15 ต.ค. 2021 เวลา 14:37 • ประวัติศาสตร์
จริง ๆ แล้วพม่าไม่ได้เผากรุงศรีอยุธยา ??
เวลาพูดถึงเรื่องของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์นั้นมีอยู่หลายเหตุการณ์ที่สำคัญ แต่จะมีบางเหตุการณ์ที่ใช้คำว่าคนไทยทุกคนต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี ถ้ายกตัวอย่างก็คงจะเป็นเหตุการณ์ของพระนเรศวรมหาราช ที่ทำศึกยุทธหัตถีกับพม่าจนสามารถเอาชนะได้ด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง ด้วยกำลังพลที่น้อยกว่า และสามารถปกป้องกรุงไว้ได้นั่นเอง ซึ่งเหตุการณ์ที่กล่าวมานั้นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
แต่จะมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งเหตุการณ์นั้นก็คือการเสียเมือง หรือกรุงศรีอยุธยาที่แตกพ่ายนั่นเอง
ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเรื่องของกรุงศรีอยุธยาให้เข้าใจกันง่าย ๆ ตามที่เราเรียนมาจากห้องเรียน หรือตามที่รู้จักกันมาในหน้าหนังสือ ก็จะรู้ว่าสาเหตุที่กรุงแตก ณ เวลานั้น เนื่องจากว่าพม่าได้บุกเข้ามาโอบล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ และทำการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงมาก ประจวบเหมาะกับเวลานั้นเอง พระเจ้าเอกทัศน์ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองนี้อยู่ เป็นคนที่บริหารเมืองได้ค่อนข้างที่จะล้มเหลวมาก ๆ เวลาจะออกรบหรือทำอะไรก็ต้องมีการแจ้ง มีการรายงานจากทหาร หรือมีคำยืนยันจากพระเจ้าเอกทัศน์เท่านั้น แม้แต่การยิงปืนใหญ่แค่นัดเดียวเพื่อปกป้องเมือง ทหารยังต้องรีบมาขอพระเจ้าเอกทัศน์ ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์เอาแต่สนใจผู้หญิงและปรนเปรอตนเองอยู่ตลอดเวลา จนเป็นเหตุให้กรุงศรีอยุธยาถูกตีแตก ถูกขโมยทอง และหลอมไปหุ้มเป็นเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง
ซึ่งส่วนใหญ่เราก็จะเรียนตามหน้าประวัติศาสตร์หรือตามหนังสือกันมาประมาณนี้ แต่ถ้าลองเจาะลึกหาข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ ตามที่มีบันทึกไว้ อาจจะเปลี่ยนแนวคิดจากที่เราเคยเรียนในหนังสือมาเป็นอีกแนวคิดนึงเลยก็เป็นได้ ข้อมูลตรงนี้ค่อนข้างใช้คำว่าหลักฐานต่าง ๆ บ่งบอกถึงเรื่องของพระเจ้าเอกทัศน์ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เจดีย์ชเวดากองที่หุ้มด้วยทองคำก็อาจจะไม่ใช่ทองที่มาจากกรุงศรีอยุธยา หรือแม้แต่คนที่เผาบ้างเมืองจนราบเป็นหน้ากลองก็อาจจะไม่ใช่คนของประเทศพม่า หลักฐานยืนยันมาจากพงศาวดารจากคำบอกเล่าของลูกหลานของทหารพม่าที่เคยสู้รบในขณะนั้น โดยข้อมูลเหล่านี้ต่างบ่งบอกว่าอยุธยาเปรียบเสมือนเมืองคนบิน ซึ่งเมืองคนบินที่คนพม่าพูดถึงก็คือเรื่องเล่าปรัมปราของพม่าในสมัยนั้น ที่ว่ากันว่าเมืองนี้เป็นเมืองที่ตีเท่าไหร่ก็ไม่แตก ยึดเท่าไรก็ยึดไม่ได้ เพราะเมื่อเข้าไปตีนั้นชาวเมืองจะสามารถหนีไปได้ตลอด
ซึ่งถ้าคิดดูแล้วก็จะมีบางคนที่ตั้งคำถาม คือเรื่องราวนี้แตกต่างจากพงศาวดารไทยอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้เหมือนกับสิ่งที่เรียนมาเลย แต่หลักฐานของพม่าเป็นพงศาวดารเก่าแก่ ตามหลักการตรวจสอบแล้วเป็นพงศาวดารที่มีตั้งแต่สมัยช่วงสงครามที่ตีกับอยุธยาเลย แต่พงศาวดารไทยถูกเขียนขึ้นมาในช่วงของต้นกรุงธนบุรีเท่านั้น หรือถ้าพูดง่าย ๆ ก็คือหลังจากที่มีการตีกรุงกลับมาจากฝีมือของพระเจ้าตากสินนั่นเอง
