15 ต.ค. 2021 เวลา 06:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 8-10 ตุลาคม 2564: ‘No Time to Die’ เปิดตัวอันดับ 1 ตามคาด ด้วยตัวเลขไม่เหนือความคาดหมาย 62 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
รายงานหนังทำเงินในอเมริกาเหนือ 8-10 ตุลาคม 2564 จากวาไรตี้ - ‘No Time to Die’ หนังบอนด์เรื่องใหม่ เปิดตัวด้วยรายได้ถึง 62.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 4,407 จอในอเมริกาเหนือ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับความคาดหมาย ที่มองว่าหนังน่าจะเปิดตัวด้วยตัวเลขรายได้ราว ๆ 60-70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณว่า หนึ่งหนังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของโลกภาพยนตร์เรื่องนี้ ยังมีพลังในตัวสำหรับผู้ชม โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องเจอกับการระบาดของโควิด-19 แบบนี้ แล้วยังได้กระแสวิจารณ์ที่ดี รวมไปถึงการเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของแดเนียล เคร็ก ที่จะมารับบทเป็นสายลับรายนี้
หากมองถึงอนาคตของ ‘No Time to Die’ ก็ต้องบอกว่ายังไม่ชัดเจนนัก เพราะในยุคสมัยของโรคระบาดแบบนี้ ตัวเลขเปิดตัวของหนังอาจจะถือว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะกับหนังทั่ว ๆ ไป แต่ ‘No Time to Die’ ไม่ใช่ เพราะหนังใช้ทุนสร้างมากถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยที่ยังไม่นับว่า มีการเทงบการตลาดลงไปอีกไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน บวกกับอีกไม่น้อยที่ต้องใส่เพิ่ม เพราะการเลื่อนฉายจากกำหนดเดิมเมษายน 2020 ก่อนที่โรคระบาดจะทำให้ต้องเปลี่ยนแผน มองกันแบบเซฟ ๆ ‘No Time to Die’ ต้องทำรายได้อย่างน้อย 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั่วโลกจากโรงภาพยนตร์เพื่อให้คุ้มทุน และกับการเป็นหนังบอนด์ ทำให้มีคู่ค้าทางการตลาดเข้ามาแจมมากมาย เช่น โรเล็กซ์, แอสตัน มาร์ติน, โคคาโคลา ฯลฯ ที่พอลดความสูญเสียลงไปได้บ้าง
ยอดขายตั๋วของหนังในต่างประเทศ ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการทำกำไรของหนัง และรายได้นอกอเมริกาเหนือก็ออกมาดี เพราะทำเงินไปถึง 145 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 313 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ โดยที่ยังไม่เปิดตัวในจีน ตลาดที่บอนด์เป็นที่รักอย่างมาก ซึ่งผู้กำกับ แครี โจจิ ฟูกูนากะ กับดารานำ ลีอา เซย์ดูกซ์, รามี มาเล็ก และอะนา เดอ อาร์มาส จะมาปรากฏตัวในรอบปฐมทัศน์ที่จีน 29 ตุลาคมนี้ด้วย
ในตลาดอเมริกา ‘No Time to Die’ ออกตัวได้แย่กว่า ‘Spectre’ หนังเรื่องล่าสุดเมื่อปี 2015 ซึ่งทำรายได้ไป 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และ ‘Skyfall’ เมื่อปี 2012 ที่ทำไว้ 88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ยังเป็นหนังทำเงินสูงสุดในชุด สาเหตุที่หนังทำรายได้น้อยกว่าหนังเรื่องก่อน ๆ ก็มีหลาย ๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมกลุ่มกลุ่มเป้าหมายของหนังที่เป็นกลุ่มผู้ใหญ่ ลังเลที่จะกลับเข้าโรง, ความยาวที่มากถึง 2 ชั่วโมง 45 นาที ก็จำกัดรอบฉายต่อวันของหนัง แถมยังเป็นหนังบิกเรื่องแรกที่มีคู่แข่งเปิดตัวใกล้ ๆ กันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เมื่อหนังออกตัวหลัง ‘Venom: Let There Be Carnage’ แค่สัปดาห์เดียว และการที่หนังยังทำเงินอยู่ ก็ดึงรายได้ของบอนด์ให้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
