6 ต.ค. 2021 เวลา 12:00 • สัตว์เลี้ยง
มาไขปริศนาของน้องหมากันเถอะ
รู้จักกับอวัยวะต่างๆ ของสุนัข ที่แต่ละส่วนล้วนมีความสามารถอันน่าทึ่งซ่อนอยู่ มาดูกันว่าน้องหมาที่เรารู้จักกันนั้น แท้จริงแล้วมีประสาทสัมผัสด้านไหนเป็นอย่างไรบ้าง
สุนัขมองไม่เห็นสีจริงหรือ ทำไมสุนัขถึงชอบให้มนุษย์พูดด้วยเสียงสอง จมูกสุนัขสามารถดมได้กระทั่งกลิ่นของโรคมะเร็งจริงหรือไม่ มาลองค้นหาคำตอบเหล่านี้กัน
รับรองเลยว่างานนี้มีอึ้งอย่างแน่นอน
ตาสุนัข : โลกจากมุมมองน้องหมา
เคยสงสัยไหมว่าน้องหมาเห็นโลกแบบเดียวกับเราหรือเปล่า?
สายตาสุนัขนั้นค่อนข้างแตกต่างจากในมนุษย์พอสมควร ทำให้โลกที่สุนัขมองเห็นไม่เหมือนกับเรามากนัก อย่างแรกเลยคือสุนัขจะมีระยะการมองน้อยกว่าในคน โดยจากการทดลองพบว่ามนุษย์มีระยะมองชัดเจนอยู่ที่ 22 เมตร ส่วนสุนัขอยู่ที่เพียง 6 เมตรเท่านั้นเอง รวมไปถึงสายตามนุษย์จะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้เยอะกว่าอีกด้วย
ดังนั้นสุนัขจึงมักจะแยกแยะว่าใครเป็นใครด้วยการดมกลิ่นมากกว่าการมอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีสุนัขบางพันธุ์ที่มีสายตาดีกว่าสุนัขพันธุ์อื่นๆ เช่น ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ ซึ่งสุนัขเหล่านี้มักทำหน้าที่เป็นสุนัขนำทางให้กับมนุษย์
แม้ว่าสุนัขจะมีระยะการมองเห็นที่น้อยกว่าในมนุษย์ แต่ก็ชดเชยด้วยความสามารถในการมองเห็นในที่มืดดีกว่า สุนัขมีเซลล์รูปแท่ง (Rod Cell) ซึ่งเป็นเซลล์ไวแสงที่ช่วยทำให้มองเห็นในที่มืดได้ดีมากกว่าในมนุษย์ อีกทั้งในดวงตาสุนัขยังมีโครงสร้างที่เรียกว่า Tapetum Lucidum ซึ่งเป็นส่วนที่สะท้อนแสงที่เข้ามาดวงตาให้กลับเข้าไปในจอประสาทตาซ้ำอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยให้สุนัขมองเห็นในที่มืดดีขึ้นอีก โดยโครงสร้าง Tapetum Lucidum คือส่วนที่ทำให้ดวงตาสุนัขวับวาวสีเหลืองเขียวสะท้อนแสงเมื่อเราเอาไฟไปส่องพวกเขาตอนกลางคืนนั่นเอง
1
ส่วนเรื่องความกว้างของการมองเห็น สุนัขจะมองเห็นโลกกว้างกว่ามนุษย์ โดยมองเห็นกว้างประมาณ 300 องศาเลยทีเดียว เพราะดวงตาของพวกเขาอยู่ด้านข้างของศีรษะ ซึ่งระยะการมองเห็นที่กว้างกว่านี้ช่วยให้สุนัขระแวดระวังภัยจากรอบด้านและค้นหาเหยื่อได้ง่าย ต่างจากมนุษย์ที่มองเห็นภาพกว้างประมาณ 180 องศาตรงหน้าเท่านั้น
ด้วยการมองเห็นภาพที่กว้างกว่านี้เอง ทำให้สุนัขมีประสาทสัมผัสไวต่อสิ่งที่เคลื่อนไหว แม้ว่าพวกเขาจะมีระยะการมองเห็นชัดที่สั้น แต่สายตาพวกเขาก็ยังสามารถจับสิ่งเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวได้ดี เมื่อผสานเข้ากับความสามารถในการมองเห็นที่มืดในตอนกลางคืนด้วยแล้ว ทำให้เจ้าของทุกท่านอย่าแปลกใจว่าทำไมน้องหมาถึงชอบเห่าอะไรไม่รู้ตอนกลางคืน นั่นเพราะว่าพวกเขามองเห็นการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง เช่น หนู สัตว์ตัวเล็กๆ หรือแม้กระทั่งใบไม้ไหว ที่เรามองไม่เห็นนั่นเอง
สุนัขเห็นสีแบบไหน : สีที่สุนัขมองเห็นมีอะไรบ้าง
มีความเชื่อกันมาอย่างยาวนานว่าสุนัขมองเห็นได้แค่สีขาวกับดำเท่านั้น
จริงๆ แล้วเราต้องบอกว่านี่เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะแม้ว่าสุนัขจะมองเห็นสีได้ไม่เท่ากับมนุษย์ แต่ก็สามารถมองเห็นสีได้อยู่หลายสี ไม่ใช่มองเห็นโลกเป็นสีเทาหรือแค่ขาวกับดำเพียงอย่างเดียว
ในดวงตาสุนัขมีเซลล์รูปโคน (Cone Cell) ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่มองเห็นสีและภาพในที่สว่างน้อยกว่าในมนุษย์ โดยเซลล์รูปโคนจะมีอยู่หลายชนิดทำหน้าที่รับสีที่แตกต่างกันออกไป ในมนุษย์มีเซลล์รูปโคนอยู่สามชนิด ทำให้สามารถรับสีแดง น้ำเงิน และเหลืองได้ แต่ในสุนัขเชื่อกันว่ามีเซลล์รูปโคนอยู่ 2 ชนิด ทำให้สุนัขมองเห็นสีได้เพียงสองสี ซึ่งคาดการณ์กันว่าคือสีเหลืองและน้ำเงิน
ดังนั้นถ้าเปรียบกับมนุษย์แล้วสุนัขจะไม่สามารถมองเห็นสีแดงได้ โดยมีลักษณะคล้ายคนตาบอดสี และนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสุนัขถึงไม่ค่อยสนใจของเล่นที่เป็นสีแดงมากนัก แต่จะตื่นเต้นกับของเล่นที่เป็นสีเหลืองหรือน้ำเงินมากกว่า เพราะว่าพวกเขามองเห็นสีของเล่นนั้นชัดเจนกว่านั่นเอง
1
ได้มีการพยายามจำลองภาพที่มนุษย์มองเห็นกับภาพที่สุนัขมองเห็นออกมา ซึ่งเราได้ลองทำด้วยเช่นกันโดยการปรับสีภาพเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างสายตามนุษย์กับสุนัขที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเราจะเห็นภาพที่สุนัขมองเห็นนั้นค่อนข้างซีดและมีองค์ประกอบสีเป็นฟ้าและเหลืองเป็นส่วนใหญ่
1
แม้ว่าสายตาของสุนัขอาจจะไม่ดีเทียบเท่ากับมนุษย์ แต่ก็ต้องเข้าใจว่าประสาทสัมผัสหลักของสุนัขไม่ใช่ที่ดวงตา หากแต่เป็นประสาทการรับกลิ่น เพราะสุนัขจะแยกแยะว่าใครเป็นใครด้วยการดมกลิ่นมากกว่าการมองเห็น
ลิ้นสุนัข : สุนัขรับรู้รสชาติอะไรได้บ้าง
คำว่า “สุนัขไม่รับประทาน” เป็นสำนวนแสลงที่หมายถึงว่าของไม่อร่อยขนาดที่สุนัขที่กินได้แทบทุกอย่างยังไม่กินเลยนะ
มาดูกันดีกว่าว่าจริงหรือเปล่า
ที่ลิ้นสุนัขมีต่อมรับรสอยู่มากกว่าในแมว แต่ก็ยังน้อยกว่าในมนุษย์ โดยต่อมรับรสของสุนัขมีอยู่ประมาณ 1 ใน 6 ของที่มนุษย์มีเท่านั้น โดยสุนัขสามารถรับรสขม เค็ม หวาน และเปรี้ยวได้ แต่ถึงกระนั้นสุนัขก็ยังตัดสินใจกินอาหารส่วนใหญ่ด้วยกลิ่นก่อนอยู่ดี เพราะว่าประสาทรับกลิ่นของสุนัขนั้นดีมากๆ และนั่นทำให้พวกเขาเลือกการตัดสินใจส่วนใหญ่ไว้ที่การดมกลิ่นมากกว่า
แต่ถึงกระนั้นเมื่อสุนัขเริ่มต้นกินแล้ว ทั้งผิวสัมผัส ความแห้งแข็ง และรสชาติของอาหารก็เป็นส่วนที่ทำให้สุนัขตัดสินใจว่าจะกินต่อหรือไม่เช่นกัน ดังนั้นถ้าเราลองชิมอาหารสุนัขที่อยู่ตามท้องตลาด จะพบว่าแม้อาหารจะมีกลิ่นแรงแต่ก็จะมีรสชาติจืดๆ เพราะยิ่งกลิ่นแรงก็จะทำให้สุนัขรู้สึกว่าน่ากิน กลับกันสุนัขนั้นไม่ต้องการเกลือหรือโซเดียมเท่ากับในมนุษย์ ดังนั้นรสชาติที่มนุษย์คิดว่าอร่อยจะมีปริมาณเกลือมากกว่าที่สุนัขต้องการและส่งผลให้พวกเขาเป็นโรคไตตามมาได้
1
นอกจากเรื่องรับรู้รสชาติแล้ว ลิ้นสุนัขยังถือว่าเป็นอวัยวะที่น่ามหัศจรรย์มากเพราะนอกจากจะทำหน้าที่ทั้งรับรส กลืน คลุกเคล้าอาหาร ยังช่วยในการกินน้ำ ระบายความร้อน และสื่อสารอารมณ์ระหว่างกันได้อีกด้วย
เราคงเคยเห็นสุนัขนั่งแลบลิ้นแฮ่กๆ ใช่ไหม เนื่องจากสุนัขไม่มีต่อมเหงื่ออยู่ตามตัวเลย ทำให้ไม่สามารถระบายความร้อนผ่านทางเหงื่อได้ โดยสุนัขมีต่อมเหงื่อแค่ที่อุ้งเท้าและจมูกเท่านั้น การที่สุนัขแลบลิ้นหอบแฮ่กๆ เป็นการทำให้อากาศภายนอกไหลเข้าไปผ่านลิ้น ช่องปาก ผ่านไปยังทางเดินหายใจส่วนต้น แล้วนำความร้อนออกมา รวมไปถึงน้ำลายที่ระเหยออกจากลิ้นก็เป็นการช่วยลดความร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย
1
ส่วนการกินน้ำของสุนัขก็ต้องใช้ลิ้นเป็นหลักเช่นกัน เพราะเมื่อสุนัขกินน้ำจะตวัดลิ้นออกมา งอลงให้คล้ายช้อนเพื่อกวักน้ำให้ได้มากที่สุดเข้าไปในช่องปากอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าไม่มีลิ้นสุนัขแทบจะไม่สามารถกินน้ำได้เลยหรือไม่ก็กินได้แต่ลำบากมากๆ
นอกจากนี้ลิ้นสุนัขยังสามารถสื่อสารอารมณ์ผ่านทางการเลียได้อีกด้วย โดยสุนัขจะเลียหน้าสุนัขด้วยกันเองเมื่อมีอารมณ์ตื่นเต้นหรือมีความสุขเท่านั้น ซึ่งอาจรวมถึงเจ้าของด้วยได้ แต่อย่างไรก็ดีมีการเตือนว่าอย่าให้สุนัขเลียหน้าเราบ่อยๆ เพราะลิ้นสุนัขมีแบคทีเรียอยู่ ซึ่งอาจทำให้เราสิวขึ้นหรือติดเชื้อโรคได้
ลิ้นสุนัขส่วนใหญ่มีสีชมพู แต่หลายคนอาจต้องแปลกใจว่าในสุนัขบางสายพันธุ์ เช่น เชาเชา และชาเป่ย มักจะมีลิ้นเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ ยังไม่มีใครทราบว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่มีนักวิทยาศาสตร์บางคนคาดการณ์ สุนัขสองสายพันธุ์นี้เป็นสุนัขสายพันธุ์จีนด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นจึงอาจมีอะไรเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมก็ได้
ถ้าใครเลี้ยงเชาเชาหรือชาเป่ย ลองแอบไปดูลิ้นน้องดูนะว่าเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือสีน้ำเงินอมดำจริงหรือเปล่า
หูหมา : สุนัขได้ยินเสียงดีแค่ไหน
ฉันจะคอยฟังเสียงเธอ ไม่ว่าจะเบาแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่โดดเด่นของสุนัขที่ไม่แพ้การดมกลิ่นเลยคือความสามารถในการได้ยิน สุนัขสามารถได้ยินเสียงตั้งแต่ 67-45000 เฮิร์ตซ์ ในขณะที่มนุษย์สามารถได้ยินเสียงในคลื่นความถี่ 64 – 23,000 เฮิร์ตซ์ เท่านั้น จากการประมาณการณ์คาดว่าสุนัขจะสามารถได้ยินเสียงดีกว่ามนุษย์ถึง 4 เท่า
แต่หากเจาะลึกลงไปในเรื่องการได้ยินของสุนัขจริงๆ แล้ว จะพบว่าสุนัขจะได้ยินเสียงดีกว่ามนุษย์มากๆ ในคลื่นความถี่ โดยเฉพาะในคลื่นความถี่สูง ตั้งแต่ 12,000 เฮิร์ตซ์ เป็นต้นไป จะเป็นเสียงที่สุนัขไวและได้ยินดีกว่ามนุษย์มาก สุนัขยังไวต่อการฟังเสียงเบามากๆ ที่มนุษย์ไม่ได้ยินอีกด้วย มีการทดลองพบว่าสุนัขสามารถได้ยินเสียงในระดับติดลบ -15 เดซิเบลได้
สาเหตุที่สุนัขมีประสาทรับเสียงที่ดีแบบนี้ เชื่อกันว่าเกิดขึ้นจากในสมัยโบราณที่สุนัขต้องล่าเหยื่อเอง พวกเขาจะต้องฟังเสียงเหยื่อควบคู่กับการดมกลิ่นตามรอย ความสามารถในการฟังเสียงที่มีความถี่สูงนั้นเพื่อตรวจจับเสียงร้องแหลมเล็กของสัตว์ตระกูลหนูหรือกระต่ายที่ซ่อนตัวอยู่ แต่เมื่อสุนัขอยู่กับมนุษย์แล้วความสามารถนี้ก็ยังติดตัวอยู่ และมีงานวิจัยพบด้วยว่าสุนัขชอบให้เจ้าของพูดกับตัวเองด้วยการใช้ “เสียงสอง” อีกด้วย ซึ่งอาจมีสาเหตุว่าพวกเขาฟังเสียงสูงได้ดีกว่านั่นเอง
นอกจากนี้ด้วยความสามารถในการฟังเสียงที่คลื่นความถี่สูงได้ดี ทำให้หลายคนเชื่อว่าสุนัขสามารถรับรู้การเกิดแผ่นดินไหวล่วงหน้าได้จากเสียงการสั่นสะเทือนที่มนุษย์ไม่ได้ยิน รวมไปถึงสามารถรู้ล่วงหน้าว่าจะมีใครมาที่บ้านนานๆ ได้จากเสียงจังหวะการเดินที่มนุษย์ไม่มีทางได้ยินเลย
อย่างไรก็ดีความสามารถการฟังที่ยอดเยี่ยมของสุนัขนี้เองก็เป็นเหมือนกับดาบสองคม เพราะสุนัขอาจจะเครียดได้จากเสียงที่ดังเกินไปจากกิจวัตรชีวิตประจำวันของพวกเรา เช่น การเปิดเพลงดังๆ ในบ้าน เสียงเครื่องดูดฝุ่น และเสียงไดร์เป่าผม ซึ่งเสียงเหล่านี้มักจะดังเกินไปสำหรับสุนัขจะทนไหวในระยะเวลานานๆ และที่สำคัญที่สุดคือเสียงพลุและประทัด ซึ่งในแต่ละปี มีสุนัขที่แตกตื่นและวิ่งหายไปเพราะเสียงพลุและประทัดเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นในช่วงเทศกาล โดยเฉพาะช่วงปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้ อย่าลืมดูและน้องดีๆ ลดความเสี่ยงด้วยการพาน้องเข้ามาอยู่ในบ้านและปิดประตูให้มิดชิดเพื่อกันไม่ให้หนีก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเหมือนกัน
ขาและเท้าสุนัข : ที่มาของคำว่า “ควบเกียร์หมา”
ถึงเวลาควบเกียร์หมากันแล้ว
สำนวนแสลง “ควบเกียร์หมา” น่าจะหมายถึงวิ่งไม่คิดชีวิต ซึ่งจริงๆ แล้วน้องหมาก็นับว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งได้เร็วพอสมควรเลยทีเดียว สายพันธุ์สุนัขที่วิ่งได้เร็วที่สุดในโลกตอนนี้คือ Grey Hound ซึ่งวิ่งความเร็วเฉลี่ย 60 กม./ชม.
แต่แน่นอนว่าสุนัขทั่วไปไม่ได้วิ่งเร็วขนาดนั้น โดยปกติสุนัขวิ่งได้เร็วประมาณ 19-24 กม./ชม. โดยทั้งสายพันธุ์และสรีระของสุนัขก็มีผลเกี่ยวข้องอย่างมากด้วยเช่นกัน สุนัขที่มีขายาวและการยืดหดลำตัวได้มากจะวิ่งได้เร็วกว่าสุนัขที่ขาสั้นและช่องอกตื้น เพราะขายาวทำให้แต่ละก้าวเคลื่อนไปได้ระยะทางไกลขึ้น ส่วนการยืดหดลำตัวมีผลต่อการส่งแรงไปข้างหน้า
สุนัขแต่ละสายพันธุ์มีความสามารถในการวิ่งที่แตกต่างกันออกไป บางสายพันธุ์เน้นวิ่งได้เร็วมากแต่เป็นช่วงแค่ระยะเวลาสั้นๆ ในขณะที่บางสายพันธุ์อาจวิ่งได้ไม่เร็วสูงสุดแต่สามารถวิ่งต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลานานๆ รวมไปถึงบางสายพันธุ์ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อวิ่งมากนัก เช่น ชิห์สุ หรือบูลด็อก
นอกจากขาแล้ว อุ้งเท้าสุนัขก็นับว่าเป็นอีกอวัยวะหนึ่งที่น่าสนใจ ที่อุ้งเท้าเป็นเพียงไม่กี่จุดของสุนัขที่มีต่อมเหงื่อ ทำให้เท้าสุนัขเป็นบริเวณที่ใช้ระบายความร้อนได้ นอกจากนี้อุ้งเท้าของสุนัขยังถูกสร้างด้วยเนื้อเยื่อไขมันทำให้ทนต่อความเย็นและถูกน้ำแข็งกัดได้ยาก
1
แต่ในทางกลับกันอุ้งเท้าน้องหมากลับทนความร้อนได้ไม่ดีนักและมีโอกาสที่จะพองได้หากเดินบนพื้นปูนหรือซีเมนต์ร้อนๆ ในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทย ดังนั้นในช่วงหน้าร้อนหรือแดดจัดจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้สุนัขเดินบนพื้นร้อนๆ โดยไม่มีอะไรป้องกัน
และถ้าคุณสังเกตที่เท้าน้องหมาของคุณดีๆ จะพบว่าที่เท้าหน้าและเท้าหลังจะมีเท้าละ 4 นิ้ว แต่ในสุนัขบางตัวจะมีนิ้วเสริมตรงเท้าหน้าหรือเท้าหลัง ที่เรียกกันว่า Dew Claw ซึ่งคาดการณ์กันว่าเป็นส่วนเหลือของนิ้วโป้งสุนัขเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งสามารถพบได้บ้างและไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
จมูกสุนัข : ประสาทการดมกลิ่นที่ดีที่สุดในโลก
ถ้าเป็นเรื่องการดมกลิ่น บอกเลยว่าน้องหมาไม่แพ้ใครอย่างแน่นอน
1
ประสาทการรับรู้กลิ่นถือว่าเป็นประสาทสัมผัสหลักของสุนัขเลยทีเดียว เพราะว่าพวกเขาใช้กลิ่นในการสื่อสาร หาอาหาร ส่งสัญญาณต่างๆ หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมทางเพศด้วย โดยความสามารถการดมกลิ่นของสุนัขสูงเหนือกว่าในมนุษย์แบบที่เรียกว่าเทียบไม่ติดฝุ่นเลย
จมูกสุนัขมีเซลล์รับรู้กลิ่นอยู่ประมาณ 300 ล้านเซลล์ ส่วนในมนุษย์มีอยู่แค่ประมาณ 6 ล้านเซลล์เท่านั้น แถมสมองส่วนที่ประมวลผลเรื่องกลิ่นก็มีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์เกือบ 40 เท่าเลยทีเดียว ด้วยองค์ประกอบทางกายภาพที่เพียบพร้อมเหล่านี้ทำให้สุนัขมีความไวต่อกลิ่นต่างๆ สูงมาก สุนัขสามารถแยกแยะได้แม้กระทั่งกลิ่นเล็กน้อยที่ปะปนมาในอากาศ ผู้ลักลอบนำยาเสพย์ติดปะปนมากับของกลิ่นแรงอื่นๆ ก็หลอกจมูกน้องหมาไม่ได้ รวมไปถึงนักวิทยาศาสตร์ยังเชื่อว่าสุนัขสามารถดมกลิ่นโรคหรือกลิ่นมะเร็งในผู้ป่วยได้อีกด้วย
ดังนั้นอย่าแปลกใจถ้าเราพาน้องหมาไปที่ใหม่ๆ แล้วพบว่าน้องหมาชอบไปดมฟุดฟิดตามที่ต่างๆ นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังเรียนรู้อยู่ว่าพื้นที่นี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้างจากกลิ่นที่อยู่ตามพื้นนั่นเอง
เชื่อกันว่าถ้าเทียบกันแล้ว สุนัขดมกลิ่นได้ดีกว่ามนุษย์ประมานแสนเท่า จมูกสุนัขดีขนาดที่ว่าถ้าเอาน้ำตาลครึ่งช้อนชาละลายในสระว่ายน้ำโอลิมปิก สุนัขก็สามารถได้กลิ่น และที่น่าสนใจกว่านั้นคือนักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสุนัขสามารถดมกลิ่นแบบสามมิติได้ คือ รูจมูกสองข้างของสุนัขสามารถแยกแยะกลิ่นที่แตกต่างกันแล้วไปประมวลผลที่สมอง ทำให้สุนัขทราบได้ว่ากลิ่นต่างๆ มีตำแหน่งอยู่ตรงไหนรอบตัวบ้าง แบบเดียวกับที่มนุษย์ใช้ตาสองข้างประมวลผลภาพที่สมองแล้วสร้างเป็นภาพสามมิติขึ้นมานั่นเอง
นอกจากกลิ่นแล้ว สุนัขยังสามารถใช้จมูกรับรู้ถึงฟีโรโมนได้ด้วย โดยในจมูกสุนัขจะมีอวัยวะที่มีชื่อว่า Vomeronasal Organ หรือ Jacobson’s Organ ทำให้สุนัขตัวผู้รับรู้ได้ว่าสุนัขตัวเมียตัวไหนกำลังเป็นสัดอยู่ ซึ่งอวัยวะนี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศของสุนัขเสียเป็นส่วนใหญ่
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสาเหตุที่สุนัขจมูกดีขนาดนี้ เกิดขึ้นเพราะในสมัยก่อนสุนัขยังคงอาศัยอยู่ในป่า จึงต้องอาศัยจมูกเพื่อให้สามารถดมกลิ่นตามรอยเหยื่อ ค้นหาคู่ หรือรับรู้ถึงกลิ่นของศัตรูเพื่อหลีกหนี ทำให้สุนัขค่อยๆ วิวัฒนาการประสาทสัมผัสส่วนรับกลิ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้
ในตอนนี้มีการใช้สุนัขดมกลิ่นเพื่อช่วยเหลืองานต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเก็บกู้ระเบิด ค้นหาคนหาย หรือยาเสพย์ติด แต่บางคนก็เชื่อว่าความสามารถการดมกลิ่นของสุนัขยังสามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตถ้าเราเข้าใจเกี่ยวกับการดมกลิ่นสุนัขมากขึ้น อาจจะได้เห็นสุนัขที่สามารถดมกลิ่นเพื่อตรวจหาอะไรที่เราคาดไม่ถึง เช่น โรคต่างๆ หรืออาการชัก ก็เป็นได้
หางสุนัข : เมื่อหางน้องหมาสื่ออารมณ์
แหม...กระดิกหางใหญ่เชียว
กลับบ้านมาทีไรเราก็เห็นน้องหมากระดิกหางไปมารอต้อนรับเราอยู่เสมอ เชื่อหรือไม่ว่าหางสุนัขนั้นเป็นอวัยวะที่สามารถใช้สื่ออารมณ์ได้ และทิศทางต่างๆ ของหางน้องหมาก็สามารถบอกอารมณ์ต่างๆ ได้เช่นกัน
หางของสุนัขนั้นเป็นกระดูกแนวเดียวกับกระดูกสันหลังสุนัข ซึ่งเป็นโครงสร้างประสาทหลักของร่างกาย ดังนั้นเราจึงห้ามดึงหางสุนัขเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อระบบประสาท ส่งผลให้สุนัขเป็นอัมพาตหรือเคลื่อนไหวผิดปกติได้
1
หลายคนอาจเคยเห็นน้องหมาวิ่งไล่กัดหางตัวเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้หลายคนเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นได้จากหลายเหตุผล ไม่ว่าจะคันที่หาง วิ่งไล่งับด้วยความอยากรู้อยากเห็น หรือแม้แต่เกิดขึ้นเพราะสัญชาตญาณนักล่าในตัว แต่อย่างไรก็ดีมีผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสัตว์บางคนบอกว่าถ้าน้องหมามีพฤติกรรมวิ่งไล่กัดหางตัวเองมากเกินไปหรือทำบ่อยมากๆ อาจแสดงถึงภาวะการทำอะไรซ้ำๆ จากความเบื่อหรือเหงา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องแก้ไข
1
หางสุนัขทำหน้าที่ในการสร้างสมดุลให้กับร่างกายน้องหมาในขณะยืนหรือวิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถสื่อสารอารมณ์ได้เช่นกัน โดยเราสามารถดูอารมณ์จากหางสุนัขได้จากท่าทางของหางดังต่อไปนี้
รูปแบบหางสื่ออารมณ์ต่างๆ
1. หางสุนัขตั้งตรง ตกลงเล็กน้อย : สุนัขมีอารมณ์ปกติทั่วไป
2. หางสะบัดไปมาอย่างรวดเร็ว : สุนัขกำลังดีใจหรือมีความสุข
3. หางตั้งตรง ปลายหูตั้ง : สุนัขกำลังแสดงอำนาจหรือข่มตัวอื่นๆ
4. หางตั้งตรงเฉียงลงพื้น : สุนัขกำลังระแวดระวังตัว มักทำพร้อมกับย่อตัวช่วงหลังลง
5. หางม้วนซุกระหว่างขา : สุนัขกำลังรู้สึกกลัว
6. หางตั้งตรงชี้ขึ้น ขนหางตั้งชัน : สุนัขกำลังโกรธหรือพร้อมจู่โจม
2
โฆษณา