11 ต.ค. 2021 เวลา 01:51 • กีฬา
ทำไมไทยโดนสั่งแบน ห้ามใช้ธงชาติในมหกรรมกีฬาอย่างเอเชียนเกมส์ และเราจะแก้ไขอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
3
ข่าวที่น่าตกใจในวงการกีฬาไทย คือการที่ WADA (องค์กรต่อต้านสารกระตุ้นโลก) สั่งแบนไทย, เกาหลีเหนือ และ อินโดนีเซีย ห้ามจัดการแข่งขันใดๆ ในระดับภูมิภาค ระดับทวีป และระดับโลก
1
การโดนห้ามเป็นเจ้าภาพยังไม่เท่าไหร่ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือในเอเชียนเกมส์ ในปี 2022 ที่กำลังจะมาถึง ทั้ง 3 ชาติที่กล่าวมา ห้ามใช้ธงชาติตัวเองลงแข่งขันด้วย
เหมือนที่รัสเซียโดน ในโอลิมปิกที่โตเกียวนั่นแหละ ไม่มีธงรัสเซีย ไม่มีเพลงชาติรัสเซีย
1
ลองนึกภาพตาม สมมุติน้องเทนนิส-พาณิภัค คว้าเหรียญทองเทควันโด้ได้สำเร็จ แต่ตอนรับเหรียญ ไม่สามารถเปิดเพลงชาติไทย และไม่มีธงชาติไทยขึ้นสู่ยอดเสา มันคงเป็นอะไรที่ดูไม่จืดมากๆ
3
เอาล่ะ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นแน่ๆ นำมาสู่ 2 คำถามต่อไปคือ แล้วทำไมเราถึงโดนแบน และเราจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
2
2 ประเทศที่โดนแบนพร้อมกับเรา คือเกาหลีเหนือ และอินโดนีเซีย โดนแบนด้วยเหตุผลว่า "ไม่มีระบบตรวจสอบสารกระตุ้นที่มีประสิทธิภาพมากพอ" กล่าวคือ มาตรฐานห้องแล็บต่างๆ ยังไม่มีคุณภาพ รวมถึงยังมีนักกีฬาหลีกเลี่ยงการตรวจสารกระตุ้นเป็นจำนวนมาก ทาง WADA จึงสั่งลงโทษ
6
แต่กับประเทศไทยนั้น เราโดนแบนด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป มันไม่เกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจโด๊ปของเราเลย ที่อยู่ในระดับนานาชาติแล้ว ห้องแล็บมหิดลที่เคยโดนคอมเมนต์ว่าไม่ได้มาตรฐาน ตอนนี้ WADA ก็คอนเฟิร์มเรื่องมาตรฐานแล้ว
3
แต่สาเหตุที่เราโดนแบน เพราะกฎหมายของไทย ยังไม่อัพเดทให้ทัน Code ของ WADA
7
ในทุกๆ ปี WADA จะอัพเดท Code หรือกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ที่สำคัญ เพื่อให้เท่าทันกับการใช้สารกระตุ้นที่เปลี่ยนไปอยู่เรื่อยๆ และ WADA คาดหวังให้แต่ละประเทศอัพเดทกฎหมายของตัวเองอย่างรวดเร็ว ให้ตรงตาม Code ใหม่ด้วย
9
ในการอัพเดทกฎล่าสุดของ WADA วันที่ 1 มกราคม 2021 มีการระบุชัดเจนเรื่อง "นิยามการระบุโทษ" โดยกล่าวว่า โค้ชคนไหน ที่มีส่วนกับการโด๊ปในประเทศนั้น ต้องมีบทลงโทษทางกฎหมายด้วย และห้ามทำงานเกี่ยวข้องกับกีฬา โดยสิ้นเชิง
4
แต่กฎหมายของไทย ในพระราชบัญญัติควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา พ.ศ. 2555 ไม่มีจุดนี้ กล่าวคือโค้ชคนไหนที่โดนโทษแบน ก็จะมีการลงโทษกันเองในสมาคม เป็นการลงโทษทางปฏิบัติ แต่ไม่มีบทลงโทษอย่างเป็นทางการ ทางกฎหมาย
4
เหมือนอย่างกรณีของหลิว หนิง โค้ชชาวจีนของทีมยกน้ำหนักไทย ที่ใช้เจลใสแบบพิเศษ ที่มีฤทธิ์ของสารกระตุ้น จนนักกีฬายกน้ำหนักไทยโดนแบนไป 10 คน เขาอาจโดนสมาคมยกน้ำหนัก แบนตลอดชีวิตก็จริง แต่ไม่มีบทลงโทษใดๆ ตามกฎหมายไทย
9
นี่เป็นจุดที่ฝั่ง WADA มองว่ามีปัญหา เพราะถ้ามีโค้ชสักคนทำผิดข้อหาโด๊ปในประเทศไทย แต่ไม่มี Criminal Record ก็อาจอ้างได้ว่า ก็ประเทศไทยเรื่องนี้ไม่ได้ผิดกฎหมายนี่ สุดท้ายโค้ชคนนั้นก็อาจได้รับงานที่ประเทศอื่นๆ อีก
9
WADA ต้องการถอนรากถอนโคนการใช้สารกระตุ้น ดังนั้นจึงอยากให้แต่ละประเทศมองว่า นี่เป็นวาระสำคัญถึงขั้นต้องระบุลงไปในกฎหมายด้วย
7
ประเทศอื่นใช้เวลาไม่นานนัก ในการแก้ไขกฎหมาย แต่ปัญหาของเราคือขั้นตอนการแก้กฎหมายไทยมีความซับซ้อนกว่ามาก
8
หากคุณคิดจะแก้ พรบ. สารกระตุ้น จำเป็นต้องใช้ "เวลา" ไม่มีทางแก้ได้เสร็จภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ 1 ปี อย่างที่ WADA ต้องการได้แน่
5
เพราะขั้นแรกถ้าคุณคิดจะแก้ พรบ. ต้องส่งเรื่องให้สภาล่าง โหวตผ่าน 3 วาระ จากนั้นเอากลับมาให้วุฒิสภาโหวตอีก 3 วาระ กว่าจะถูกปรับใช้เป็นกฎหมายได้
7
คือหลายๆ กฎหมายในไทยใช้เวลาเป็นปีๆ กว่าจะแก้ไขกันได้สำเร็จ มันเป็นแบบนั้นมาตลอด
4
จริงๆ ประเทศไทยนำโดย DCAT (สำนักงานควบคุมการใช้สารต้องห้ามทางการกีฬา) ได้แจ้งภาครัฐไปแล้วว่าให้แก้ไข และเรื่องก็เข้าสู่สภาไปแล้วด้วย แต่ในเดือนตุลาคมปีนี้ มันถึงเดดไลน์ของ WADA แล้ว
3
และเมื่อกฎหมายยังไม่ออกมาเป็นรูปธรรม WADA จำเป็นต้องแบนไปก่อนเป็นการชั่วคราว พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก
1
จากนั้นก็จะตรวจสอบประเทศไทยอีกเรื่อยๆ ว่ากฎหมายออกแล้วหรือยัง ถ้ามีกฎหมายแล้ว โทษแบนก็จะหายไป กลับมาใช้ธงชาติไทยในทัวร์นาเมนต์ และ กลับมาเป็นเจ้าภาพในการแข่งรายการต่างๆ ได้ตามปกติ
4
สำหรับสถานการณ์ล่าสุดตอนนี้ นายก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการกกท. เปิดเผยว่า ไทยจะใช้ "ทางลัด" ไปก่อน เพื่อให้ออกกฎหมายได้เร็วที่สุด
1
อธิบายให้เข้าใจง่าย คือในการออกกฎหมายอะไรสักอย่างของประเทศไทย เราจะมี 2 วิธีหลักๆ
1
1- คือการออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ (ส.ส.) เราจะเรียกมันว่า พระราชบัญญัติ (พรบ.) ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ผ่านหลายวาระ สภาล่าง - สภาบน
และ วิธีที่ 2 คือการออกเฉพาะกิจโดยฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) เราจะเรียกว่า พระราชกำหนด (พรก.) คือผลักดันให้เป็นกฎหมายมาก่อน ด้วยความเป็นวาระเร่งด่วน จากนั้นพอเอามาใช้ได้แล้ว ค่อยเข้าขั้นตอนของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อให้เป็น พรบ. ต่อไป
7
เหมือนพระราชกำหนดเงินกู้ ในช่วงโควิดที่รัฐบาลเร่งรีบเอามาใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็จะออกกฎหมายเป็น พรก.มาก่อน เป็นต้น
2
นายก้องศักดกล่าวว่า "เรื่องนี้ต้องไปแก้ในกฎหมายใหญ่ คือพระราชบัญญัติสารต้องห้าม เมื่อทราบเรื่องก็ไม่ได้รอช้า ได้เสนอให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลรับทราบ โดยทางวิษณุ เครืองาม ก็ได้รับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ซึ่งเรื่องอยู่ที่กฤษฎีกา กกท. ก็ได้ชี้แจงไปแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ จะได้ออกมาเป็นพระราชกำหนดไปก่อน เพื่อนำมาบังคับใช้เป็นการเร่งด่วน"
สรุปให้เข้าใจดังนี้
- กกท. + DCAT แจ้งไปที่คณะรัฐมนตรี ว่า WADA จะสั่งแบนแล้วนะ ถ้าไม่มีกฎหมาย
1
- คณะรัฐมนตรี ส่งเรื่องให้กฤษฎีกา (กฤษฎีกา คือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องกฎหมายของรัฐบาล มีพวก มีชัย ฤชุพันธุ์ ทำงานอยู่ เป็นต้น)