สำหรับอันดับ 2 ก็ไม่ใช่ใครอื่น ‘Venom: Let There Be Carnage’ ที่ทำรายได้อีก 35.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่ารายได้ของหนังหลาย ๆ เรื่องทำได้ตลอดโปรแกรมในช่วงโรคระบาดด้วยซ้ำ ตอนนี้หนังทำรายได้รวมไปแล้ว 145.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอเมริกาเหนือ ส่วนรายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 185 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
กับการที่บอนด์เป็นหนังที่พุ่งเป้าไปที่ผู้ชมอายุมาก ทำให้นักวิเคราะห์ยังมองว่า ‘No Time to Die’ ยังมีโอกาสทำเงินอีก เพราะโดยทั่วไปแล้วผู้ชมกลุ่มนี้ ไม่ใช่คนที่จะมาดูหนังกันตั้งแต่เปิดตัวในสุดสัปดาห์แรก โดยผู้ชมของหนัง 64% เป็นเพศชาย, 57% อายุมากกว่า 35 และได้คะแนนซีนีมาสกอร์ เอ-ลบ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการฉายยาว ๆ ที่น่าสนใจก็คือ มีผู้ชมมากถึง 25% ที่เพิ่งกลับมาดูหนังในโรงครั้งแรกในรอบกว่า 18 เดือนเพื่อดูบอนด์
“ผู้ชมเป็นคนดูกลุ่มกว้าง มีทุกอายุแล้วก็มีตัวแทนครบทุกส่วน ซึ่งก็รวมไปถึงกลุ่มอายุมากกว่า 35 ซึ่งเป็นพวกที่กลับเข้าโรงหนังช้ากว่ากลุ่มอื่น” เดวิด เอ. กรอสส์ ที่ทำบริษัทให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจบันเทิงกล่าว “ถ้ามีอะไรเป็นอุปสรรคทำให้หนังทำไม่สามารถทำรายได้มากกว่าที่ควรจะเป็น ก็คงเพราพการที่คนดูอายุน้อย ๆ ไม่สนใจหนังชุดนี้สักเท่าไหร่”
ตามมาห่าง ๆ ในอันดับ 3 คือ ‘The Addams Family 2’ ที่ทำรายได้อีก 11.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้รายได้ในอเมริกาเหนือเพิ่มเป็น 32.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยหนังเริ่มเปิดให้ชมในบริการหนังตามสั่งแล้ว
หนังซูเปอร์ฮีโร ‘Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings’ อยู่ในอันดับ 4 ทำเงินอีก 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการฉายในสัปดาห์ที่ 6 หนังทำรายได้รวมทั่วโลกผ่าน 400 ล้านแล้ว มากพอจะเป็นหนังทำเงินทั่วโลกอันดับ 6 ของปีนี้ โดยเป็นรายได้ในอเมริกาเหนือ 213.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่มากกว่ารายได้ของหนังเรื่องไหน ๆ ทำได้ในปีนี้
‘The Many Saints of Newark’ หนังตอนก่อนของซีรีส์ ‘The Sopranos’ ยังอยู่ในท็อปไฟว์ เมื่อเก็บเงินมาได้แบบแผ่ว ๆ 1.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการฉายในสัปดาห์ที่สอง รายได้รวมของหนังที่ฉายโรงพร้อมลงเอชบีโอ แม็กซ์ อยู่ที่ 7.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งห่างไกลจากทุนสร้าง 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหลือเกิน
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos และ www.blockdit.com/sadaos
#MovieStory หนังฉบับผู้กำกับเคยเป็นแค่กลยุทธ์การตลาด จนยุค 70s ก็ถือเป็นเรื่องเหตุผลทางศิลปะ เมื่อ ‘The Wild Bunch’ ฉบับผู้กำกับออกฉาย โดยใส่ฉากที่ถูกตัดออกเพื่อหนีเรตอาร์เข้ามายาวกว่าต้นฉบับถึง 10 นาที แต่ไม่ใช่หนังทุกเรื่องจะมีฉบับผู้กำกับ และบางเรื่องก็ต้องใช้เวลาเป็นทศวรรษ กว่าจะมีออกมา และนี่คือหนังฉบับผู้กำกับ 10 เรื่อง ที่ได้ชื่อว่า ‘เยี่ยม’ อ่านกันได้ที่นี่ >

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา