10 ต.ค. 2021 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
พี่น้องหัวกะทิ สร้างสตาร์ตอัป 3 ล้านล้าน จากโคดเชื่อมต่อ 7 บรรทัด
7
รู้หรือไม่ว่า “Stripe” เป็นสตาร์ตอัปที่ถูกประเมินมูลค่าไว้สูงถึง 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นสตาร์ตอัป
ที่มีมูลค่ามากที่สุด เป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงบริษัท ByteDance เจ้าของแอปพลิเคชัน TikTok
8
คนที่รู้จักชื่อของ Stripe อาจมีไม่มากนัก เพราะบริษัทแห่งนี้ ไม่ได้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแบบ PayPal แต่จะให้บริการรับชำระเงินอยู่เบื้องหลังเว็บไซต์และแพลตฟอร์มชื่อดังที่ทุกคนรู้จักดี อย่างเช่น Amazon, Facebook, Google, Microsoft, Uber, Spotify และ Zoom
13
สำหรับผู้ก่อตั้ง Stripe ก็คือ คู่พี่น้องหัวกะทิชาวไอร์แลนด์ ที่ชื่อว่า Patrick และ John Collison
โดยบริการหลักของบริษัท ก็คือ การวางโครงสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ของผู้ประกอบการ
ซึ่งพวกเขา ทำให้ระบบดำเนินการได้ ด้วยโคดเพียง 7 บรรทัด..
16
เรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อนี้ เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
3
Patrick Collison และน้องชายที่ชื่อ John Collison เกิดในปี 1988 และ 1990
ที่เมือง Limerick ประเทศไอร์แลนด์ ก่อนที่จะไปโตที่เมือง Dromineer
4
Dromineer เป็นเมืองชนบทเล็ก ๆ บ้านของพี่น้อง Collison จึงเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ค่อนข้างลำบาก
ซึ่งการที่พวกเขาจะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้นั้น สองพี่น้องก็ต้องไปใช้อินเทอร์เน็ตดาวเทียมที่รับสัญญาณมาจากประเทศเยอรมนี โดยเสียเงินราว 4,000 บาทต่อเดือน
5
แต่นั่นก็ไม่ทำให้พวกเขาไม่สนใจคอมพิวเตอร์เลย เพราะที่บ้านมีคอมพิวเตอร์ถึง 9 เครื่อง และ Patrick คนพี่ก็เริ่มเรียนรู้การเขียนโปรแกรมตั้งแต่ 10 ขวบ
8
โดยพ่อแม่ของทั้งสองพี่น้อง ทำงานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทั้งคู่ พ่อเป็นวิศวกร แม่เป็นนักจุลชีววิทยา
6
ด้วยเหตุนี้ ก็อาจเป็นไปได้ว่าทั้งพ่อและแม่มีส่วนทำให้ลูก ๆ ชอบวิชาเลขและฟิสิกส์เป็นพิเศษ
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พี่น้อง Collison เป็นเด็กอัจฉริยะที่ฉลาดเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
6
Patrick คนพี่ ชนะรางวัลนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ระดับประเทศในปี 2005 จากการสร้างระบบการสนทนาที่เขียนโดยภาษาทางโปรแกรมที่ชื่อว่า Lisp ซึ่งเป็นภาษากลางของนักพัฒนา AI ในยุคบุกเบิก
6
ในปีเดียวกัน Patrick ยังสอบเทียบจนเรียนจบมัธยมตอนอายุ 16 ปี และสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอย่าง MIT ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใช้คะแนน SAT ที่สอบไว้ตั้งแต่ตอนอายุ 13 ปี
10
John คนน้องก็ไม่แพ้กัน เขาทำข้อสอบก่อนเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศไอร์แลนด์ และสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้
8
แต่นอกจากเรื่องการเรียนที่โดดเด่นแล้ว พี่น้อง Collison ก็สนใจและเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่ยังเรียนอยู่
5
ในปี 2007 Patrick ในวัย 17 ปี ชวน John ที่อายุ 15 ปี มาทำบริษัทซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Shuppa ที่ประเทศบ้านเกิด แต่โชคร้ายที่ Enterprise Ireland ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่สนับสนุนการทำธุรกิจ ไม่ให้เงินทุน
4
แต่สุดท้ายแล้ว Shuppa ของพวกเขาก็ไปเข้าตา “Y Combinator” ผู้ให้เงินทุนและคำแนะนำสตาร์ตอัปในระยะเริ่มต้นชื่อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา จากตรงนี้เอง ที่ทำให้พี่น้อง Collison ได้มีโอกาสย้ายไปเริ่มต้นธุรกิจที่ซิลิคอนแวลลีย์
8
ที่ Y Combinator ทั้ง Patrick และ John ได้ไปร่วมทีมกับศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่อก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Auctomatic” ทำธุรกิจพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่ช่วยจัดการระบบสินค้าคงคลัง ให้กับผู้ขายรายใหญ่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ eBay
5
เวลาผ่านไปเพียง 10 เดือน ในปี 2008 บริษัท Auctomatic ก็ถูกซื้อโดยบริษัทจากแคนาดาในราคาเกือบ 170 ล้านบาท ส่งผลให้ Patrick และ John เป็นเศรษฐีเงินล้านได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นพวกเขาก็กลับไปเรียนต่อพร้อมกับหาไอเดียธุรกิจใหม่
13
ในช่วงทศวรรษ 2000s การซื้อขายของออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งหนึ่งที่พี่น้อง Collison เห็นก็คือ ระบบการชำระเงินออนไลน์ที่เทคโนโลยียังล้าสมัย ซึ่งถูกพัฒนาไม่ทันกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ ทำให้ธุรกรรมออนไลน์ใช้เวลานานและซับซ้อน
8
นอกจากด้านผู้ชำระเงินออนไลน์แล้ว ผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ ยังต้องเจอกับขั้นตอนที่ยุ่งยาก ต้องติดต่อกับทั้งธนาคาร ผู้รับชำระเงิน และเกตเวย์ซึ่งเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงธุรกรรมระหว่างธนาคารและผู้รับชำระเงิน
5
ขั้นตอนเหล่านี้ ทำให้เจ้าของธุรกิจต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน รวมถึงต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรืออาจจะถึงครึ่งปี โดยเฉพาะกับผู้ประกอบการหน้าใหม่และบริษัทสตาร์ตอัป
3
หลังจากการติดต่อตัวกลางต่าง ๆ สำเร็จแลัว ก็ยังต้องให้เวลานักพัฒนาแพลตฟอร์มเขียนโคด สร้างระบบรับชำระเงินออนไลน์ต่อ
2
จากช่องว่างที่พวกเขามองเห็นทั้งหมดนี้ ก็ได้ทำให้ในปี 2009 สองพี่น้อง Collison
ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย มาเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ที่ชื่อว่า “Stripe”
4
Stripe รับหน้าที่จัดการเรื่องยุ่งยากที่เกี่ยวกับระบบรับชำระเงินออนไลน์ทั้งหมด
แทนผู้ประกอบการและนักพัฒนา แล้วย่อทุกอย่างให้เหลือเป็นโคดเพียง 7 บรรทัด สำหรับไปวางไว้ในร้านค้า เพื่อเชื่อมต่อมายังระบบของ Stripe (ซึ่งโคดในระบบของ Stripe จะมีมากกว่า 7 บรรทัด)
10
ซึ่งไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหนก็ตาม เพียงแค่นักพัฒนาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
นำโคดของ Stripe ไปใส่ ก็จะสามารถเริ่มให้บริการรับชำระเงินออนไลน์ได้ทันที
7
Stripe จึงช่วยลดเวลาของกระบวนการที่ซับซ้อนจากหลายสัปดาห์มาเป็นไม่กี่วินาที
แถมยังช่วยลดต้นทุนการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับชำระเงินออนไลน์ไปได้กว่า 24%
และช่วยลดความยุ่งยากให้กับนักพัฒนาในการทำแพลตฟอร์มไปได้ 59%
15
ลูกค้าของ Stripe ก็คือผู้ประกอบการ หรือที่เรียกว่าเป็นธุรกิจแบบ B2B ซึ่งในช่วงแรกจะโฟกัสสตาร์ตอัปในซิลิคอนแวลลีย์ที่อยู่ในช่วงเริ่มสร้างธุรกิจ อย่างเช่น
Lyft แพลตฟอร์มเรียกรถคล้าย Uber
DoorDash แพลตฟอร์มดิลิเวอรีอาหารคล้าย GrabFood
9
หลังจากได้รับความนิยมสูงมากในหมู่สตาร์ตอัปแล้ว ความสะดวกของ Stripe ก็ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น Facebook, อีคอมเมิร์ซ Amazon, ห้างสรรพสินค้า Target และแบรนด์เครื่องแต่งกายกีฬา Under Armour เลือกใช้บริการจาก Stripe เช่นกัน
3
มาจนถึงปัจจุบัน รู้หรือไม่ว่าชาวอเมริกันและชาวยุโรปเกินกว่าครึ่งหนึ่ง เคยชำระเงินออนไลน์ผ่าน Stripe โดยไม่รู้ตัว
3
เพราะ Stripe ได้กลายมาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการให้บริการชำระเงินออนไลน์กับธุรกิจมากกว่า 1 แสนบริษัท
โดยให้บริการกับผู้ประกอบการในกว่า 40 ประเทศ และรับชำระเงินได้มากกว่า 135 สกุลเงิน
6
ที่สำคัญก็คือ Stripe ได้เป็นพาร์ตเนอร์กับผู้รับชำระเงินชื่อดังมากมาย ทำให้ธุรกิจที่ใช้บริการจาก Stripe มีวิธีชำระเงินให้ลูกค้าเลือกหลากหลาย
1
ตั้งแต่บัตรเครดิต บัตรเดบิตชื่อดังเกือบทุกแบรนด์ รวมถึงกระเป๋าเงินดิจิทัล อย่างเช่น Apple Pay, Google Pay, Alipay และ WeChat Pay หรือแม้แต่บริการซื้อก่อนจ่ายทีหลังของ Klarna และ Afterpay
4
นอกจากนี้ Stripe ยังมีบริการที่ชื่อว่า “Rader” ซึ่งเป็นระบบตรวจจับธุรกรรมทุจริต โดยใช้ AI
ในการวิเคราะห์และตรวจจับธุรกรรมที่น่าสงสัย ซึ่งช่วยลดธุรกรรมที่ผิดกฎหมายลงได้ 25%
2
ซึ่งการที่ Stripe เลือกโฟกัสที่ความสะดวกสบายของผู้ประกอบการและผู้พัฒนาแพลตฟอร์มเป็นหลัก
ก็ได้ทำให้บริษัทแห่งนี้ กลายเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการรับชำระเงิน ที่นักพัฒนาแพลตฟอร์มเลือกใช้มากที่สุด
4
โดยรายได้หลักของ Stripe จะมาจาก 2 ส่วน แบ่งออกเป็นค่าธรรมเนียม 2.9% และบวกอีก 30 เซนต์ต่อบิลทั้งหมดที่ชำระผ่านช่องทางออนไลน์
4
นอกจากนั้นแล้ว Stripe ยังมีรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการใหม่ ๆ ที่พัฒนาขึ้นโดยยึดเป้าหมายหลักคือ การเพิ่มขนาดเศรษฐกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต ด้วยบริการที่ช่วยซัปพอร์ตผู้ประกอบการ ให้การทำธุรกิจง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น
5
- Sigma บริการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลของธุรกิจ
- Atlas บริการสำหรับผู้เริ่มก่อตั้งธุรกิจจากทั่วโลก ที่ Stripe จะจัดการทุกอย่างให้ทั้งหมด
- Issuing บริการออกบัตรเครดิตทั้งแบบออนไลน์และบัตรจริง
- Terminal บริการ POS สำหรับกิจการที่มีหน้าร้านด้วย
9
เส้นทางการระดมทุนของ Stripe ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดีมาตั้งแต่แรก เพราะบริษัท Auctomatic ของ Patrick และ John เคยเข้าร่วม Y Combinator มาก่อนแล้ว ซึ่งไอเดีย Stripe ของพวกเขา ก็แน่นอนว่าได้มาเริ่มต้นที่ Y Combinator เช่นกัน
1
Patrick และ John ใช้เวลา 2 ปีแรกไปกับการติดต่อพาร์ตเนอร์ ที่เป็นผู้ให้บริการทางการเงินต่าง ๆ และออกแบบพัฒนาโคด
2
โดยใช้เงินทุนจาก Y Combinator หลังจากนั้นในปี 2011 Stripe ก็ได้รับเงินระดมทุนเพิ่มเติมจากผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal อย่าง Peter Thiel และ Elon Musk
1
แม้ว่า PayPal ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1998 จะเป็นผู้ปฏิวัติระบบชำระเงินออนไลน์ยุคแรก ๆ แต่พัฒนาการด้านนวัตกรรมของ PayPal ก็เริ่มช้าลงตั้งแต่บริษัทตกไปอยู่ในมือ eBay เมื่อปี 2002
3
Patrick และ John ได้นำเสนอไอเดียของ Stripe เพื่อขอเงินทุนจากทั้ง Thiel และ Musk ซึ่งอาจดูตลกที่พวกเขาต้องพูดต่อหน้าผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal ว่าระบบชำระเงินบนโลกอินเทอร์เน็ตยังเต็มไปด้วยปัญหา แต่พี่น้อง Collison คิดว่าพวกเขาน่าจะเข้าใจปัญหาเหล่านั้นได้ดีที่สุด
5
หลังจากนั้น Stripe ก็ระดมทุนได้อย่างต่อเนื่องจากกองทุน Venture Capital ชื่อดังมากมาย อย่างเช่น Sequoia Capital และ Andreessen Horowitz จนกลายเป็นยูนิคอร์นหรือสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท ในปี 2014
8
หลังจากนั้น 2 ปี Stripe ระดมทุนเพิ่มจนถูกประเมินมูลค่าที่ 3.1 แสนล้านบาท
ซึ่งนั่นก็ทำให้พี่น้อง Collison ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินคนละ 3.7 หมื่นล้านบาท
กลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่อายุน้อยสุดในโลก ในปี 2016
4
ปัจจุบัน มูลค่าของ Stripe ถูกประเมินไว้ที่ 3.2 ล้านล้านบาท
กลายเป็นสตาร์ตอัปที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่างสองพี่น้อง Collison ในวัย 30 ต้น ๆ มีทรัพย์สินคนละกว่า 3.2 แสนล้านบาท เท่านั้นเอง..
15
โฆษณา