18 ต.ค. 2021 เวลา 13:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
AI จะเปลี่ยนชีวิตเราอย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า?
1
ช่วงนี้หลายๆ คนคงจะเห็นข่าวการถือกำเนิดของ AI Influencer กันแล้ว และก็เริ่มจะรู้สึกแล้วว่าการมีอยู่ของ AI นั้นเริ่มที่จะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในชีวิตของเราทุกคนมากขึ้นเรื่อยๆ
3
ถ้าหากลองสังเกตชีวิตประจำวันของเรากันดีๆ เราจะสังเกตได้เลยว่า AI ได้เข้ามามีบทบาทในหลายๆ มุมของชีวิตเรามากกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นการท่องโลกโซเชียลมีเดีย การใช้บริการแอปพลิเคชันต่างๆ บนสมาร์ตโฟนของเรา หรือแม้แต่โลกของการทำงานของใครหลายคนก็ร่วมเอา AI มาใช้แล้วเรียบร้อย ซึ่งแม้แต่ในทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าการมีอยู่ของ AI ก็ทำให้ชีวิตของพวกเราทุกคนเปลี่ยนมาระดับหนึ่งแล้ว แม้จะไม่ได้เห็นชัดเจนก็ตาม จึงทำให้เกิดคำถามเผื่ออนาคตว่า “แล้วในอีก 20 ปีข้างหน้าล่ะ AI จะเปลี่ยนชีวิตของเราไปอีกแค่ไหนกัน?”
1
Kai Fu Lee ผู้เขียนหนังสือ “AI 2041: Ten Vision for Our Future” หนังสือที่ได้วิเคราะห์ถึงบทบาทของ AI ที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเราทุกคนอย่างไรบ้างในปี 2041 จากประสบการณ์การทำงานกว่า 4 ทศวรรษของเขาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ AI
3
จากบทความของเขาในเว็บไซต์ Time ก็ได้ชี้ว่า ในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า ความสามารถของ AI จะทวีคูณจนสามารถรู้จักและเข้าใจมนุษย์อย่างเราๆ มากกว่าที่ตัวของเรารู้จักตัวเองเสียอีก! เหล่าเว็บไซต์ แอปพลิเคชันต่างๆ ที่เราใช้จะสามารถรู้สิ่งที่เราต้องการ รู้สิ่งที่เราคิด ผ่านไม่แค่ทุกๆ คลิก ทุกๆ การกดสั่งซื้อ หรือทุกๆ การหยุดกดเหมือนทุกวันนี้ แต่ยังรวมถึงทุกๆ การกระทำ ทุกๆ การเคลื่อนไหว และทุกๆ คำพูดที่เราได้พูดออกไปอีกด้วย
4
ซึ่งในบทความนี้ เขาได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลักๆ ของชีวิตเราที่ AI จะเข้าไปสร้างความเปลี่ยนแปลง ไปดูกันเลยว่าชีวิตของเราจะต่างจากตอนนี้อย่างไรบ้าง!
