Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เขียนโลกด้วยปลายนิ้ว
•
ติดตาม
12 ต.ค. 2021 เวลา 05:45 • ประวัติศาสตร์
ตอนที่สี่ จี้เครื่องบิน
"อย่ายิง อย่ายิง" กัปตันเครื่องบินตะโกนใส่เครื่องวิทยุ "เราเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่มีผู้โดยสารเต็มลำ เราถูกจี้ เขาขู่ว่าจะระเบิดเครื่องบินเรา" ในขณะที่บนพื้นดิน ทหารเวียตนามเตรียมพร้อมเต็มที่
ปืนต่อต้านอากาศยานทุกกระบอกในโฮจิมินห์ ซิตี้เล็งขึ้นมายังเครื่องบินสายการบินเวียตนาม ที่บินวนบนท้องฟ้าเหนือเมืองเป็นรอบที่ห้าแล้ว
ใบปลิวนับหมื่นถูกโปรยลงมา ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ข้อความที่อยู่ในนั้นบอกว่า อินทรีดำกลับมาแล้ว ชาวไซ่ง่อนทั้งหลายจงพรั่งพรูมายังท้องถนน จับอาวุธขั้นสู้ ยึดสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ตำรวจจงเข้าร่วมการปฏิวัติครั้งนี้หรือไม่ก็กลับไปยังค่ายพัก ทัพต่างชาติจะบุกเข้ามาเร็วนี้ และผมจะกลับมาเพื่อนำการต่อสู้ โปรดรอข่าวสารครั้งต่อไป...
กัปตันเอี้ยวมองดูข้างหลัง ช่างเครื่องกับแอร์โฮสเตสถูกมัดมือมัดเท้าอยู่บนพื้นห้องนักบิน ข้างๆหน้าต่างติดกับประตู ชายชาวเวียตนามคนหนึ่งยืนเก้ ๆกัง ๆอยู่อย่างตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรดี บนหลังของเขามีเป้ที่เต็มไปด้วยระเบิด
ชายคนนั้นก็เปิดหน้าต่างห้องนักบินออก ชะโงกออกไปสุดตัว ฟึ่บบบบบ เขาเสียหลักถูกลมกระชากออกไปจากเครื่องลอยละลิ่วลงเบื้องล่างอย่างรวดเร็ว
หกปีต่อมา... ลีถงซึ่งพึ่งเดินกลับถึงอเมริกา เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้คนทั้งหลายที่มาในงานที่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับเขากลับบ้านว่า "ผมบอกแอร์โฮสเตสอย่างสุภาพว่า เป้สะพายร่มชูชีพคือระเบิดเวลา ผมมีเวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นที่จะปฏิบัติการให้สำเร็จ" เขามัดช่างเครื่องและแอร์ โฮสเตส และขู่ให้นักบินบินวนเหนือไซ่ง่อน ในระยะความสูงเดียวกับการทิ้งระเบิดของเครื่องบินรบ แล้วก็โปรยปรายใบปลิวทำเองห้าหมื่นใบลงมา
หลังจากบินวนอยู่ 5 รอบ หอการบินก็วิทยุมาบังคับให้เอาเครื่องบินลงมาข้างล่าง มิเช่นนั้นจะถูกยิง กองกำลังทหารเตรียมพร้อมอยู่แล้ว ลีถงตัดสินใจว่าจะเอาเครื่องบินลง ในระหว่างนั้นเขาจะออกไปอธิบายกับผู้โดยสารที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่..เจ้ากรรมเหลือเกินเขาเปิดประตูห้องนักบินไม่ออก
ลีถงอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างล่างบ้าง ก็เลยเปิดหน้าต่างแล้วชะโงกออกไปดู ร่างเขาถูกลมกระชากออกมาอย่างแรง ดิ่งลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว... อินทรีดำก็กลายเป็นแค่ไก่ตะกายอากาศเพื่อความอยู่รอด เขากระชากร่มชูชีพให้ทำงาน แต่ลมอันรุนแรงตีสายร่มมาพันกับข้อเท้าของเขา ร่างของเขาปลิวละลิ่วลงสู่เบื้องล่างอย่างเร่งร้อน ลีถงเริ่มเห็นพื้นดินใกล้เข้ามาทุกขณะ
"ผมตะโกนบอกพระเจ้าว่า ทำไมถึงเล่นตลกกันแบบนี้ ไม่ช่วยกันบ้างเลย" ลีถงเล่า
เขาตะเกียกตะกายเฮือกสุดท้าย และแล้วสายร่มก็หลุดออกมา ร่มกางในระยะความสูงสุดท้ายที่จะทำให้เขาร่อนลงพื้นอย่างปลอดภัยได้ในที่สุด แต่การดิ่งลงด้วยความเร็วสูงก็มีผลดีทำให้เขาไม่ถูกลูกกระสุนที่ทหารยิงขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ลีถงตกลงในบึงน้ำไหลและจมลงอย่างรวดเร็วเพราะร่มชูชีพ เขาเกือบจมน้ำตายดีแต่ว่าปลดร่มออกเสียได้ กระแสน้ำในบึงพาเขาออกไปห่างจากพวกทหารจนเจอชาวประมงที่กำลังตกปลากันอยู่ พวกนั้นนึกว่าคนที่อยู่ ๆก็โผล่มาข้าง ๆเรือเป็นพวกขโมยเรือก็เลยใช้พายหวดเข้าอย่างจัง อินทรีดำที่เปียกม่อล่อกม่อแล่กก็สิ้นฤทธิ์ทันที ชาวประมงพากันลากตัวเขาไปหาตำรวจเพื่อแจ้งความ