ซึ่งถ้าลองหาข้อมูลเกี่ยวกับพงศาวดารของพม่า จะรู้ว่าพระเจ้าเอกทัศน์ไม่ได้อ่อนแอ หรือไม่ได้ปกครองเมืองด้อยแต่อย่างใด เพราะพระเจ้าเอกทัศน์สามารถปกป้องเมืองอยุธยาจากการโจมตีหรือจากการล้อมของพม่าได้ยาวนานถึง 1ปี 2เดือน ซึ่งถือว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก และถ้าพูดถึงหลักความเป็นจริงแล้ว ตลอดระยะเวลา 1ปี กับอีกสองเดือน ถ้าพระเจ้าเอกทัศน์ไม่เก่งจริง ไม่ชำนาญจริง ก็คงปกป้องไว้ไม่ได้ เพราะข้อมูลอีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันนั่นก็คือ หลังจากที่ปกป้องมาได้ยาวนานขนาดนี้ พม่าได้ใช้เวลาในการรวบรวมกำลังพลครั้งสุดท้ายเพียงแค่หนึ่งเดือน ล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ก็สามารถตีกรุงศรีแตกได้แล้ว ซึ่งตรงนี้ก็ประจวบเหมาะกับไทม์ไลน์ที่พระเจ้าเอกทัศน์กำลังลงจากบัลลังก์พอดี ก็เลยเชื่อกันว่าจริง ๆ แล้วพระเจ้าเอกทัศน์นั้นเป็นเพียงแพะที่ไว้ใช้รับบาปจากเหตุการณ์ครั้งนี้เท่านั้น
ซึ่งตรงนี้ก็ยังมีข้อมูลยืนยันอีกว่าทำไมพระเจ้าเอกทัศน์ถึงต้องเป็นแพะในการรับบาปครั้งนี้ ตามข้อมูลบอกว่าหลังจากที่พระเจ้าตากสินได้ตีกรุงกลับมาได้จากพม่า ในขณะนั้นเองกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองที่ใช้คำว่าล้มเหลวในทุก ๆ ด้านเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นระบบการปกครอง ระบบกฏหมาย ไม่สามารถดูแลพลเมืองได้เลย และไม่สามารถคุมฝูงชนหรือกำกับคนได้เลยก็ว่าได้
1
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าในเวลานั้นเองบุคคลชั้นสูงจึงต้องหาแพะรับบาปเพิ่อที่จะปลุกปั่นกระแสชาตินิยมให้คนไทยกลับมารักกันเอง และสร้างเรื่องขึ้นมาว่าจริง ๆ แล้วที่กรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายเพราะพระเจ้าเอกทัศน์นั้นเอาแต่สนใจผู้หญิง ไม่สนใจทางการรบและบ้านเมืองนั่นเอง และนี่ก็คือทฤษฎีที่หาข้อมูลมาได้ และคิดว่าน่าจะเป็นจริงจากหน้าประวัติศาสตร์นั่นเอง แต่ก็ยังคงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น เราไม่สามารถยืนยันได้เลยว่าเหตุการณ์ในหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรมาบ้าง และสิ่ง ๆ นี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นแบบในหนังสือเท่านั้น
และส่วนเรื่องต่อมาที่อยู่ในไทม์ไลน์เดียวกับการที่กรุงศรีแตก นั่นก็คือเรื่องของทองคำที่ถูกขโมยไป ถูกเอาไปหุ้มเป็นเจดีย์ชเวดากองนั้นเป็นจริงหรือไม่ ตามข้อมูลที่ได้มาบอกเลยว่าไม่ใช่ความจริงเลย ถ้ามองตามหลักข้อมูลที่หามาได้คือพม่าในเวลานั้น หลังจากที่สามารถตีกรุงศรีแตกได้ เขาก็อยู่ในกรุงศรีเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ ถ้าให้คาดการณ์ก็น่าจะ 3-4 สัปดาห์ หรือประมาณไม่ถึงเดือนเท่านั้น ซึ่งในระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้น เขาจำเป็นต้องรีบกลับไปที่พม่าอย่างเร่งด่วน เพราะเวลานั้นเองเขากำลังทำสงครามกับจีนอยู่ เลยจำเป็นต้องพึ่งกำลังพลเป็นจำนวนมาก