3
1) แม้แต่ White Collar อาจโดนแย่งงาน
1
ในอีก 20 ปีข้างหน้า แน่นอนว่าดาต้าหรือข้อมูล จะอยู่ในรูปแบบดิจิทัลทั้งหมด ส่งเสริมให้ AI นั้นสามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในเชิงของ Decision Making และ Optimization
AI, หุ่นยนต์ และระบบอัตโนมัติ จะเข้ามาครองพื้นที่ในกระบวนการทำงานของทั้งอุตสาหกรรมการผลิต การขนส่งดิลิเวอรี การออกแบบและการทำการตลาดของสินค้าส่วนใหญ่ สิ่งที่พิเศษมากขึ้นคือการที่หุ่นยนต์เหล่านี้จะมีความครบวงจรในตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจำลองตัวเองได้เอง (Self-replicating), การซ่อมแซมตัวเอง (Self-repairing) และการออกแบบได้เอง (Self-designing) ช่วยลดการพึ่งพาจากการทำงานจากมนุษย์
5
และที่สำคัญเลยคือ ปกติเรามักจะพูดถึง Blue Collar Worker ที่จะถูกทดแทนด้วย AI แต่ใน 20 ปีข้างหน้านี้ ผู้เขียนก็ได้ระบุเช่นกันว่า White Collar Worker ที่เป็น Entry Level หรือผู้ที่ทำงาน Routine ก็อาจจะโดน AI เข้ามาทดแทนได้เช่นกัน โดยมันจะทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ช่วย’ ที่เพรียบพร้อมไปด้วยแหล่งข้อมูลมหาศาล เช่น อาจจะเข้าไปทดแทนงานในตำแหน่งที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่เป็นนักวิจัย นักกฎหมาย หรือแม้แต่นักข่าว ที่ต้องการผู้ช่วยในการจัดหาข้อมูลจำนวนมาก เพื่อเอามาต่อยอดตามหน้าที่ของแต่ละสายงาน
2
2) การปฏิวัติอุตสาหกรรมสุขภาพ
ถึงแม้ว่า AI จะเข้ามาสร้างความสั่นคลอนให้กับตลาดแรงงาน แต่ในขณะเดียวกัน การมีอยู่ของมันก็ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเราในด้านที่เกี่ยวกับ ‘สุขภาพ’
4
ในปัจจุบันเราก็เริ่มที่จะเห็นแล้วว่าการดูแลสุขภาพกำลังถูกทรานส์ฟอร์มให้มีความดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ซึ่งในอีก 20 ปีข้างหน้า ภายใต้อุตสาหกรรมสุขภาพที่เต็มไปด้วยดาต้า นวัตกรรม และเทคโนโลยี สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลนี้จะสร้างโอกาสให้อุตสาหกรรมนี้พัฒนากลายเป็นอุตสาหกรรมแบบ Data-driven หรือขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมากยิ่งขึ้น ซึ่งทางผู้เขียนก็ได้บอกไว้ว่า AI จะเข้าไป ‘ปฏิวัติ’ ทั้งห่วงโซ่ของสายสุขภาพเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ขั้นตอนของการวินิจฉัย การรักษา การมอนิเตอร์ จนไปถึงการดูแลรักษาในระยะยาว
2
นอกจากนี้ AI จะยังเข้ามาช่วยมนุษย์ในกระบวนการคิดค้นยาชนิดใหม่ๆ ขึ้นมา และด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามากในระยะยาว ก็จะช่วยให้เราเข้าถึงวิธีรักษาโรคที่หาได้ยากได้มากขึ้น โดยเฉพาะในสายของการรักษาแบบแม่นยำและจำเพาะ (Precision Medicine) ที่ AI จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเสนอการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละรายบุคคลได้ด้วยเช่นกัน
3) การคมนาคมที่ทั้งปลอดภัยและสะดวกมากยิ่งขึ้น
ในปัจจุบัน เราก็เริ่มที่จะเห็นกระแสของรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติอย่าง Tesla เข้ามาบ้างแล้ว และในแบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้ แต่ก็ยังมีข้อกังขาที่ว่ารถยนต์เหล่านี้จะปลอดภัยจริงหรือไม่?
แต่สำหรับในอีก 20 ปีข้างหน้า ทางผู้เขียนก็บอกว่า AI จะเข้ามาช่วยให้ชีวิตของผู้คนบนท้องถนนนั้นดียิ่งขึ้นผ่านการใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติที่มีความปลอดภัยมากกว่าเดิม โดยจะช่วยลดกว่า 90% ของการเสียชีวิตบนท้องถนนเลยทีเดียว
1
เขายังกล่าวอีกว่ายานพาหนะระบบขับขี่อัตโนมัตินี้จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของสมาร์ตซิตี้ ที่จะทำหน้าที่เป็นเหมือนโฮสต์ในการเชื่อมโยงรถต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยรถแต่ละคันจะสามารถสื่อสารถึงกันได้ทันทีและมีความแม่นยำที่ค่อนข้างสูง หากใครยังนึกภาพไม่ออกลองนึกว่าถ้ามีรถคันหนึ่งจู่ๆ ยางแตกขึ้นมา รถคันนี้ก็สามารถที่จะส่งสัญญาณไปยังรถคันอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ให้ระวังหรือให้อยู่ห่างๆ นั่นเอง เกิดเป็นระบบการคมนาคมที่มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นและช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝัน
2
4) เสริมประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหนือชั้น
1
การเข้ามาของ AI ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่กับเด็กๆ ด้วยเช่นกัน ทางผู้เขียนก็ได้บอกว่า AI นั้นจะเข้ามาเป็นครูผู้สอน เข้ามาเป็นผู้ให้คะแนนและตอบคำถามพื้นฐานให้แก่เด็กๆ โดยที่จะมีความแม่นยำทางด้านข้อมูลและมีความอดทนมากกว่าครูที่เป็นคนจริงๆ เสียอีก
4
โดยครู AI จะยังสามารถตรวจจับได้ว่าเมื่อสอนไปถึงตรงไหนหรือการสอนแบบไหนทำให้เปลือกตาของนักเรียนหย่อนยานจนแทบจะปิด ช่วยวิเคราะห์และปรับรูปแบบการสอนที่ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น และยังมอบบททดสอบให้แก่นักเรียนแต่ละคนโดยอิงจากระดับความรู้ความสามารถของนักเรียนในเรื่องนั้นๆ แทนที่จะมอบแบบทดสอบที่เหมือนกันทั้งหมดให้กับนักเรียนทุกคน
8
ในขณะเดียวกัน ครูที่เป็นมนุษย์จะทำหน้าที่แทนสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ เช่น การสร้าง Critical Thinking การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ การปลูกฝังความเห็นอกเห็นใจ และการสร้างการทำงานแบบทีมเวิร์กให้กับนักเรียน รวมถึงเมื่อนักเรียนเกิดความสับสน หรือต้องการปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึก จิตใจ หน้าที่นี้ก็จะเป็นหน้าที่ของครูที่เป็นมนุษย์นั่นเอง
2
5) ทำให้ชีวิตในบ้านของเราสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
เมื่อนำ AI มาผสานกับเทคโนโลยีอย่าง Virtual Reality (VR), Augmented Reality (AR) และ Mixed Reality (MR) เส้นแบ่งระหว่างชีวิตจริงๆ ของเรากับการสื่อสาร กับการเล่นเกม และการดูหนังจะค่อยๆ ลบเลือนหายไป เมื่อถึงเวลานั้น เด็กๆ อาจจะสามารถเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์กับอัลเบิร์ต ไอสไตน์ที่จะมาในรูปแบบ Virtual โดยพวกเขายังสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับนักวิทยาศาสตร์จำลองเหล่านี้ได้อีกด้วย
2
และในเชิงของเอนเตอร์เทนเมนต์ แน่นอนว่า AI จะช่วยทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของเรานั้นเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันกับพวกหุ่นยนต์ต่างๆ ทำให้เราเห็นว่าเส้นแบ่งระหว่างสองโลกนี้นั้นมีความไร้รอยต่อมากยิ่งขึ้น AI จะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปในชีวิตประจำวันของเรา ทำให้เราแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเราไปมากขนาดนี้แล้ว
ซึ่งทั้ง 5 ข้อเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ Kai Fu Lee ได้วิเคราะห์และคาดการณ์ไว้ว่า AI จะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในปี 2041 แต่แน่นอนว่า AI ก็เป็นเหมือนกับ ‘ดาบสองคม’
1
บางส่วนแน่นอนว่าก็ช่วยทำให้ชีวิตมนุษย์อย่างเราๆ นั้นง่ายดายมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับบางส่วน อย่างเรื่องของการเข้ามาทดแทนงาน ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทางรัฐบาลและสังคมต้องหาทางรับมือ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอาชีพใหม่ๆ หรือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเป็นส่วนตัว ที่มักจะเป็นประเด็นอันร้อนระอุเมื่อพูดถึงการจัดเก็บดาต้าจำนวนมาก ที่เราก็ต้องหาทางออกร่วมกันให้ได้ อย่างไรก็ดี ในตอนนี้เราก็เริ่มที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บ้างแล้ว ก็ต้องมาค่อยๆ จับตาดูกันว่า ตั้งแต่วันนี้จนถึงปี 2041 อีก 20 ปีข้างหน้า ชีวิตของพวกเราจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ทุกคนคิดว่าจะเป็นอย่างไร มาแชร์กัน!
3
แปลและเรียบเรียง
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#society
โฆษณา