4 ต.ค. 2021 เวลา 12:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ธุรกิจครอบครัวคาดูรี และอิทธิพลที่มีต่อฮ่องกง
เชื่อว่าหลายคนคงเคยคุ้นหูกับชื่อโรงแรม เพนนินซูล่า (Peninsula) ที่มีต้นกำเนิดในฮ่องกง แต่รู้ไหมคะว่า ผู้ก่อตั้งโรงแรมนี้ไม่ได้มีแค่ธุรกิจโรงแรมเพียงเท่านั้น อันที่จริงเจ้าของโรงแรมนั้นมีธุรกิจอีกมากมายที่มีอิทธิพลต่อฮ่องกงมายาวนาน และเจ้าของที่ว่านั้นก็คือครอบครัวคาดูรี (Kadoorie) นั่นเอง
ธุรกิจครอบครัวคาดูรี และอิทธิพลที่มีต่อฮ่องกง
ทุกวันนี้ ครอบครัวคาดูรีมีทรัพย์สมบัติมูลค่ากว่า 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผู้นำครอบครัวคนปัจจุบันอย่าง ไมเคิล คาดูรี (Michael Kadoorie) ก็กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่หกในฮ่องกงไปแล้ว
ในบทความนี้ เราจะไปดูกันว่า ครอบครัวคาดูรี ที่เคยเป็นเพียงผู้อพยพชาวอิรัก สามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองในฮ่องกงได้อย่างไร
📌 จุดเริ่มต้น
ประวัติของครอบครัวคาดูรีในฮ่องกงเริ่มขึ้นในช่วงปี 1880 เมื่อเซอร์ เอลลี คาดูรี (Sir Elly Kadoorie) และ พี่ชายของเขา เซอร์ เอลลิส คาดูรี (Sir Ellis Kadoorie) ได้ย้ายออกจากบ้านเกิดที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก มาทำงานให้กับบริษัทการค้าระหว่างประเทศ David Sassoon & Sons ที่ฮ่องกง ต่อมาสองพี่น้องได้สร้างบริษัทนายหน้าเพื่อการลงทุนในธุรกิจโรงแรม ธนาคาร และ บริษัทโรงงานไฟฟ้า และครอบครัวนี้ก็ได้ลงทุนในธุรกิจมากมายที่เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาฮ่องกง
เซอร์ เอลลี คาดูรี (Sir Elly Kadoorie) และบุตรชายทั้งสองคน
📌 ธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับแผ่นดินที่อาศัยอยู่: บริษัท CLP Group
รายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวคาดูรี มาจากการลงทุนในบริษัท China Light & Power Company (CLP) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า บริษัทนี้ถูกก่อสร้างในปี 1901 โดยมีเงินทุนมาจากบริษัท Shewan Tomes and Company และครอบครัวคาดูรี ต่อมาในปี 1930 ครอบครัวคาดูรีได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการบริษัท จึงทำให้พวกเขามีอำนาจส่วนใหญ่ในบริษัทมาจนถึงทุกวันนี้
บริษัท CLP นั้นค่อนข้างสำคัญต่อฮ่องกง เพราะนอกจากจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาฮ่องกงแล้ว ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้ารายหลักของฮ่องกงอีกด้วย อย่างในยุคอุตสาหกรรมช่วงกลางทศวรรษที่ 20 ที่ครัวเรือนและโรงงานมากมายต้องการไฟฟ้ามากขึ้น CLP ก็เป็นผู้ช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นนี้ และทำให้ฮ่องกงปรับตัวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมได้ และในปัจจุบัน บริษัทนี้ก็ได้ผลิตไฟฟ้าให้กับประชากรฮ่องกงมากถึง 80% ด้วย (อีก 20% ใช้ไฟฟ้าจากบริษัท Hongkong Electric)
1
📌 ธุรกิจที่มีชื่อเสียงเหนือกาลเวลา: บริษัท HSH Group
อีกหนึ่งธุรกิจที่เป็นรายได้หลักของครอบครัวคาดูรี ก็คือธุรกิจโรงแรม ย้อนกลับไปในปี 1890 เซอร์ เอลลี และ เซอร์ เอลลิส ได้ซื้อหุ้นของบริษัทโรงแรม Hong Kong Hotel ไว้เพียง 25 หน่วยเท่านั้น แต่หลังจากที่นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจต่างชาติมากมายเริ่มมาเยี่ยมเยือนเอเชียกันในอีกหลายปีต่อมา ครอบครัวคาดูรี ซึ่งในตอนนั้น ถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทโรงแรมอีกแห่ง คือ Shanghai Hotel ไว้ด้วย จึงได้ทำการรวมกิจการของ Shanghai Hotel และ Hong Kong Hotel จนกลายมาเป็น Hong Kong and Shanghai Hotels Limited (HSH) ในปี 1923
ห้าปีต่อมา โรงแรมเพนนินซูล่า ได้เปิดตัวอย่างอลังการ และการบริการที่ดีเยี่ยมและการตกแต่งที่หรูหราก็ได้ทำให้เพนนินซูล่ากลายมาเป็นโรงแรมชั้นนำในฝั่งตะวันออกอย่างรวดเร็ว
Peninsula Hotel ในช่วงปี 1950
แม้ในช่วงสงครามจีน-ญี่ปุ่น ในปี 1937 โรงแรมจะหยุดดำเนินการไปเพราะถูกใช้เป็นที่พักสำหรับผู้อพยพชาวตะวันตกที่หลบหนีมายังเซี่ยงไฮ้และฮ่องกงและเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับผู้ที่สูญเสียบ้านในสงคราม แต่เมื่อสงครามจบ โรงแรมต่างๆ ในเครือ โดยเฉพาะเพนนินซูล่า ก็ค่อยๆ กลับมาดำเนินธุรกิจจนสามารถกอบกู้ชื่อเสียงได้ โดยตั้งแต่ที่เริ่มก่อตั้งมาจนถึงปัจจุบัน เพนนินซูล่าก็ยังคงได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรมแรมที่ดีที่สุดในโลกและมีส่วนทำให้ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการพบปะระหว่างนักธุรกิจต่างชาติอีกด้วย
ทุกวันนี้ บริษัท HSH มีทรัพย์สินราวๆ 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีโรงแรมเพนนินซูล่าอยู่อีกสิบสาขาทั่วโลก นอกเหนือจากโรงแรมอื่นๆในเครือ
📌 ธุรกิจที่เห็นโอกาสในอนาคต: บ้านและคอนโดคาดูรี
ครอบครัวคาดูรีมีธุรกิจย่อยอีกอย่างคือ การปล่อยเช่าบ้านและคอนโด
ในตอนแรกที่เซอร์ เอลลี ซื้อที่ดินใกล้ๆ มงก๊ก (Mong Kok) ในปี 1931 ที่ดินนั้นยังว่างเปล่าและมีราคาเพียงประมาณ 200,000 เหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น สิ่งที่ครอบครัวคาดูรีคิดจะทำในตอนแรกคือสร้างบ้านขาย แต่ก็ได้เปลี่ยนใจเป็นปล่อยเช่าแทน ซึ่งธุรกิจนี้ได้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรค่อนข้างมาก เนื่องจากหลายปีต่อมา ที่พักอาศัยในฮ่องกงนั้นหายากและแพงมากด้วย
ปัจจุบันครอบครัวคาดูรีมีบ้านเดี่ยวพร้อมสวน 84 หลัง และมีอพาร์ทเมนต์ 39 แห่ง ผู้เช่าส่วนใหญ่ก็เป็นนักธุรกิจหรือดารา บริษัท Colliers International Group ได้ประเมินไว้ว่าบ้านเดี่ยวของคาดูรีที่มีขนาด 4,300 ตารางฟุต มีราคาประมาณ 18.5 - 37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าโดยรวมของที่พักอาศัยของครอบครัวคาดูรีก็อยู่ที่ประมาณ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ไมเคิล คาดูรี (Michael Kadoorie) หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในฮ่องกง
📌 ธุรกิจที่แบ่งผลกำไรคืนให้กับสังคม: ฟาร์มคาดูรีและสวนพฤกษศาสตร์
ครอบครัวคาดูรีไม่ได้เพียงแค่ทำธุรกิจเพื่อกำไร แต่คืนกำไรให้กับฮ่องกงด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ฟาร์มคาดูรีและสวนพฤกษศาสตร์ที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาในปี 1956 ด้วยจุดประสงค์แรกคือการให้คำแนะนำ ความรู้อุปกรณ์การทำเกษตร และสินเชื่อที่ไม่มีดอกเบี้ย กับชาวสวนเพื่อให้พวกเขาสามารถก่อร่างสร้างตัวได้ ซึ่งต่อมา เมื่อคนเริ่มทำงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ มากขึ้น ฟาร์มและสวนพฤกษศาสตร์นี้ได้เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์สัตว์และพืชในฮ่องกงและจีน และการอนุรักษณ์สิ่งแวดล้อมแทน
นอกจากฟาร์มและสวนพฤกษศาสตร์แล้ว ครอบครัวคาดูรียังได้สร้างมูลนิธิมากมายเพื่อช่วยเหลือคนฮ่องกงอีกด้วย
เมื่อย้อนรอยประวัติของครอบครัวคาดูรี ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมพวกเขาถึงได้มีอิทธิพลสูงกับฮ่องกง เพราะนอกจากเขาจะมีธุรกิจใหญ่ที่ทำรายได้มากมายแล้ว ธุรกิจหลายอย่างของพวกเขาก็ช่วยในการพัฒนา สร้างชื่อเสียง และคืนกำไรให้กับฮ่องกงด้วย เพราะเหตุนี้ ครอบครัวคาดูรีจึงเป็นที่ยอมรับในหมู่ประชากรฮ่องกงหลายๆ คนด้วย
ในบทความหน้า เราจะไปทำความรู้จักกับธุรกิจครอบครัวไหนที่มีอิทธิพลสูงต่อประเทศที่พวกเขาอยู่อีก โปรดติดตาม
#Kadoorie #ฮ่องกง
๒#Bnomics #Economics #เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ผู้เขียน : บูชิตา ปิตะกาศ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
โฆษณา