหาสมุทร ก็มีพ่อมีแม่อาศัยรูปกรรมนานาชนิด รูปหมูหมากาไก่ รูปกุ้งหอยปูปลา รูปจิ้งจกตุ๊กแก รูปเสือสิงห์กระทิงแรด รูปช้างม้าวัวควาย สารพัดรูป ไปจนถึงรูปมนุษย์
การจุติในห้องมหาสมุทรนี้ต้องมีกรรมเป็นหนี้กรรมอยู่ในห้องนี้ ก็ต้องจุติมาชดใช้เวรกรรม ชดใช้หนี้กัน เป็นไปตามสายของกรรมนิสัยสันดานที่เคยใช้
นำ้ในห้องมหาสมุทรเป็นอารมณ์ พัดโลภโกรธหลง ไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย รูปมนุษย์นั้นโชคดีหน่อย พอจะมีสติมีปัญญาตื่นขึ้นมา พิจารณา หาเหตุผล ความเป็นมาเป็นไป คลี่คลายกรรม บรรเทากรรมของรูปที่อาศัย ทุกข์สุขที่จิตตนอาศัยอยู่กับรูปกรรม รู้จักเรื่องราวของทุกข์ ที่ผ่านสัมผัสมาทางว่าวิญญาณทั้งหกหูตาจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสแล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เมื่อสัมผัสแล้วรู้จักไหม รู้เท่าทันไหม สัมผัสแล้วเรียบเรียงเหตุผล นำพาจิตของตนไปทางไหน ไปทำอะไร สร้างกุศล อกุศล ตลอดจนทำความเข้าใจชีวิตของตน อะไรคือกรรม อะไรคือการหนีกรรม พัฒนาตนลดละเวรกรรม
หากเปรียบเทียบตัวเรานั้นเหมือนดินที่ปั้นเป็นรูปด้วยนำ้กับดินผสมกัน ประกอบด้วยวิญญาณทั้งหก เมื่อเคลื่อนที่ไปตามที่ต่างๆ เราก็พาแผ่นดินนี้ไป พาไปด้วยอารมณ์นำไป ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ วิญญาณของเราก็ไปสัมผัสเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น สัมผัสด้วยวิญญาณทั้งหก เกิดอารมณ์ทิฐิความคิดเห็นสุขใจไม่สุขใจ เกิดราคะ เกิดความหลง อารมณ์ต่างๆ ก็ไหลเข้า สัมผัสแล้วลมหายใจเข้าออกก็มีอารมณ์ สติของเราก็ตามอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ไป และยังมีสัญญาอารมณ์กรรมต่างๆ ก็ไหลออกมา อารมณ์ภายนอกอารมณ์ภายใน ก็ออกมาคลุกเคล้า ให้หลง สติจิตรู้ไม่เท่าทัน ด้วยไม่เคยฝึกไม่เคยศึกษา สติจิตก็ไหลไปกับอารมณ์ สติก็ตามอารมณ์ไป จิตก็ตามอารมณ์ไป ไปตามอารมณ์ในห้วงมหรรณพ อารมณ์กรรมก็ดึงตัวกระทำเข้ามาสู่จิต ทำให้กิริยากายวาจาใจก็ไปตามอารมณ์กรรมตัวกระทำ
สัตว์ที่อยู่ในโลกในห้องมหาสมุทรนั้น ยากจะแหวกว่ายออกมาจากห้องนี้ มีเพียงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านพ้นออกจากห้องนี้ ไม่กลับมาอีก แล้วท่านก็ชี้ทางให้แก่สรรพสัตว์ในห้องนี้ ชี้ทางออกจากห้องนี้ก็ด้วยการสร้างทานบุญบารมี ลดละสละเรื่องราวของโลภโกรธหลง เมื่อกายมีบุญ ก็ทำให้กายเบาขึ้น ด้วยสละวัตถุสิ่งของ สละโลภโกรธหลงออกไป กรรมที่ขวางการสร้างบารมี ก็ลดน้อยลง
เมื่อกายมีบุญมากขึ้น ก็นำกายบุญมาสร้างบารมีด้วยการปฏิบัติธรรม เดินตามรอยคำสอนขององค์พระสัมาสัมพุทธเจ้า ด้วยกิริยายืนเดินนั่งนอนสมาธิ สะสมบารมี ไปเรื่อยๆ เพียรกระทำไปเรื่อยๆ ทำให้กายนิ่งจิตนิ่งได้ ทำกายให้นิ่งจิตนิ่งด้วยความขันติอดทน เพื่อละลายกรรมที่ไหลออกมาจากธาตุทั้งสี่ ให้เกิดเป็นการอโหสิกรรมที่เคยสร้างไว้ทำไว้กับธาตุทั้งสี่ เมื่อกรรมค่อยๆละลายออกไปจากธาตุสี่ที่อาศัย ไม่สร้างกรรมใหม่ให้เพิ่มพูนขึ้นอีก ปฏิบัติได้มาก กายก็เบาจิตก็เบา เบาบางจากอารมณ์กรรมตัวกระทำ ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ที่มีแสงสวางส่องถึง เมื่อเห็นแสงสว่างก็ชำระกายชำระจิตให้สะอาดสดใส เห็นทางที่จะพ้นนำ้ชัดเจนขึ้น ก็ให้เพียรสร้างบารมีชำระจิต จนพ้นน้ำ
สรรพสัตว์ที่เห็นรอยของเจ้าชายสิทธัตถะ ที่กระทำเป็นแบบอย่างไว้ให้ ฝากไว้ในห้องนี้ คือ นำกายบิดามารดา มานั่งมาธิ เดินสมาธิ ยืนสมาธิ นอนสมาธิ จนจิตเป็นสมาธิ ไม่มีอารมณ์ของโลกมารบกวน เหมือนหยุดเรื่องของโลก การทวนกระแสอารมณ์ แหวกว่าย จากท้องมหาสมุทร จากที่ลึก ไปสู่ที่ตื้น แหวกว่ายจนพ้นนำ้ในห้องมหาสมุทร เป็นการแหวกว่ายด้ายขันติ ด้วยความเพียร ด้วยปัญญา ปล่อยวางการยึดถือเรื่องราวต่างๆ อารมณ์ต่างๆ สีกรรมต่างๆ ด้วยเพียรรักษากำหนดทิศทางที่จิตจะต้องเดินทางไป ไม่พาจิตไปยึดวัตถุสมบัติที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตในห้องมหาสมุทรนี้ เพื่อให้จิตเบาลอยสู่ผิวน้ำ จิตจะได้หมดภาระ หมดพันธะ หมดหนี้ไม่กลับมาจุติในห้องนี้อีก
โฆษณา