❎ นอกจากนี้เค้ายังพูดถึงความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเรื่องของการเรียนรู้ อย่างที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ๆ ว่า “knowledge is power” ใช่มั้ยครับ แต่เค้าบอกว่านี่เป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้ว “knowledge is potential power, it becomes power when you use it” ความรู้นั้นก็เป็นเหมือนสิ่งที่น่าจะเป็นพลังได้ แต่มันจะเป็นพลังได้จริง ก็ต่อเมื่อเรานำไปใช้ครับ
3. Manage the state you’re in 🧘🏻♂️ หากเราอยู่ในอารมณ์ที่ดี ก็จะทำให้เราเรียนหรือจดจำได้ดีขึ้นด้วยครับ นอกจากนี้ท่าทางการนั่งอ่านหนังสือของเราก็ต้องอยู่ในท่าที่สบายครับ
3
4. Use your sense of smell 🪔 ข้อนี้ค่อนข้างแปลกเลยครับ เค้าบอกว่ากลิ่นหอมก็มีผล ถ้าเราอยู่ในห้องที่มีกลิ่นหอมที่เราชอบ ก็จะช่วยเราได้ครับ (อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ถ้าเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่กลิ่นเหม็นนี้ไม่ดีแน่ ๆ ครับ 😅)
5. Music for the mind 🎶 ข้อนี้คงคล้าย ๆ กับเรื่องกลิ่นที่ผมมองว่าแล้วแต่คน บางคนได้ฟังเพลงแล้วมีสมาธิ อ่านหนังสือ ทำงานได้ดีขึ้น แต่บางคนชอบเงียบ ๆ มากกว่า (ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ในโพสต์เรื่องของการอ่านหนังสืออย่างไรไม่ให้เบื่อครับ ส่วนตัวชอบฟังเพลงบรรเลง และตอนนี้ชอบฟังเพลง classic บรรเลง ลองหาใน YouTube คำว่า “classical music for studying” หรือ “music for brain power” ดูครับ)
6. Listen with your whole brain 👂🏻 ให้ฝึกตั้งใจฟังให้ดีครับ เค้าบอกว่าคนที่เรียนได้ดีส่วนใหญ่นั้นมีทักษะการฟังที่ดี จับใจความได้ เพราะการฟังกับการเรียนรู้นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
1
7. Take notes of taking notes 📝 ให้จดโน้ตครับโดยเค้าแนะนำให้จดด้วยมือแทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์ (หลาย ๆ แหล่งแนะนำแบบนี้เหมือน ๆ กันครับ) โดยเทคนิคคืออย่าจดทุกเรื่องที่ได้ยินครับ เพราะเราไม่มีทางที่จะจดทันคนพูดได้แน่นอน มิหนำซ้ำจะทำให้เราเสียสมาธิไปอีกด้วย นอกจากนั้นควรจะฟังแล้วจดลงเป็นภาษาของเราเอง เพราะจะทำให้สมองเราได้ประมวลผลก่อนที่จะจดลง นอกจากนี้เวลาให้เราเขียนเพิ่มไปในโน้ตเราด้วยการตอบคำถามว่า How can I use this? Why must I use this? แล้วก็ When will I use this? ก็คือเราจะใช้อย่างไร ทำไมต้องใช้แล้วจะใช้ได้เมื่อไหร่ ผู้เขียนเรียกเทคนิคนี้ว่า “Capture and create” สุดท้ายหลังการจดให้ทำการอ่านทบทวนทันทีครับ ถ้าทิ้งไว้เราก็จะค่อย ๆ จำมันไม่ค่อยได้ครับ