3 ต.ค. 2021 เวลา 15:43 • กีฬา
ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีกล่าสุด อาจจะบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแต้มห่างจากจ่าฝูงแค่ 2 แต้ม หลังจากผ่านไป 7 นัดแรกของฤดูกาล 2021-22 (ยังไม่นับผลคู่ ลิเวอร์พูล VS แมนฯ ซิตี้)
1
แต่หากสำรวจไปที่รายละเอียดผลการแข่งขันและฟอร์มการเล่น มันดูเหมือนว่าตารางบอกความจริงเราไม่หมด
เชลซี ของ โธมัส ทูเคิ่ล ผ่านเกมยากอย่างนัดเยือน อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, สเปอร์ส รวมถึงการเปิดบ้านพบ แมนฯ ซิตี้ มาหมดแล้ว พวกเขาอาจทำคะแนนหลุดมือไปแล้ว 5 แต้ม แต่การโดนทีมหงส์แดงที่ได้เปรียบตัวผู้เล่นไล่ตีเสมอที่แอนฟิลด์ หรือการแพ้ให้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในวันที่เล่นได้เนี้ยบสุดๆ มันคือเรื่องที่แฟนบอลคงไม่ว่าอะไร
ผิดกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่ยังไม่ได้ผ่านเกมหนักระดับนั้นเลยสักนัด แต่ทำแต้มหลุดมือไปแล้วถึง 7 คะแนน ในช่วง 7 นัดแรก
มันคือโปรแกรม 7 นัดที่แฟนบอลคาดหวังว่าถ้าต้องการเบียดลุ้นแชมป์ได้จริงๆ คุณต้องเก็บ 21 คะแนนเต็มจากเกมเหล่านี้ให้ได้เท่านั้น
การเจอกับ ลีดส์ (เหย้า), เซาธ์แฮมป์ตัน (เยือน), วูล์ฟแฮมป์ตัน (เยือน), นิวคาสเซิ่ล (เหย้า), เวสต์แฮม (เยือน), แอสตัน วิลล่า (เหย้า) และ เอฟเวอร์ตัน (เหย้า) ถ้าเป็นเมื่อซีซั่นก่อน โซลชาร์ พาทีมเก็บได้ถึง 19 แต้มนะครับ ซึ่งเกือบจะเป็น 21 คะแนนเต็มอยู่แล้ว ถ้าวันที่เปิดบ้านเจอ เอฟเวอร์ตัน ไม่โดน โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน ยิงตีเสมอ 3-3 เสียก่อน
ถ้ามองในมุมนี้ มันก็อาจจะพอสรุปได้ง่ายๆ ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ซีซั่น 2021-22 ทำมาตรฐานตกลงจากเดิมไปถึง 5 คะแนนในโปรแกรมแบบเดียวกัน ทั้งที่ขุมกำลังดูดีขึ้นกว่าเดิมแล้วด้วยซ้ำ
จริงอยู่ นี่มันเพิ่งช่วงต้นซีซั่น โซลชาร์ ยังมีโอกาสแก้ตัว ถ้าพาทีมเค้นฟอร์มกลับมาชนะรัวๆ ในมหกรรมเกมหนักมาราธอนช่วง 2 เดือนต่อจากนี้ ทั้งในพรีเมียร์ลีก และการชี้ชะตาว่าจะผ่านเข้ารอบน็อคเอาต์ แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้หรือไม่
แต่จากผลงานในเกมบิ๊กแมตช์ปีก่อนที่เอาชนะทีมใหญ่ไม่ค่อยได้ ส่วนซีซั่นนี้ก็ฟอร์มกระท่อนกระแท่นในโปรแกรมที่ตามหน้าเสื่อควรชนะ มันจึงเป็นความหวังที่ริบหรี่ ว่าจู่ๆ กุนซือหน้าเปื้อนยิ้มจะใช้วิธีไหนกัน ที่จะทำให้ทีมเล่นดีขึ้นผิดหูผิดตาในเกมที่ยากกว่านี้ได้
ผลเสมอ 1-1 นัดล่าสุดที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อช่วงหัวค่ำวันเสาร์ ทำให้นี่คือครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สามารถเปิดบ้านเอาชนะ เอฟเวอร์ตัน ในเกมลีกนานถึง 3 ฤดูกาลติดต่อกัน
