13 ต.ค. 2021 เวลา 12:00 • ธุรกิจ
จากคนที่เป็นโรคโปลิโอตั้งแต่เด็ก สู่ผู้ก่อตั้ง Mars บริษัทขนมหวานที่ใหญ่สุดในโลก
1
Mars, Incorporated เจ้าของแบรนด์ขนมหวาน M&M's, Dove, Snickers, Twix, Mars, 3 Musketeers และอื่น ๆ มากกว่า 10 แบรนด์
เป็นบริษัทขนมหวานที่ใหญ่สุดในโลก โดยในปี 2020 บริษัทสามารถทำรายได้จากธุรกิจขนมหวาน ได้กว่า 669,000 ล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับที่ 1 ของโลก
ตามหลังมาด้วยบริษัทคู่แข่งเบอร์ 2 อย่าง Ferrero Group ที่มีรายได้จากธุรกิจขนมหวาน 453,900 ล้านบาท
และเบอร์ 3 อย่าง Mondelez International ที่มีรายได้ฯ 383,700 ล้านบาท
 
จะเห็นว่า Mars ค่อนข้างจะทิ้งห่างคู่แข่งไปพอสมควรในแง่ของรายได้
ที่สำคัญ Mars, Incorporated ยังไม่ได้มีแค่ธุรกิจขนมหวาน แต่ยังทำธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงอีกด้วย ทั้งแบรนด์ Pedigree, Whiskas และ Cesar ต่างก็มี Mars เป็นเจ้าของทั้งนั้น..
แต่รู้ไหมว่า อาณาจักร Mars อันยิ่งใหญ่นี้ ก่อตั้งมาโดยคนที่มีชีวิตยากลำบากกว่าใคร ๆ เพราะเขาเป็นโรคโปลิโอมาตั้งแต่เด็ก ๆ
แล้วจุดเริ่มต้นของเรื่องราว เป็นมาอย่างไร และเส้นทางธุรกิจของ Mars นี้ ยาวไกลแค่ไหน ?
การจะได้คำตอบนี้ ต้องย้อนความผ่านตัวหนังสือ ไปเมื่อตอนปี ค.ศ. 1883
ซึ่งเป็นปีที่คุณ Franklin C. Mars ลืมตาขึ้นมาดูโลก..
เดิมที Franklin เกิดมาพร้อมกับโรคโปลิโอตั้งแต่เด็ก ทำให้มีชีวิตที่ยากลำบากกว่าเด็กทั่วไป แถมโรคนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้เขาไม่สามารถไปโรงเรียนเหมือนกับคนอื่น ๆ ได้
เมื่อไม่ได้ไปโรงเรียน เวลาส่วนใหญ่ของคุณ Franklin จึงอยู่ที่บ้านกับแม่ รวมถึงใช้เวลาอยู่ในครัวด้วยกัน
ซึ่งคุณแม่ของเขา ก็ได้สอนให้เขาหัดทำช็อกโกแลตแบบ Hand Dipped
และนั่นก็เป็นตัวจุดประกายในใจเล็ก ๆ ให้คุณ Franklin มีความคิดอยากทำธุรกิจเกี่ยวกับขนม
จนในปี 1911 หรือ 110 ปีที่แล้ว
คุณ Franklin ได้ตั้งโรงงาน “Mars Candy Factory” ขึ้นมา ในเมืองทาโคมา, วอชิงตัน
เพื่อผลิตและจำหน่ายลูกกวาดในลักษณะขายส่ง
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ด้านบริหาร แถมยังมีคู่แข่งในตลาดเดียวกันที่แข็งแกร่งกว่า อย่าง “Brown & Haley” ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในเมืองทาโคมา เช่นเดียวกัน
ทำให้ธุรกิจของคุณ Franklin ต้องล้มเหลว โดนเจ้าหนี้ยึดทรัพย์ และปิดกิจการไป
สุดท้ายแล้ว คุณ Franklin เหลือเงินติดตัวไม่ถึง 400 ดอลลาร์สหรัฐ เขาจึงตัดสินใจพาครอบครัว ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองมินนีแอโพลิส, มินนิโซตา (เป็นรัฐบ้านเกิดของคุณ Franklin)
และเริ่มต้นธุรกิจใหม่อีกครั้ง ด้วยการก่อตั้งบริษัท Mar-O-Bar ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น Mars, Incorporated ในภายหลัง
แต่การกลับมายังสังเวียนธุรกิจรอบนี้ของคุณ Franklin ไม่ซ้ำรอยเดิม
เพราะในปี 1923 เขาไปเปิดตัวสินค้าที่เป็นดั่งพระเอกขี่ม้าขาว อย่างช็อกโกแลตผสมนมแบบแท่ง “Milky Way” ที่ได้ไอเดียมาจากลูกชายของเขาที่ชื่อว่า Forrest E. Mars
ซึ่ง Forrest ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก มิลค์เชก ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในขณะนั้นอีกทีหนึ่ง มาคิดต่อยอดเป็นช็อกโกแลตแท่ง
ซึ่ง Milky Way นอกจากจะฮิตติดตลาดอย่างรวดเร็วแล้ว ยังช่วยทำให้ยอดขายของบริษัท Mars ในปีนั้น เพิ่มขึ้นกว่า 11 เท่าตัว ภายในปีเดียว
1
ด้วยสินค้าที่ครองใจผู้บริโภคและผลประกอบการที่ดีขึ้น ทำให้บริษัทสามารถดำเนินธุรกิจมาต่อเนื่องได้หลายปี และสามารถคิดค้นเพื่อขยายสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจต่อไป
โดยต่อมาในปี 1930 ทางบริษัทก็ได้เปิดตัวอีกสินค้าไฮไลต์ “Snickers” ขนมช็อกโกแลตที่เรารู้จักกันดี
และในปี 1932 เปิดตัว “3 Musketeers” ออกสู่ตลาดในสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง 2 สินค้าก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องเดากัน
อย่างไรก็ดี แม้ภายนอกธุรกิจเหมือนจะไปได้สวย แต่ภายใน กลับเกิดรอยร้าวระหว่างครอบครัวขึ้น
เนื่องจากคุณ Forrest ที่เป็นลูก ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารธุรกิจของคุณ Franklin ที่เป็นพ่อ ในหลาย ๆ เรื่อง และมีวิสัยทัศน์ต่ออนาคตของบริษัทไม่เหมือนกัน
1
คุณ Forrest จึงตัดสินใจแยกทางกับคุณพ่อ และกำเงิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ เดินทางออกจากสหรัฐฯ ไปยังอังกฤษ ในปี 1932
เพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ด้วยการก่อตั้งโรงงานขนาดเล็ก ๆ และบริษัท Mars Limited
ซึ่งสินค้าที่คุณ Forrest คิดค้นขึ้นมากับมือ และได้สร้างชื่อให้กับบริษัทได้แจ้งเกิดในอังกฤษ ก็คือช็อกโกแลตแท่ง “Mars Bar”
แต่คุณ Forrest ไม่ได้มองแค่ธุรกิจขนมเท่านั้น แต่ยังเห็นช่องทางและโอกาสทางธุรกิจในตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงอีกด้วย
เนื่องจากในสมัยนั้นคู่แข่งในตลาดนี้ยังมีไม่มาก แถมตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว
เขาจึงเข้าสู่ธุรกิจอาหารสัตว์ ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Chappell Brothers ผู้ผลิตอาหารสุนัขกระป๋อง “Chappie” ในปี 1935
1
หลังจากนั้นบริษัทก็ได้ขยายพอร์ตสินค้าและเปิดตัวอาหารสัตว์อีกหลากหลายแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น Pedigree, Whiskas, Eukanuba, Lams, Royal Canin และ Nutro เป็นต้น
ในส่วนของธุรกิจขนมหวานเอง คุณ Forrest ก็ไม่หยุดที่จะสร้างสินค้าใหม่ ๆ ออกสู่ตลาดเช่นกัน
โดยในปี 1940 เขาได้เดินทางกลับไปประเทศบ้านเกิด และก่อตั้งบริษัท M&M Limited ขึ้นในสหรัฐฯ
เพื่อผลิตขนมในตำนานอย่าง ขนมช็อกโกแลตเม็ด M&M’s วางขายในสหรัฐฯ ในปีต่อมา
1
ซึ่งในช่วงแรก ๆ M&M’s มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือ ทหารอเมริกัน
โดยการคิดค้น M&M’s ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเห็นทหารอังกฤษ กินช็อกโกแลตที่เคลือบน้ำตาล เพื่อป้องกันการละลายจากอากาศร้อน ๆ
ซึ่งสินค้าในลักษณะนี้ น่าจะตอบโจทย์ทหารอเมริกัน ที่ประสบปัญหาช็อกโกแลตที่พกติดตัว มักละลายก่อนจะได้กิน
1
M&M’s จึงออกแบบมาเพื่อให้มีจุดขายในเรื่องของความสะดวกในการพกพา และไม่ละลายท่ามกลางอากาศร้อน เหมือนช็อกโกแลตชนิดอื่น ๆ
และมากับสโลแกน “ละลายในปาก แต่ไม่ละลายในมือ” เพื่อสื่อถึงจุดเด่นของสินค้านั่นเอง
1
ทั้งนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วชื่อ M&M’s ย่อมาจากอะไร ?
