12 ต.ค. 2021 เวลา 04:57 • ประวัติศาสตร์
ตอนที่สอง Black Eagle
มีบทความภาษาอังกฤษมากมายที่เล่าเกี่ยวกับวีระกรรมของลีถงและความเป็นมาของเขา ในที่นี้จะอาศัยบทความของChristopher McGregor จาก Philadelphia citypaper.net เป็นหลัก
ลีถงนั้นเดิมชื่อ เล วัน ถง เขาเข้าเป็นทหารอากาศในกองทัพเวียดนามใต้เมื่อปี 1965 และก็ถูกไล่ออกหลังจากนั้นไม่นาน เพราะซ้อมผู้บังคับบัญชา ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนชื่อเป็นลีถงและสมัครกลับเข้าไปในกองทัพอากาศอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ร่วมงานกับตรัน มานห์ คอย ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองบิน อินทรีดำ
ตรันให้สัมภาษณ์ถึงลีถงในลอสแองเจลีส ไทม์ว่า "แน่นอนทุกคนกลัวตาย เพียงแต่ว่าเจ้านี่กลัวน้อยกว่าคนอื่น ๆมาก" เรืออากาศตรีลีถงมักอยู่แนวหน้าเสมอในเรื่องปฏิบัติการเสี่ยงชีวิตทั้งหลาย และเป็นคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งอย่างที่สุด บ่อยครั้งที่ตรันต้อง"อบรม"ให้ลีถงลดความบ้าบิ่นลงมาเสียบ้าง
ในที่สุดความบ้าบิ่นของลีถงในกองทัพอากาศก็ถึงจุดจบ เครื่องบินทิ้งระเบิด เอ-37 ของเขาถูกยิงก่อนหน้าไซ่ง่อนแตกเพียงสองอาทิตย์(ปี 1975) เขาดีดตัวออกมาจากเครื่อง ร่มของเขาก็ตกลงกลางวงล้อมของกองกำลังเวียดกง แต่คนอย่างเขาหรือจะยอมแพ้ต่อชะตากรรมง่าย ๆ ไม่กี่เดือนหลังถูกจับ ลีถงก็พยายามหนีในระหว่างทำงานอยู่ในไร่นา แต่ก็ถูกจับกลับมา พวกเวียดกงเอาเขาไปใส่ไว้ในตู้คอนเทนเนอร์เหล็กที่ทหารอเมริกันทิ้งไว้ และถูกดัดแปลงมาเป็นที่คุมขังสำหรับนักโทษฉกรรจ์ อุณหภูมิภายในตู้เหล็กจะขึ้นถึง 100 ฟาเรนไฮท์ในยามกลางวัน และเปลี่ยนเป็นหนาวจัดในยามกลางคืน เขาอยู่ในนั้นถึง 6 เดือน
หลังจากออกมาจากตู้เหล็กไม่เท่าไร ลีถงก็หนีอีก คราวนี้เขาโชคดี หลังจากงมหาทางอยู่ในป่าหลายวันเขาก็เจอกับทางรถไฟ เขาแอบโดยสารทางรถไฟลงไปทางใต้ห่างจากโฮ จิ มินห์ ซิตี้ไปสามร้อยกิโลเมตร เขารู้ดีว่าจำเป็นจะต้องออกจากเวียดนามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิฉะนั้นจะถูกจับกลับไปอีก ลีถงเริ่มเดินบ้าง โบกรถบ้างไปจนผ่านเข้าไปในกัมพูชาอย่างไม่มีใครสงสัย จากนั้นเขาก็วางแผนที่จะขโมยเรือประมงเพื่อจะเดินทางต่อไปยังกรุงเทพที่ที่เขาเชื่อว่าจะได้รับความช่วยเหลือ แต่ชาวประมงเกิดสงสัยในตัวเขาและแจ้งตำรวจ ลีถงต้องเข้าคุกกัมพูชาอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะแหกคุกออกมา
ลีถงเล่าประสบการณ์ตอนที่หนีออกมาว่า "ผมวิ่งไปเหมือนคนบ้า ทั้งตำรวจ หมา ชาวบ้านกำลังออกตามหาผม ผมต้องซ่อนตัวในพงหญ้า ทำตัวนิ่งที่สุดอยู่ถึง 6 ชั่วโมง ถูกมดรุมกัดทั่วตัว และเกือบจะหมดสติไปหลายครั้ง"
เมื่อการค้นหาเลิกล้มไป ลีถงก็เริ่มเคลื่อนไหว ส่วนใหญ่เขาใช้เส้นทางในป่า ดำรงชีวิตอยู่ด้วยงู กบ ปลาเท่าที่จะหาได้ บางทีก็เข้าไปในหมู่บ้านเพื่อหาข่าวและแลกเสื้อผ้า บุหรี่ที่มีกับอาหาร (งง มีเสื้อผ้าและบุหรี่มาจากไหนไม่รู้ สงสัยขโมยเขาเอา) ในที่สุดเขาก็ผ่านชายแดนกัมพูชาเข้าสู่เขตไทยอย่างปลอดภัย เขารี่ตรงไปที่กาชาดทันทีและนึกดีใจว่าในที่สุดเขาก็เป็นอิสระแล้ว แต่เมื่อไปถึงที่นั่น คนของกาชาดกลับพาเขาส่งตำรวจ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นสายลับ ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เขาเล่า ถ้าไม่ใช่สปายแล้วไซร้ ก็คงไม่มีใครเดินผ่านกับระเบิดที่ถูกฝังไว้ในทุกตารางฟุตของชายแดนกัมพูชาได้
ลีถูกส่งจากชายแดนไทยกลับไปยังกัมพูชา และถูกส่งไปไว้ในค่ายผู้อพยพรอเวลาส่งตัวกลับไปเวียดนาม…..แต่ที่นี้เองความรักได้ช่วยเขาเอาไว้ เขาพบพยาบาลกาชาดชาวฟิลิปปินส์ที่ดูแลนักโทษ และกลางคืนเขาหนีออกจากค่ายไปที่บ้านของเธอ เขาซ่อนตัวที่นั่นสองสามวัน และก็เป็นช่วงเวลาแห่งตำนานความรักของเขาและเธอ (โรแมนติกแมะ) พยาบาลสาวพอเขาขึ้นรถไปยังกรุงเทพ -หลายปีต่อมาเขาพบว่าเธอกลับไปอาศัยอยู่ในฟิลิปปินส์ พร้อมกับลูกสาวของเขา
เมื่อถึงเขตไทย การหนีก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เขาทั้งโบกรถและเดินตัดป่าไปยังชายแดนมาเลย์ เขาผ่านเข้าไปโดยซ่อนตัวอยู่ในรถบรรทุกและพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ไปถึงชายแดนมาเลย์ด้านที่ติดกับสิงคโปร์ให้ได้ และเมื่อยะโฮร์ ลีถงก็ว่ายนำข้ามช่องแคบยะโฮร์กว้างสามไมล์ที่เต็มไปด้วยฉลามไปขึ้นที่สิงคโปร์ พอขึ้นฝั่งได้เขาก็เดินเตร็ดเตร่เข้าไปในสวนแห่งหนึ่ง แล้วเรียกแท็กซี่ไปสถานทูตอเมริกัน
"เมื่อไปถึงสถานทูต ผมก็ระล่ำระลักบอกเขาว่า ช่วยผมด้วย ช่วยส่งไปผมที่ที่ไม่มีคอมมิวนิสต์ด้วยเถอะ เมื่อพวกนั้นเช็คเรื่องของผมแล้ว ก็ส่งผมไปอเมริกา..."
โฆษณา