ลีถงจ่ายสินบนให้ตำรวจ และเล่าเรื่องโกหกที่เขาแต่งขึ้นสด ๆร้อน ๆ ว่าเป็นเวียตนามอเมริกันที่กลับมาตามหาชู้รัก แต่ก็ต้องเผ่นหนีจากผัวใหม่ของเธออย่างไม่คิดชีวิต เขาถูกปล่อยตัวและกำลังจะเดินออกจากสถานี ทันใดนั้นโทรศัพท์จากกระทรวงกลาโหมก็ดังขึ้น ชีวิตในคุกเวียตนามของเขาก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ลีถงถูกตัดสินจำคุก 20 ปี
ในคุก ลีถงพยายามเข้มแข็ง เขาฝึกเทควอนโดเสียงดังทุกวันในห้องขังตอนเช้า เพื่อเตือนว่าผู้คุมคนใดก็ตามอย่ามาแหยมกับเขาเป็นอันขาด และเมื่อถูกพัสดีสั่งให้ตัดผม เขาก็ไม่ยอม ตะโกนบอกว่า "ถ้าจะตัด ก็ตัดหัวภูดีกว่า" แม้เขาจะพยายามดำรงความเป็นลีถงไว้เพียงใดก็ตาม แต่ความทรมานภายในคุก และความสิ้นหวังก็กัดกร่อนเขาไม่น้อย ลีถงพยายามฆ่าตัวตายไม่ต่ำกว่าสองครั้ง แม้เขาจะบอกใครๆว่า การกรีดข้อมือตัวเองหรือการเอาหัวชนกำแพง หรือการอดอาหารเป็นระยะนานนั้น เป็นการประท้วงทางการเมือง แต่หลายคนคิดว่าเป็นเพราะเขาสิ้นหวังในชีวิต เพราะสำหรับคนอายุเฉียด 50 อย่างเขา การอยู่ในคุกนาน 20 ปีก็เหมือนกับคำสั่งประหาร
แต่พระเจ้าคงไม่อยากให้เขาตายในคุกเวียตนาม ปี 1997 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก เวียตนามก็โดนหางเลขไปด้วย ในระยะต่อมารัฐบาลเวียตนาม จำเป็นต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากภายนอก และรัฐบาลสหรัฐฯก็ยื่นมือเข้ามา แต่ความช่วยเหลือดังกล่าวมีข้อแลกเปลี่ยน เวียตนามต้องปล่อยตัวนักโทษการเมือง 5 คนออกมาจากคุก และส่งพวกเขาออกนอกประเทศ หนึ่งในนั้นคือ ลีถง ตอนนั้นเขาอยู่ในคุกเป็นนานถึง 6 ปี
เมื่อเขาเดินทางกลับสหรัฐฯ ชุมชนชาวเวียตนามลี้ภัยในฟิลาเดลเฟียใต้ได้จัดงานต้อนรับวีระบุรุษของเขา ลีถงเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผู้ฟังหลายร้อยคนฟัง และก็กลายเป็นวีระบุรุษของคนเหล่านั้นไปแล้ว แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วการกระทำของลีถง ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงเวียตนามจากรัฐคอมมิวนิสต์เลยสักนิด ระบบเศรษฐกิจเสรีที่ก้าวเข้าไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคงต่างหากที่ค่อยๆ กันเซาะระบบการปกครองแบบสังคมนิยมทีละน้อย และการกระทำของลีถง ก็สั่นสะเทือนความสัมพันธ์ ระหว่างอเมริกากับเวียตนามมิใช่น้อย
แม็คดูกัลได้คุยกับคนที่เข้าฟังลีถงเล่าประสบการณ์ของเขาหลายคน เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมลีถงจึงกลายเป็นวีระบุรุษในสายตาเวียตนามนัก เพราะการจี้เครื่องบินเอาใบปลิวไปทิ้งที่ประเทศคอมมิวนิสต์น่าจะเป็นการกระทำของคนสติไม่ค่อยดีเสียมากกว่า
เวียตนามนั้นได้ผ่านการต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่ามากมาเนิ่นนาน เป็นการต่อสู้ที่ขมขื่น ยากเข็ญ และมองไม่เห็นทางที่จะเอาชนะได้ นับพันปีที่ชาวเวียตนามได้ต่อสู้กับอภิมหาอำนาจ อย่างจีนเพื่อเอกราช หลังจากนั้นก็ต่อสู้กับฝรั่งเศส และท้ายที่สุดก็กับคอมมิวนิสต์ (ถ้าเป็นพวกเวียตกงก็จะบอกว่าท้ายสุดก็คือสหรัฐ...) วีระบุรุษในตำนานของพวกเขา ไม่ได้เป็นคนที่ได้รับชัยชนะ แต่เป็นคนที่ต่อสู้กับสิ่งยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถจะชนะได้ และทุ่มเทตัวเองจนตัวตายนั่นแหละ คือคนกล้าที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง
สิ่งนี้ไม่เพียงจะอธิบายว่าทำไมลีถงจึงได้รับการยกย่องมากมาย หากแต่ยังอธิบายถึงการตัดสินใจที่บ้าบิ่นของลีถงอีกด้วย... ตำนานแห่งผู้แพ้ที่ไม่ยอมพ่ายต่อชะตา คงเป็นแรงขับส่วนหนึ่ง ที่ทำให้อินทรีดำปฏิบัติการในสิ่งที่ดูเหมือนไร้สติอย่างสิ้นเชิง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย