11 ต.ค. 2021 เวลา 23:31 • กีฬา
- รับสภาพหมดยุคทอง -
ครองบัลลังก์แรงค์กิ้งอันดับ 1 ของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติมาอย่างยาวนานแต่จนแล้วจนรอด เบลเยี่ยม ก็ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย
แต่จะให้มองว่าจากเมื่อก่อนทัพ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" เป็นแค่ทีมไม้ประดับ พัฒนามาเป็นม้ามืด กระทั่งเคยถูกยกให้เป็นตัวเต็งเป็นความสำเร็จของพวกเขาแล้วก็คงพอรับได้นิดหน่อย
มันจะรับได้มากกว่านี้หากว่า เบลเยี่ยม ไม่มี 'โกลเด้น เจเนอเรชั่นส์' หรือยุคทองขึ้นมา
ถ้าหากผมจำไม่ผิดยุคทองของ เบลเยี่ยม เกิดขึ้นและลงสนามโม่แข้งแบบจริงๆก็ฟุตบอลโลก 2014 เพราะมันคือทัวนาเม้นท์ใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 ที่พวกเขาไม่ได้ไปทั้ง ยูโร และ ฟุตบอลโลก เลย
นั่นหมายถึงว่า 2004, 2006, 2008, 2010 และ 2012 คือช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในกระบวนการผลิตและพัฒนาอนาคตของชาติ
กระบวนการของพวกเขาอันนี้พิมพ์ได้เต็มไม้เต็มมือเลยครับว่า "ประสบความสำเร็จ" แบบสุดๆ
มีการเกิดขึ้นมาของนักเตะที่ชื่อว่า ติโบต์ กูร์กตัวส์, เควิน เดอ บรอยน์, เอแด็น อาซาร์, โรเมลู ลูกากู หรือ โทบี้ อันเดอร์ไวเรลด์
หรือจะเป็นนักเตะที่เริ่มสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นเช่น แวงซ็องต์ กอมปานี, โทมัส แฟร์มาเล่น, มารูยานา เฟลไลนี่ และ ดรีส์ เมอร์เท่น
ส่วนผสมทุกอย่างมันกลมกล่อมและลงตัวแต่สิ่งที่ผิดเพี้ยนไปคงหนีไม่พ้นคนคอยปรุงนั่นล่ะครับเพราะ เบลเยี่ยม ไม่ได้มีโค้ชระดับ 'แชมเปี้ยน' ในยุคทองเลย
มาร์ค วิลม็อตส์ เป็นหนึ่งในกระบวนการผลิตและพัฒนาก็จริงแต่เขาก็ไปไม่สุดนำ เบลเยี่ยม ที่ถูกยกให้เป็นยุคมองร่วงตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายทั้งในฟุตบอลโลกและ ยูโร ปี 2014 และ 2016
การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นครับ แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สร้างความประหลาดใจพอสมควรเพราะ เบลเยี่ยม จิ้มเลือกโค้ชที่ไม่ได้มีโปรไฟล์สูงเลยแม้แต่น้อย
โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ
การเข้ามาของนายใหญ่ชาวสแปนิชค่อนข้างเซอร์ไพรส์เพราะไม่มีใครเชื่อในมันสมองของเขาแต่สิ่งที่ มาร์ตี้ ทำกลับกลายเป็นว่าพุ่งทะลุจุดเดือดคว้าอันดับที่ 3 ในฟุตบอลโลก 2018 ได้สำเร็จ
มันเลยทำให้เขาได้รั้งตำแหน่งอยู่ต่อแต่มันก็เข้าสู่ช่วงผลัดใบไปแล้ว แกนหลักเริ่มทะยอยหายไป อดีตดาวรุ่งก็ก้าวขึ้นมาเป็นกุญแจสำคัญแทน
สุดท้าย มาร์ติเนซ ก็เริ่มทำให้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วว่าทั้งสไตล์การเล่น ทั้งแท็คติกที่เขาใส่ลงไปให้ เบลเยี่ยม มันดูโบ๋เบ๋ไปหมด มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำให้ เบลเยี่ยม โดดเด่นจริงๆคือตัวนักเตะไม่ใช่โค้ช
เพราะหากชาติใดชาติหนึ่งจะพุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุดได้มันจะต้องผสมผสานรวมกันครับไม่ใช่นักเตะเพียงอย่างเดียว
อิตาลี ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ในยูโร 2020 ที่ผ่านมาคือคำตอบชัดเจนของการผสมผสานระหว่าง โค้ชที่คอยใส่แท็คติกใส่สไตล์ลงไป-นักเตะที่รีดเร้นศักยภาพของตัวเองตามสิ่งที่โค้ชต้องการ
มันชินี่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เขาก่อร่างสร้างทีมต่างๆขึ้นมาด้วยการเป็น 'แชมเปี้ยนส์' ต่างจาก มาร์ติเนซ แบบลิบลับ
ที่ร่ายยาวมาทั้งหมดนี่ไม่ใช่อะไรเลยครับ เพราะไปสะกิดกับคำพูดของ เดอ บรอยน์ อดีตดาวรุ่งยุคทองและเป็นกุญแจสำคัญในตอนนี้
"เราทำได้ดีกับการเจอทีมระดับท็อป ตอนนี้เรามีเด็กๆหน้าใหม่เข้ามาและพวกเขาก็ทำได้ดี" เดอ บรอยน์ กล่าวหลังความพ่ายแพ้อิตาลีในรอบชิงที่ 3 ศึก ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก
"มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเขาในการเล่นกับคู่แข่งที่เต็มไปด้วยศักยภาพแบบนี้แต่เราก็โชคร้ายที่แพ้มา 2 นัดรวด (รอบรองกับฝรั่งเศสด้วย) ด้วยความเคารพนะมันแตกต่างจากการที่เราเล่นกับทีมอย่าง เอสโตเนีย สิ่งที่เราเจอมันคือความท้าทาย สิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับเราในการเติบโตทั้งในฐานะบุคคลและทีม"
"ด้วยความเคารพอย่างสูงนะเราก็ 'แค่' เบลเยี่ยมเท่านั้น นี่คือเจเนอเรชั่นใหม่ ทีมของเรานัดนี้ไม่มี โรเมลู ลูกากู และ เอแด็น อาซาร์"
"ดังนั้นเราต้องอยู่กับความเป็นจริงเกี่ยวกับทีมที่มี"
"อิตาลี, ฝรั่งเศส และ สเปน มีนักเตะระดับท็อป 22 คนแต่ไม่ใช่เรา"
คำกล่าวของ เดอ บรอยน์ ว่ากันตามตรงมันดูด้อยค่าทีมตัวเองยังไงไม่ทราบ
แต่มันอาจจะเป็นนัยพูดให้ได้รับทราบว่า เบลเยี่ยม สิ้นสุดยุคทองแล้วอย่างเป็นทางการ และมันก็ผ่านช่วงเวลาที่พวกเขามีนักเตะที่ดีที่สุดไปหมดแล้ว
น่าเสียดายจริงๆ
โฆษณา