2
- หากผ่านกฤษฎีกา ก็จะถูกใช้เป็นกฎหมายพระราชกำหนดต่อไป
7
- กกท. แจ้ง WADA ว่าไทยมีกฎหมายรองรับแล้ว เอาให้ WADA ปลดแบนก่อน แล้วจากนั้น ค่อยแก้ไขตัว พรบ. จริงๆ ที่จะใช้เวลานานกว่าในภายหลัง
2
สำหรับส่วนตัวผม ตอนได้ยินข่าวว่า ไทยจะโดนแบนธงชาติ มันฟังดูน่าตกใจก็จริง แต่พอไปตามดูข้อมูลจริงๆ มันยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น
2
คือการที่เราโดนแบนไม่เกี่ยวกับมาตรฐานการตรวจโด๊ป แต่เป็นเพราะความล่าช้าในการแก้กฎหมายแค่นั้น
4
ประเทศไทย เราก็รู้ว่าขั้นตอนกว่าจะเปิดสภา โหวตแก้กฎหมายกันแต่ละฉบับ มันใช้เวลานานมากๆ ซึ่งในโลกยุคนี้ องค์กรระดับนานาชาติเขาเคลื่อนไหวเร็วมาก พอเราเคลื่อนตามไม่ทันเขา ก็เลยต้องมีบทลงโทษตามมา
3
ถ้าถามผมนะ ผมมั่นใจว่า ก่อนเอเชียนเกมส์ ที่หังโจว ในเดือนกันยายนปี 2022 เราแก้ไขทันอยู่ครับ ต้องมีพระราชกำหนดออกมาก่อนแน่ๆ เพราะรัฐบาลเองยอมไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีธงชาติไทยในทัวร์นาเมนต์ระดับนานาชาติแบบนี้ อายเขาตายเลย
3
คิดอีกมุม การเป็นข่าวใหญ่โตแบบนี้มันก็ดี จะได้ทำให้คนในสภาตื่นตัวและรีบผลักดันกฎหมายสารกระตุ้นเร็วๆ
2
แต่ถามว่า เป็นเรื่องเสียหน้าจนไทยต้องเอาปี๊บคลุมหัวไหม ส่วนตัวผมว่า เคสนี้ยังไม่ได้แรงขนาดนั้น ตอนยกน้ำหนักโดนแบนไม่ให้แข่งโอลิมปิก อันนั้น Sad กว่าเยอะ
1
นอกเหนือจากประเด็น "นิยามการระบุโทษ" อีกข้อควรระวัง ที่ WADA ยังไม่ได้ว่าอะไรตอนนี้ แต่เขาจะลุกขึ้นมาแบนเราตอนไหนก็ได้ คือเรื่อง "ความเป็นอิสระ" ขององค์กรตรวจสารกระตุ้น
1
สิ่งที่ WADA เน้นย้ำมาก คือองค์กรตรวจสารกระตุ้นของแต่ละประเทศ (ของไทยคือ DCAT) ต้องเป็นเอกเทศ และห้ามขึ้นตรงกับองค์กรกีฬาใดๆ เด็ดขาด
แต่ในพรบ.สารต้องห้ามของไทย DCAT ยังเป็นหน่วยงานภายใต้ กกท. (ซึ่งเป็นองค์กรกีฬา) ออฟฟิศปัจจุบันยังอยู่ในกกท. เลย
ดังนั้น ก่อนที่ WADA เขาจะตั้งคำถาม หรือแบนเราในเรื่องนี้ เราควรแก้ไขเรื่องนี้เช่นกัน จะแยก DCAT เป็นองค์กรอิสระ หรือให้ไปอยู่อันเดอร์กระทรวงอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกีฬาก็ได้
1
นี่เป็นข้อเสนอแนะจากแอดมินเอง แต่มั่นใจว่าคนทำงานย่อมรู้อยู่แล้วล่ะเนอะ
4
บทสรุปของเรื่องนี้ กับประเด็นกฎหมายไทย และ WADA ผมคิดว่าในยุคปัจจุบัน ทุกอย่างต้องทำให้กระชับ ให้ Lean ที่สุดถึงจะไปแข่งขันกับเขาได้
1
ถ้าใครทำบริษัทเอกชนจะรู้ดีว่า เดี๋ยวนี้ทุกอย่างแข่งกันที่ความเร็ว ขั้นตอนอันไหน ที่ไม่จำเป็น จะโดนโละทิ้งออกทั้งหมด เพื่อให้ร่นระยะเวลาในการปฏิบัติการให้สั้นที่สุด
ดังนั้นในเรื่องกฎหมายก็ไม่ได้ต่างกันนัก ถ้ากฎหมายบางข้อที่ควรต้องแก้ให้เสร็จภายใน 3 เดือน เพื่อให้ประเทศมีความเท่าทันโลก แต่กลับต้องใช้เวลา 3 ปี กว่าจะแก้เสร็จ ป่านนั้นโลกเขาไปถึงไหนกันแล้วก็ไม่รู้
2
การมีขั้นตอนเยอะ ก็อาจจะดีในแง่ความปลอดภัย ตรวจสอบกันหลายรอบจนไร้ช่องโหว่
2
แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ในยุคนี้ ถ้าช้ากว่าคนอื่นแค่ 1 นาที เราก็เสียเปรียบอีกฝ่ายอย่างมหาศาลแล้วล่ะนะ
#THAILANDBANNED
โฆษณา