จริง ๆ แล้วชื่อแบรนด์นี้ ย่อมาจาก M สองตัว
M ตัวแรก ย่อมาจากชื่อของคุณ Forrest E. Mars
M ตัวที่สอง ย่อมาจากชื่อของคุณ Bruce Murrie ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของคุณ Forrest ในการก่อตั้ง M&M Limited ในสหรัฐฯ
โดยคุณ Bruce Murrie เป็นทายาทของประธานบริษัทช็อกโกแลตยักษ์ใหญ่ “Hershey” ในขณะนั้น
แต่ต่อมาคุณ Bruce ก็แยกตัวออกมาจากธุรกิจ ทำให้คุณ Forrest นำบริษัท M&M Limited มาอยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Mars Limited
ถึงตอนนี้ คุณ Forrest ก็มีบริษัทที่มั่นคงและธุรกิจกำลังไปได้สวย อยู่ทั้งในอังกฤษและสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี เรื่องราวอาณาจักรของ Mars ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
เพราะหลังจากที่คุณพ่อของเขาได้เสียชีวิตลงไป และธุรกิจ Mars, Incorporated ได้ถูกส่งต่อไปให้ญาติพี่น้องของเขาบริหารอยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยมีใครทุ่มเทให้กับธุรกิจอย่างเต็มที่ บวกกับการบริหารงานที่ผิดพลาด
ทำให้บริษัทประสบปัญหา และผลการดำเนินงานเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ
ซึ่งคุณ Forrest มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถพลิกฟื้นธุรกิจที่คุณพ่อสร้างมากับมือได้
จึงทำการเข้าซื้อหุ้นคืนจากญาติพี่น้องและนักลงทุนรายอื่น ๆ
เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจเพียงพอที่จะบริหารบริษัท และสามารถกำหนดทิศทางของบริษัทในอนาคต ได้อย่างเต็มที่
จนในที่สุด ด้วยฝีมือและวิสัยทัศน์ของคุณ Forrest ก็สามารถทำให้ธุรกิจกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง
แถมยังทำให้ธุรกิจที่ตัวเขาเองและพ่อของเขาก่อตั้งขึ้นมา สามารถอยู่ภายใต้ร่มคันเดียวกัน นั่นคือ Mars, Incorporated ได้อย่างสมบูรณ์
ปัจจุบัน Mars, Incorporated เป็นบริษัทเอกชน (ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น) ที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก
ประกอบธุรกิจขนมหวาน, อาหารสัตว์, ผลิตภัณฑ์อาหาร และอื่น ๆ ภายใต้หลากหลายแบรนด์
1
โดยในปี 2020 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,240,600 ล้านบาท
ดำเนินธุรกิจใน 80 ประเทศ และมีพนักงานกว่า 130,000 คนทั่วโลก
1
และความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร Mars นี้เอง
ทำให้ตระกูล Mars ถูกจัดอันดับให้เป็นตระกูลที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของโลก
ด้วยทรัพย์สินรวมมูลค่ากว่า 4.8 ล้านล้านบาท
(ไม่นับรวมมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมาด้วยตัวคนเดียว เช่น เจฟฟ์ เบโซส)
1
และเป็นรองเพียงตระกูล Walton (เจ้าของธุรกิจค้าปลีก Walmart) เท่านั้น ซึ่งมีทรัพย์สินรวมมูลค่า 8.0 ล้านล้านบาท
เรื่องราวของอาณาจักร Mars
ที่มี Franklin C. Mars เป็นผู้บุกเบิก
และมี Forrest E. Mars เป็นผู้ปลุกปั้น
นอกจากจะทำให้เข้าใจเบื้องหลังความเป็นมาของธุรกิจแล้ว
ยังทำให้เราลองคิดเล่น ๆ ได้อีกด้วยว่า
ถ้าวันนั้น คุณ Forrest ไม่ขัดแย้งกับคุณ Franklin แล้วเดินทางไปอังกฤษ
วันนี้ อาณาจักร Mars จะเป็นอย่างไร
จะยิ่งใหญ่กว่า หรือเล็กกว่าในตอนนี้
แล้วแบรนด์ช็อกโกแลตเม็ด M&M’s รวมถึงแบรนด์อาหารสัตว์ต่าง ๆ ของบริษัท ที่แจ้งเกิดในอังกฤษ
จะได้ลืมตาดูโลก ให้ทุกคนได้รู้จักเหมือนอย่างตอนนี้หรือไม่
ถึงแม้เราจะไม่รู้เรื่องราวในอีกเส้นทางหนึ่งของโลกคู่ขนาน
แต่อย่างน้อย ตอนนี้ โลกนี้ เราก็มั่นใจได้ว่า บริษัทขนมหวานที่ใหญ่สุดในโลก ก็คือ Mars นั่นเอง..
โฆษณา