คนคุมทีมปีศาจแดงทั้ง 3 ครั้งที่ว่าคือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ขณะที่ทอฟฟี่สีน้ำเงินใช้กุนซือไม่ซ้ำหน้ากันเลย ในการบุกแบ่งแต้มกลับออกจากโรงละครแห่งความฝัน 3 หนหลังสุด
จากเฮดโค้ชขัดตาทัพอย่าง ดันแคน เฟอร์กูสัน มาสู่กุนซือมากประสบการณ์อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ กับ ราฟาเอล เบนิเตซ พวกเขาสามารถคว้าผลเสมอจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ของ โซลชาร์ ได้ถึงถิ่นกันทั้งหมด
2 ฤดูกาลก่อนหน้านี้ ทีมปีศาจแดงเสียประตูให้ เอฟเวอร์ตัน เพราะความอ่อนหัดในการป้องกันลูกกลางอากาศ ส่วนเกมล่าสุด มันคืออีกครั้งที่โดนเล่นงานเพราะเบรกเกมสวนกลับของทีมเยือนตั้งแต่กลางสนามไม่ได้
1
ไม่เพียงแต่จังหวะเสียประตูที่ดูง่ายเกินไปเท่านั้น แต่เกมรุกที่ยังคงจูนกันไม่ค่อยติด, การขาดกองกลางตัวรับระดับคุณภาพ และการตัดสินใจเปลี่ยนตัวแบบผิดที่ผิดเวลาของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ มันประกอบรวมกันให้กลายเป็นอีกนัดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ 3 คะแนนที่ต้องการ
แฟนผีแดงเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำซากมามากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังผ่านพ้นเกมเปิดตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ประเดิมการกลับคืนถิ่นด้วยการยิงเบิ้ลพาทีมถล่ม นิวคาสเซิ่ล 4-1 หลังจากนั้นมาแฟนบอลไม่ได้เห็นฟอร์มการเล่นที่โชว์ออร่าผู้ชนะจากทีมรักอีกเลย
แฟนบอลหลายๆ คนก่นด่า โซลชาร์ ตั้งแต่ตอนที่เห็นรายชื่อ 11 คนแรก ที่พบว่าซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ปอล ป็อกบา รวมไปถึง เจดอน ซานโช่ เป็นแค่ตัวสำรอง ส่วนนักเตะที่อยากให้โดนจับดองยาวๆ อย่าง เฟร็ด กับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล กลับได้ออกสตาร์ทตัวจริง โดย ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ยังคงถูกหมางเมินอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เพิ่งผ่านเกมหนักกับ บียาร์เรอัล มาเมื่อคืนวันพุธ แล้วต้องลงเตะเป็นคู่แรกของคืนวันเสาร์ ทำให้มีเวลาซ้อมอย่างจริงจังแค่เซสชั่นเดียวในวันศุกร์ (วันพฤหัสบดีต้องพักฟื้นร่างกายก่อน) นั่นจึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมนักเตะอายุ 36 ปีอย่าง โรนัลโด้ ที่ลงเล่นเต็ม 90 นาทีมา 2 นัดติดในรอบ 5 วัน และ ปอล ป็อกบา ที่ฟอร์มช่วงหลังดร็อปไปเยอะ จึงถูกจับนั่งข้างสนามก่อนบ้าง