และเวลานั้นเองในการสู้รบ เขาไม่ได้ต้องการเงินทอง หรือสิ่งประดับ เพื่อเป็นของกำนัล แต่เขารบเพื่อเอากำลังพลและชื่อเสียงเท่านั้น และสามารถหยิบสมบัติติดไม้ติดมือไปได้ไม่ว่าจะเป็น แก้ว แหวน เงินทอง ที่อยู่ในพระราชวัง ก็นำกลับไปได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้นแล้วแทบเป็นไปไม่ได้เลยว่าในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขาจะสามารถหลอมทองจากพระพุทธรูปแล้วขนกลับไปได้ ค่อนข้างขัดกับความเป็นจริงมาก
และอีกหนึ่งเรื่องที่เป็นเรื่องของความเชื่อ พูดไว้ให้คิดนั่นก็คือ ทางพม่าเชื่อกันว่าทองที่หุ้มเจดีย์ชเวดากองจะต้องเป็นทองที่บริสุทธิ์ ถ้าเป็นทองที่มาจากการขโมย การปล้น หรือการสู้รบ มันเป็นทองที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว และเป็นทองที่ใช้คำว่าค่อนข้างที่จะมืดมน ฉะนั้นแล้วแทบเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอาทองที่ปล้นมาได้ไปหลอมเป็นเจดีย์ชเวดากองนั่นเอง ซึ่งนี่ก็คือหลักฐานและแนวความเป็นจริงที่เชื่อกันว่าพม่าไม่ได้เป็นคนที่เผากรุงศรีให้ราบ และไม่ได้ขโมยทองไปนั่นเอง
หลายคนคงจะตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเผากรุงศรีอยุธยา และใครเป็นคนขโมยทอง ถ้าลองมองตามหลักความเป็นจริง ถ้าสมมติว่าทุกคนเป็นคนที่อยู่ในกรุงศรี ตอนนั้นเมืองแตกไม่มีกฎหมาย ไม่มีการคุ้มครอง ไม่มีข้าวไม่มีอาหาร ทุกคนจะทำอย่างไรถ้าอยากมีชีวิตอยู่รอด นั่นก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของกฏหมาย และเอาชีวิตรอดนั่นเอง
ในเวลานั้นเองหลังจากที่กรุงแตกแล้ว ชาวกรุงศรีหรือชาวจีนที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเขาก็ต้องการเอาชีวิตรอด สิ่งที่ทำได้นั่นก็คือการไปปล้นของในวัด ไม่ว่าจะเป็นทอง เงิน หรือสิ่งอุปโภคบริโภคต่าง ๆ เลยเป็นสิ่งที่สนับสนุนทฤษฎีที่ว่าพม่าไม่ได้เป็นคนขโมยทองจากพระพุทธรูปไป แต่คนที่ขโมยคือคนของกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
และจะมีนักทฤษฎี หรือหลายๆคนอาจจะคิดต่างไปจากนี้ว่ามีหลักฐานอะไรมายืนยันเรื่องนี้ หลักฐานข้อแรกเลยคือข่าวที่มีการยืนยันจากนักประวัติศาสตร์นั่นเอง คือการไปสำรวจพื้นที่ของบริเวณอนุสรณ์สถานของกรุงศรีอยุธยาและขุดไปใต้ดิน กลับพบว่าใต้ดินนั้นไม่ได้มีความร้อนหรือการวางเพลิง หรือหลักฐานที่บอกว่าอยุธยาถูกเผาไหม้จนราบเป็นหน้ากลอง ถูกขโมยทอง และทุกสิ่งทุกอย่างไป และไม่ได้มีห้องลับใต้ดินไว้สำหรับหลบหนีไฟเลย
ตรงนี้เป็นหนึ่งอย่างที่ทำให้หลาย ๆ คนเชื่อว่าจริง ๆ แล้ว กรุงศรีอยุธยาในตอนนั้นอาจจะไม่ได้ถูกเผาก็เป็นได้ แต่สิ่งที่เขาพบกลับเป็นหลุมต่าง ๆ ที่มีการถูกขุดเจาะ เศษทองแดง ที่อยู่บริเวณรอบกรุงศรีอยุธยาทั้งหมดเลย ซึ่งตรงนี้นักทฤษฎีได้คาดการณ์ว่า ณ เวลานั้นเองหลังจากที่ชาวกรุงศรีได้ขโมยทองจากพระพุทธรูปมาแล้ว ก็ต้องเอามาหลอม พอหลอมแล้วก็เกิดเป็นเศษทองแดง เศษตะกั่ว จนสามารถนำไปจับจ่ายใช้สอยหรือเอาไปแลกเงินได้ หรือแม้แต่เรื่องของหลุมต่าง ๆ ที่ถูกขุดนั้นก็คิดว่าในสมัยก่อน คนยุคนั้นมักจะเอาสมบัติหรืออะไรก็แล้วแต่ ขุดและฝังไว้ในหลุม เลยมีร่องรอยของการขุดและมีชั้นดินที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาตินั่นเอง
และทั้งสองอย่างนี้ทำให้กลายเป็นทฤษฎีสมทบคิดว่าจริง ๆ แล้วกรุศรีอยุธยาอาจจะไม่ได้ถูกเผาจนวอดวายจากฝีมือของพม่า แต่หลังจากที่กรุงแตกอาจจะถูกชาวกรุงศรีและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในขณะนั้น ทำการขโมยมาประทังชีวิตนั่นเอง
โฆษณา