5 ต.ค. 2021 เวลา 02:00 • การเมือง
#PERSONA จตุพร พรหมพันธุ์: 29 ปี กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยบนท้องถนน
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2535 นักศึกษาหนุ่มจากแดนใต้คนหนึ่ง ร่วมเดินรณรงค์พร้อมกับเพื่อนร่วมสถาบันและขึ้นปราศรัยระหว่างการชุมนุมประท้วงท่ามกลางประชาชนนับพันคนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง การชุมนุมที่จัดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังเหตุการณ์ที่ทหารสังหารหมู่ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยบนถนนราชดำเนินในช่วงค่ำของวันที่ 17 - 19 พฤษภาคม
29 ปี นับจากเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” แม้พลังของประชาชนในวันนั้นจะสามารถโค่นล้มเผด็จการทหารได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนว่าหนทางที่จะก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยและเสรีภาพ ยังคงไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคาดหวัง โดยเฉพาะภายหลังวิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระลอกใหม่ ที่นำมาสู่รัฐประหารถึง 2 ครั้ง นับตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ประกอบกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่เพิ่มมากขึ้นจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของชนชั้นนำ ได้จุดชนวนไปสู่การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยบนท้องถนนอีกครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา
29 ปี บนเส้นทางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยบนท้องถนน จากนักศึกษารัฐศาสตร์ รามคำแหง ได้ก้าวสู่หนึ่งในแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ยังคงเคลื่อนไหวบนเส้นทางสายประชาธิปไตยเกือบ 3 ทศวรรษ วันนี้ ( 5 ตุลาคม ) ถือเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุ 56 ปีของคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานร่วมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ และหนึ่งในแกนนำกลุ่มไทยไม่ทน ศิษย์เก่ารามคำแหงผู้เดินลงถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัว
จตุพร พรหมพันธุ์ ผู้มีชื่อเล่นว่า “ตู่” เกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2508 ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ก่อนจะย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ เมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับพรรคสัจธรรม (พรรคการเมืองในมหาวิทยาลัย) ซึ่งประจวบกับที่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง “พฤษภาทมิฬ” พอดี เขากลายเป็นหนึ่งในแกนนำนักศึกษาในการเคลื่อนไหวขับไล่เผด็จการในช่วงเวลาดังกล่าว ก่อนที่ต่อมาจะแยกออกมาตั้งพรรคการเมืองใหม่ ในนาม “พรรคศรัทธาธรรม” นอกจากนี้แล้ว เขายังได้เดินทางไปทำงานเป็นครูอาสาบนดอยที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่อีกด้วย
ภายหลังเหตุการณ์ จตุพรก็ได้เข้าร่วมกับพรรคพลังธรรม ในสมัยที่ทักษิณ ชินวัตรเป็นหัวหน้าพรรค ก่อนที่จะย้ายออกมาเข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทย พรรคการเมืองใหม่ที่จัดตั้งขึ้นหลังรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2540 รัฐธรรมนูญที่ถือได้ว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุด และเป็นผลผลิตจากการปฏิรูปการเมืองหลังพฤษภา’35 โดยตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกับพรรค จตุพรได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทยมาจนถึงยุคพรรคเพื่อไทย
ต่อมาเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 จตุพร พรหมพันธุ์ ก็เข้าร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำในการจัดตั้งแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ออกมาต่อต้านคณะรัฐประหาร และผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการยึดอำนาจครั้งนั้น ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม “กลุ่มคนเสื้อแดง” และถือเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญอีกกลุ่มหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่
ตลอดระยะเวลา 10 ปี จตุพร เผชิญกับมรสุมทางการเมืองมาโดยตลอด เช่นเดียวกับแกนนำและเพื่อนร่วมอุดมการณ์จำนวนมาก เขาถูกจับกุมและคุมขังในเรือนจำหลายครั้งจากข้อหาและคดีความทางการเมืองจากฝ่ายตรงข้าม นับตั้งแต่หลังเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต” เมื่อทหารกระทำการสังหารหมู่ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยอีกครั้ง ในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม พ.ศ. 2553 รวมทั้งหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 โดยหลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2561 จตุพรได้ร่วมทำงานให้กับพรรคเพื่อชาติ ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2562 รวมทั้งออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองบ้างในบางครั้ง ผ่านสื่อสังคมออนไลน์
จนกระทั่งเดือนเมษายน พ.ศ. 2564 ระหว่างการชุมนุมเคลื่อนไหวของขบวนการนักเรียน นักศึกษา จตุพร ก็ได้เข้าร่วมจัดตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใหม่ขึ้น ในนาม “กลุ่มสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” ร่วมกับอดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 โดยมีเป้าหมายในการชุมนุมคือการขับไล่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นำที่มาจากการรัฐประหาร และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ก่อนที่เขาจะถูกจับกุมอีกครั้งเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา จากคดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีฟ้องหมิ่นประมาท
เป็นระยะเวลากว่า 29 ปีบนเส้นทางการเมือง สำหรับนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนสำคัญที่มีอายุครบ 56 ปีในวันนี้ อดีต “ตู่ ศรัทธาธรรม” อันเป็นฉายาที่เพื่อนร่วมสถาบันเรียกเมื่อครั้งยังอยู่ในรั้วรามคำแหง สายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงและกาลเวลา ได้เปลี่ยนบทบาทเขาจากแกนนำนักศึกษา สู่ครูอาสาบนดอย รองโฆษกพรรค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผ่านมาจนถึงวันนี้ บทบาทแกนนำเคลื่อนไหวทางการเมืองของเขายังคงเหมือนเดิม แม้วันนี้จะสูญเสียอิสรภาพอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องทั้งจากคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่าที่ต้องการให้วิกฤตทางการเมืองดังกล่าว จบลงที่รุ่นเรา และให้ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่ประชาชน
TEXT: NUTIKANT C.
IMAGE: yummun.com
ติดตาม Persona: เรื่องจริง คนจริง คำจริง และเรื่องราวของ "ผู้คน" ที่จะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตได้บน Modernist
ติดต่อโฆษณา: kritthanan@songsue.co
โฆษณา