ข่าวดีก็คือฟูลแบ็กตัวจริงทั้ง 2 ข้างกลับมาลงตัวจริงได้อีกครั้ง โดย อารอน วาน-บิสซาก้า พ้นโทษแบนจากเกมยุโรป ส่วน ลุค ชอว์ ก็หายป่วย ฟิตช่วยทีมได้ทัน
โซลชาร์ ปรับระบบจากที่ใช้หมาก 4-3-3 หรือ 4-1-4-1 ในเกมกลางสัปดาห์ มาใช้สูตรถนัด 4-2-3-1 อีกครั้ง โดยไว้ใจคู่มิดฟิลด์ตัวเลือกแรกของเขาอย่าง เฟร็ด จับคู่กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์
ผมทำใจไว้แต่แรกว่าการที่นักเตะฟอร์มแย่อย่าง เฟร็ด ถูกพักไว้เป็นตัวสำรองเมื่อคืนวันพุธ น่าจะมีโอกาสสูงที่เขาจะกลับมาเป็นตัวจริงในเกมที่ โซลชาร์ ต้องการใช้ตัวสดๆ เป็นหลัก แม้ใจจริงจะอยากเห็น เนมานย่า มาติช ลงคุมแดนกลางเพื่อให้การจ่ายบอลมันแน่นอนกว่านี้ก็ตาม
แต่ในแนวรุก ผมพอใจที่ โรนัลโด้ ได้นั่งดูเพื่อนเล่นก่อนนะครับ เพราะคิดว่า โซลชาร์ ไม่ควรฝืนใช้งานนักเตะอายุมากอย่างเขาติดๆ กันเกินไป ในเมื่อยังมีตัวรุกคนอื่นอีกหลายคนที่พอทดแทนกันได้ ก็ควรหาจังหวะโรเตชั่นให้เหมาะสม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศูนย์หน้ามีคลาสอย่าง เอดินสัน คาวานี่ ที่ลงไปเพรสแดนบนได้อย่างน่าประทับใจเมื่อคืนวันพุธ และมีสถิติยิง เอฟเวอร์ตัน ได้ทุกครั้งที่เจอกัน สมควรถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงบ้าง
แม้กระทั่งในรายของ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ถึงแม้แฟนบอลส่วนใหญ่ รวมถึงตัวผมเองจะไม่ค่อยชอบนักที่เห็นเขาลงตัวจริงอีก หลังจากทำผลงานแย่มาตลอดช่วงหลัง แต่ก็พยายามคิดว่า ถ้าเจ้าตัวได้โอกาสออกสตาร์ท แสดงว่ากุนซือและทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชคงมองว่าต้องมีอะไรดีๆ ในการเล่นงานทีมเยือนแน่ๆ
มาร์กซิยาล มีสถิติที่ยอดเยี่ยมในการเจอกับ เอฟเวอร์ตัน ก่อนหน้านี้เขายิงใส่ทีมทอฟฟี่ไปถึง 6 ประตูรวมทุกรายการ จากการลงเจอกัน 12 นัด บางที โซลชาร์ อาจจะใช้โอกาสโรเตชั่นตัวหลักเพื่อให้เขาเรียกความมั่นใจก็ได้
เอฟเวอร์ตัน ของ ราฟาเอล เบนิเตซ อาจจะเป็นอีกทีมที่ทำผลงานโดดเด่นช่วงต้นซีซั่นนี้ แต่การที่พวกเขาไม่มี 2 ดาวยิงตัวหลักทั้ง โดมินิค คัลเวิร์ต-ลูวิน และ ริชาร์ลิซอน รวมถึงแบ็กขวากัปตันทีมอย่าง เชมัส โคลแมน ที่มีอาการบาดเจ็บ นั่นจึงเป็นเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด สมควรต้องเอาชนะให้ได้ทุกกรณี
ถึงแม้การเจอทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินจะไม่เคยเป็นงานง่าย แต่ถ้าคุณเอาชนะเกมแบบนี้ที่คู่แข่งอยู่ในสภาพไม่เต็มสูบไม่ได้ จะหวังอะไรได้ถ้าเจอบททดสอบที่หนักหน่วงกว่านี้ล่ะ
ยิ่งถ้าไปดูรายชื่อนักเตะตัวสำรอง จะพบว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มีทางเลือกในการแก้เกมที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด
เจ้าบ้านมีผู้เล่นระดับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ปอล ป็อกบา, เจดอน ซานโช่ และอาจรวมถึง เจสซี่ ลินการ์ด, เนมานย่า มาติช และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค รอโอกาสอยู่บนม้านั่งข้างสนาม
แต่ทีมเยือนต้องใส่ชื่อดาวรุ่งที่แทบไม่มีใครรู้จักอย่าง ลูอิส ด็อบบิน, จาร์แรด แบรนธ์เวท และ ชาร์ลี วิทเทเกอร์ ไว้รอโอกาสลงแทนรุ่นพี่ โดยโควตาตัวสำรอง 2 จาก 7 คนคือตำแหน่งผู้รักษาประตู
ถือว่า โซลชาร์ มีทางเลือกมากมายในการแก้ไขสถานการณ์ แต่กลายเป็นว่า “เอล ราฟา” ที่มีขุมกำลังจำกัด สามารถพาทีมเก็บผลการแข่งขันได้
อย่างไรก็ตาม รูปเกมในครึ่งแรกถือว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้น่าพอใจ และดูจะเดินเกมได้อย่างลื่นไหลยิ่งกว่าตอนที่ใช้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ลงตัวจริงเสียอีก
สถิติในครึ่งแรก ทีมปีศาจแดงครองบอลได้เหนือกว่ามหาศาล (66.7 ต่อ 33.3%) โดยมีจำนวนการผ่านบอลให้กันมากกว่า เอฟเวอร์ตัน แบบเกินครึ่ง (345 ครั้ง ต่อ 159 ครั้ง)
ในเกมนี้ แบ็กทั้ง 2 ฝั่งอย่าง อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ เติมกันสูงกว่านัดที่แพ้ แอสตัน วิลล่า คาบ้านเมื่อสัปดาห์ก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วาน-บิสซาก้า ทางฝั่งขวา ที่กล้าครอสเข้าทำมากขึ้นอย่างชัดเจน จากที่ไม่กล้าเปิดเลยสักครั้งในวันที่พบกับ แอสตัน วิลล่า กลายเป็นว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้โยนไป 4 หน และมีจังหวะหนึ่งที่เกือบเป็นแอสซิสต์ตั้งแต่ต้นเกม ถ้าหาก อองโตนี่ มาร์กซิยาล เทคตัวโหม่งตรงกรอบตั้งแต่นาทีที่ 6
อีกปัจจัยที่ทำให้เกมบุกดูลื่นไหลขึ้น เพราะนักเตะพยายามขยับเคลื่อนที่กันมากขึ้น และเพรสซิ่งกันได้เร็วกว่าเดิม หากเทียบกับตอนที่มี โรนัลโด้ อยู่ในสนาม
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือซูเปอร์สตาร์ที่มีพลังในการทำประตูสูงมาก นั่นคือคุณภาพของเขาที่ทั่วโลกยอมรับ แต่ในขณะเดียวกัน สภาพร่างกายของเขาไม่สามารถเพรสซิ่งแดนบนได้ดีเท่ากับพวกนักเตะที่หนุ่มกว่า
1
ผมไม่รู้ว่าสาเหตุเบื้องลึก นอกเหนือจากสภาพร่างกายของ โรนัลโด้ ที่มักเก็บแรงไว้รอสปีดเข้าทำประตู จริงๆ มันเป็นที่อะไรอีกกันแน่ แต่สถิติที่ ดิ แอธเลติก เปิดเผยฟ้องชัดว่า CR7 คือกองหน้าที่ไล่บีบพื้นที่คู่แข่งแดนบนน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกเดือนกันยายน หากนับเฉพาะนักเตะที่ได้ลงสนามไม่น้อยกว่า 270 นาที
โรนัลโด้ เพรสซิ่งแดนบนเฉลี่ยเพียงนัดละ 2.7 ครั้ง ส่วนคนที่ทำได้น้อยรองลงมาจากเขาคือ อัลล็อง แซงต์-มักซิแม็ง ของ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ที่ยังทำได้มากกว่าเกือบครึ่ง (เฉลี่ยนัดละ 5.2 ครั้ง)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นปัญหาของ แมนฯ ยูไนเต็ด ชุดนี้ ไม่ว่าจะส่งนักเตะชุดไหนลงก็ตาม ก็คือการเบรกเกมตรงกลางสนามที่ไม่เด็ดขาด และการเคลื่อนที่ในตอนที่ไม่มีบอลกันได้ไม่ดีเท่าไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วินัยในจังหวะที่ "ทีมเพิ่งเสียการครองบอล" ถือว่าแย่มากๆ และดูเหมือนว่านั่นคือจุดที่ทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตอนนี้ขาดคุณภาพอย่างที่สุด
เฟร็ด ยังคงดูน่าขัดใจอีกครั้ง กับการที่ โซลชาร์ ยังยึดติดให้เขารับบทบาทหนึ่งในคู่มิดฟิลด์ตัวรับ ทั้งที่สภาพร่างกายของเขาบอบบางมากๆ
ช็อตเดียวที่ดูน่าปรบมือให้คือจังหวะหยอดไปหน้าประตูให้ เอดินสัน คาวานี่ โหม่งตามน้ำในครึ่งแรกเกือบเป็นประตู (จอร์แดน พิคฟอร์ด ล้มตัวปัดได้) นอกนั้นเขาไม่มีจังหวะดักบอล หรือแสดงให้เห็นว่าช่วยแย่งบอลแล้วเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ดีมากนัก
มีจังหวะหนึ่งในนาทีที่ 33 ที่ เอฟเวอร์ตัน ส่งสัญญาณเตือนว่ามิดฟิลด์แซมบ้ารายนี้มีปัญหาในการเบรกเกม เมื่อ เดมาไร เกรย์ ลากบอลแหวกผ่านไปซัดจากนอกกรอบเขตโทษง่ายๆ จน ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงเซฟช่วยทีมไว้อีกหน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้าถิ่นเป็นฝ่ายครองเกมได้เหนือกว่าเยอะ และบุกได้ต่อเนื่องกว่า แถมขึ้นนำ 1-0 ได้ก่อนหมดครึ่งแรกจากจังหวะยิงอย่างเฉียบขาดของ อองโตนี่ มาร์กซิยาล มันน่าจะเป็นเกมที่แฟนผีแดงน่าจะมั่นใจได้ ว่าสุดท้ายแล้ว โซลชาร์ น่าจะคุมสถานการณ์อยู่หมัด และคว้า 3 แต้มเข้ากระเป๋าได้แบบไม่ยาก
1
สิ่งที่แฟนบอลไม่เข้าใจ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ สุดๆ ก็คือในสถานการณ์ที่อยากเห็นเขารีบเปลี่ยนตัวแก้เกมให้ดีขึ้น เขากลับชักช้า รอเวลาให้เกมดูอึดอัด จนเจียนอยู่เจียนไปที่จะโดนคู่แข่งชิงจังหวะยิงนำหลายครั้ง แต่รอดมาได้เพราะ เด เคอา ช่วยเซฟ หรือไม่ก็เป็นเกมที่พวกเขาหาวิธีเอาประตูจนได้
แต่พอเป็นเกมที่ทีมกำลังเล่นได้เหนือกว่าคู่แข่งและไม่จำเป็นต้องขยับปรับเปลี่ยน เขากลับใช้โควตาเปลี่ยนตัวทีเดียวถึง 2 คนตั้งแต่ยังไม่ทันพ้น 60 นาที เมื่อส่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ เจดอน ซานโช่ ลงแทน เอดินสัน คาวานี่ กับ อองโตนี่ มาร์กซิยาล ตั้งแต่นาทีที่ 57
โซลชาร์ ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า มาร์กซิยาล มีอาการบาดเจ็บเล็กน้อยจึงรีบถอดออก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ควรต้องรีบใช้โควตาเปลี่ยนตัวถึง 2 คนเร็วขนาดนั้น เพราะต้องไม่ลืมว่าการที่มีสกอร์นำแค่ 1-0 ถือว่ายังมีโอกาสที่โดนตีเสมอ แล้วจะเหลือทางเลือกในการแก้เกมกลับมาชนะยากขึ้น ถ้าเปลี่ยนตัวได้อีกแค่คนเดียว
บางที กุนซือชาวนอร์เวย์อาจจะมีความเกรงใจ โรนัลโด้ ที่ต้องการลงเล่น จึงอยากให้มีเวลาในสนามไม่น้อยกว่า 30 นาที โดยที่ในเวลาเดียวกัน เขาอาจรู้สึกว่าอยากให้นักเตะใหม่ที่เขาอยากได้มานาน แต่ยังทำผลงานไม่ค่อยดีอย่าง เจดอน ซานโช่ สมควรได้ลงไปเรียกความมั่นใจด้วย
แต่อย่างที่บอกไป ว่าการมีประตูนำแค่ลูกเดียว ถ้าหากคู่แข่งฉวยโอกาสตีเสมอได้เมื่อไร โมเมนตัมจะเปลี่ยนไปเป็นความกดดันของเจ้าบ้านทันที
1
การเปิดลูกเตะมุมที่น้ำหนักเบาเกินไปของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ทำให้บอลไปตกในจุดที่นักเตะ เอฟเวอร์ตัน เคลียร์ออกมาไม่ยาก แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ เฟร็ด ที่ถูกทิ้งไว้ให้ทำหน้าที่รอตัดเกมสวนกลับ กลับไม่สามารถจัดการกับ เดมาไร เกรย์ ได้ดีเลย
ถ้าหากเป็นมิดฟิลด์ตัวรับธรรมชาติจริงๆ หรือกองกลางที่เก๋าจริงๆ จะไม่ลังเลที่จะยอมโดนใบเหลืองเพื่อตัดฟาวล์ ถ้าหากเห็นว่าตัวรุกฝ่ายตรงข้ามกำลังจะพาบอลเข้าพื้นที่อันตราย แต่ เฟร็ด กลับพยายามเต็มที่แค่เบียดตามปกติเท่านั้น แล้วก็แย่งบอลไม่สำเร็จ
แล้วเมื่อ เกรย์ ชิงจังหวะจ่ายบอลให้ อับดูลาย ดูกูเร่ ที่เติมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่ตามลงมาประกบก็ปล่อยให้ ดูกูเร่ จ่ายบอลไปให้ แอนดรอส ทาวน์เซนด์ ที่สอดขึ้นมาในพื้นที่โล่งง่ายๆ ซึ่งมุมยิงของ ทาวน์เซนด์ เปิดกว้างขนาดนั้น เด เคอา ก็ช่วยอะไรไม่ไหวเหมือนกัน
1
เฟร็ด คือจุดอ่อนตรงกลางที่ทำให้ทีมโดนโต้กลับจนเสียประตูก็จริง แต่อีกสิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ทีมไม่ชนะ นั่นก็คือการขาดประสิทธิภาพในการเข้าทำ และยังคงหาโอกาสกันแบบฉาบฉวยเช่นเดิม
ถ้าหากจังหวะที่ เจดอน ซานโช่ จ่ายทะลุช่องให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หลุดไปซัดมุมแคบในกรอบเขตโทษทางซ้าย หรือจังหวะลองยิงไกลของ ปอล ป็อกบา ที่ลงมาเป็นตัวสำรองคนสุดท้ายแทน เฟร็ด มันกลายเป็นประตู อาจจะพอทำให้ โซลชาร์ รอดตัวไปอีกเกมได้บ้าง แต่ในเมื่อคุณภาพเกมรุกของทีมยังจูนกันไม่ติด สุดท้ายสกอร์ก็จบลงที่ผลเสมอ 1-1
โชคดีมากๆ ด้วยซ้ำที่ เอฟเวอร์ตัน เฮเก้อในจังหวะที่ เยร์รี่ มีน่า ส่งบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายในช่วงท้ายเกม
ความดวงดีก็คือปราการหลังทีมชาติโคลอมเบียไม่ใช่ตัวรุกที่เคยชินในเรื่องการเลี้ยงไลน์ตัวเองในจังหวะสอดเข้ายิงประตู ซึ่งถ้าช็อตนั้น มีน่า อยู่ในตำแหน่งที่ไม่ออฟไซด์ หรือว่า ทอม เดวิส ตัดสินใจยิงเองแล้วไม่พลาด มันจะเป็นบทลงโทษที่สมบูรณ์แบบ สำหรับความผิดพลาดทั้งหมดในเกมนี้ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
1
สำหรับจังหวะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ที่สื่อจับภาพ โซลชาร์ ยืนยิ้มแก้มปริที่ข้างสนาม ความเป็นจริงก็คือเขาส่งยิ้มแล้วยกนิ้วโป้งให้เด็กเก็บบอลนะครับ ไม่ใช่พอใจลูกทีมที่เก็บได้แค่ 1 แต้มแบบที่เข้าใจผิดๆ กันไปมาก
อย่างไรก็ตาม ในสภาพที่เขากำลังพาทีมเล่นด้วยฟอร์มไม่น่าไว้ใจ จนตอนนี้ไม่ว่าเขาพูดอะไร หรือแสดงออกแบบไหนออกมาก็ผิดไปหมด บางทีถ้าเขาระวังตัวมากกว่านี้ น่าจะเป็นเป้าโจมตีได้น้อยลง และลดเสียงวิจารณ์ในเรื่องคาแรกเตอร์ของเขาไปได้บ้าง
1
ปฏิเสธไม่ได้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังขาดคุณภาพในตำแหน่งกลางรับ และมีส่วนสำคัญให้ทีมเล่นได้กระท่อนกระแท่นแทบทุกนัด
แต่ถ้าจะบอกว่า เอฟเวอร์ตัน ที่ลงทุนในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาไปแค่ 1.7 ล้านปอนด์ (น้อยกว่าผีแดงเกือบร้อยเท่า) และขาดตัวหลักไปหลายคนมีคุณภาพเหนือกว่า นั่นแสดงว่าการเชียร์ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอนนี้คงไม่ต้องลุ้นอะไรแล้ว
การที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ทำให้ เอฟเวอร์ตัน ที่มีสภาพขุมกำลังแบบงบประมาณจำกัดมี 14 คะแนนเท่ากับที่ แมนฯ ยูไนเต็ด มีในตอนนี้ และทำให้ทีมสามารถกลับออกจาก โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้แบบมีคะแนนติดมือ มันบ่งบอกได้เหมือนกันว่า ถ้าสภาพทีมไม่ได้ดีมาก แต่ถ้ากุนซือจัดวางแท็กติกที่ละเอียด และมีทีเด็ดในการฉวยโอกาสเล่นงานคู่แข่ง ก็สามารถเก็บผลการแข่งขันได้เช่นกัน
แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ในช่วงหลัง ไม่มีความละเอียดมากพอทั้งในแง่การพัฒนาฟอร์มการเล่น ส่วนผลการแข่งขันก็เริ่มออกมาแย่มากกว่าดี
แน่นอนว่าเขาคงยังไม่ถูกบอร์ดปลดออกจากตำแหน่งในตอนนี้ เพราะสโมสรยังไม่ได้เริ่มหาใครแทน และ โซลชาร์ ยังสามารถพาทีมกลับสู่เส้นทางที่ดีได้ ด้วยผลการแข่งขันดีๆ ต่อเนื่องแค่ไม่กี่นัด
แต่ถ้าไปถามความเห็นของแฟนผีแดงทั่วโลกตอนนี้ ว่าเชื่อมั่นในตัวผู้จัดการทีมคนนี้ ว่าจะมีความสามารถมากพอ ที่จะพาทีมกลับสู่เส้นทางที่จะเรียกศรัทธาและความมั่นใจจากแฟนบอลกลับคืนมาได้หรือไม่...
เชื่อได้เลยว่าเกิน 80% คงตอบว่า “ไม่” และอยากให้ผู้จัดการทีมที่ดีกว่านี้เข้ามาแล้ว
#เสียบสามเหลี่ยม #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เอฟเวอร์ตัน #โซลชาร์ #ซานโช่ #เฟร็ด #มาร์กซิยาล #ราฟา #เอลราฟา #เบนิเตซ #ราฟาเอลเบนิเตซ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา