ท้ายที่สุด เอริคตัดสินใจลาออกจาก Nestle และหันมาเปิดบริษัทส่วนตัวที่ชื่อว่า Monodor ซึ่งยังคงผลิตกาแฟแคปซูลเหมือนเดิม แต่เขาออกแบบบรรจุภัณฑ์แบบใหม่ด้วยวัสดุที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
.
เอริคจัดการจดสิทธิบัตรกับนวัตกรรมชิ้นที่ 2 ของเขา และเสนอขายสิทธิ์ให้กับ Nestle แต่ก็ถูกปฏิเสธ เขาจึงเสนอขายลิขสิทธิ์ให้บริษัทกาแฟชื่อดังที่อื่นอย่าง Lavezza และ Migros แทน โดยเอริคตั้งเป้าไว้ว่าตลาดกาแฟแคปซูลจะเติบโตถึง 150,000 ถึง 200,000 ล้านต่อปี
.