18 ต.ค. 2021 เวลา 16:59 • ครอบครัว & เด็ก
12. ROTRING เตือนใจ
ช่วงโควิดส่วนใหญ่อยู่ที่บ้าน จึงถือโอกาสจัดบ้านใหม่ ทิ้งของที่ไม่จำเป็น บางอย่างบริจาคได้ก้เก็บไว้ให้ได้มากก่อน แล้วนำไปบริจาคในคราวเดียว การจัดบ้านครั้งนี้ทำให้ได้เจอกล่องปากกาที่ใช้ตั้งแต่สมัยเรียนช่าง นั่นคือกล่องปากกา “ROTRING” หรือปากกาเขียนแบบ ในกล่องนี้แต่เดิมบรรจุไว้สามด้าม แต่เหลือแค่ด้ามเดียวเท่านั้น
ใครที่เคยเรียนช่าง เรียนการออกแบบในสมัยก่อน สิ่งของติดตัวที่จำเป็นต้องมีเป็นอย่างยิ่งนั่นก็คือ “ปากกา ROTRING “ ซึ่งเป็นปากกาเขียนแบบที่มีราคาแพงมาก ในสมัยก่อนด้ามละหลักร้อยขึ้นไป (เทียบสมัยนี้น่าจะหลักพัน) ยิ่งหัวเล็กเท่าไหร่ยิ่งแพง สมัยนั้นจะนิยมขนาด 0.5 แต่ถ้าใครอยากจ่ายแพงหน่อยก็จะได้ขนาด 0.2 ที่สำคัญคือ “แพงแต่พังง่าย” นั่นคือขณะที่เขียนอยู่ถ้าวางปากกาไว้โดยไม่ระวัง ถ้ามันกลิ้งตกพื้นเมื่อไหร่ หัวมักจะปักพื้น เท่ากับพังทันที ไม่มีสิทธิ์ซ่อม
พอได้เห็นกล่อง ก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวในสมัยเรียน เมื่อก่อนนี้ใครที่เรียนช่าง จะถูกนึกไว้ก่อนว่าเป็นพวกชอบใช้ความรุนแรง ชอบหาเรื่องเพื่อนต่างสถาบัน ด้วยเพราะมีเหตุอยู่บ่อยครั้ง แต่เราเป็นคนหนึ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง คือกลัวการชกต่อย เพราะไม่เคยไปมีเรื่องราวกับใคร เคยเห็นคนถูกชกต่อยมาเลือดไหลทางจมูก หัวแตก ก็เลยยิ่งกลัวไปใหญ่
แล้วทำไมถึงมาเลือกเรียนช่างละ ก็ต้องบอกว่าสมัครไปมั่วๆอย่างนั้นแหละ คือเป็นคนไม่ชอบเรียนสักเท่าไหร่ พอจบ มศ.3 ก็ไม่อยากเรียนต่อมัธยมปลาย เพราะถ้าจบแล้วต้องเรียนมหาวิทยาลัยต่ออีก 4 ปี รู้สึกว่ามันยาวนาน เลยเลือกที่จะเรียน ปวช. เพราะเรียนอีกแค่ 3 ปีเท่านั้น รวมถึงไม่ชอบคณิตศาสตร์ จึงไม่เลือกแผนกพาณิชย์ ที่สุดแล้ว จึงมาปลายทางที่ช่างยนต์ โดยที่ไม่คิดหรอกว่าจบออกมาจะไปประกอบวิชาชีพเป็นช่างซ่อมรถ ยังไม่รู้ด้วยว่าอยากทำอะไร รอจบก่อน ค่อยไปหาทางเลือกทีหลัง วิธีคิดนี้ ไม่มีถูกหรือผิด แต่ละคนย่อมคิดต่างกันไป
แต่เมื่อได้เข้าไปเรียนช่างนี่แหละที่ทำให้ต้องปรับตัวไปอีกแบบหนึ่ง เพราะเพื่อนในห้องส่วนใหญ่เป็นเด็กที่มาจากหลายแห่ง ส่วนหนึ่งก็ติดบุหรี่ ส่วนหนึ่งกินเหล้ากันหลังเลิกเรียน เราเริ่มที่จะเห็นว่ามีการตีกันระหว่างโรงเรียนนั้นกับโรงเรียนนี้ ก็กลัวว่าเราจะโดนลูกหลงไปด้วยหรือไม่ ทางที่ดีคือรีบกลับบ้านหลังเลิกเรียนน่าจะดีที่สุด
แต่การขึ้นรถเมล์ บางทีก็เจอกับเด็กช่างโรงเรียนอื่น เราจะแกล้งทำเป็นหลับ ไม่สบตาใคร น่าจะปลอดภัยที่สุด แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะการแกล้งหลับครั้งหนึ่ง ก็เลยโดนเด็กช่างคนหนึ่ง มาดึงเอาปากกา rotring ไปจากกระเป๋าเสื้อที่เราเหน็บไว้ และวิ่งลงจากรถไปทันที ตั้งแต่นั้นมา เราจึงไม่เหน็บปากกายี่ห้อนี้ที่กระเป๋าเสื้ออีก
อีกครั้งที่ปากกาอีกด้ามต้องสูญไป เพราะขณะที่เดินไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อจะกลับบ้าน มีเด็กช่างกลุ่มหนึ่งกำลังทะเลาะกัน และวิ่งมาทางเราพอดี จึงรีบวิ่งหลบไปในซอย มารู้ตัวอีกทีคือซองที่ใส่ปากกาหล่นหายไปกลางทาง เดินย้อนกลับไปก็ไม่พบแล้ว
สัปดาห์ก่อน มีข่าวเรื่องราวเกี่ยวกับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งยกพวกไปที่บ้านของวัยรุ่นอีกคน บอกว่าจะไปเคลียร์ คำๆนี้ตีความได้หลายอย่างเหลือเกิน แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์บานปลายกลายเป็นมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นถึงกับมีผู้เสียชีวิตไปถึง 2 คน จึงเกิดคำถามในใจว่าทำไมต้องไปหาเรื่องกัน บางคนบอกเพื่อศักดิ์ศรี ทำไปแล้ว สิ่งที่ได้มันมักจะไม่จบลงด้วยดีเอาเสียเลย
ตอนที่เรียนช่าง ใจคิดเสมอว่าอย่าไปมีปัญหากับใคร เพราะหากมีการทำร้ายกันแล้ว คงไม่พ้นการบาดเจ็บ หลายกรณีมีการตายเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เราตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าถ้าไปมีเรื่องทะเลาะกับใคร คนที่เสียใจที่สุดคือคนที่เลี้ยงดูเรามา กว่าจะทำให้เราได้เติบโต เขาก็เหนื่อยไม่ใช่น้อย แต่เป็นการเหนื่อยที่เต็มใจ เพราะนั้นหมายถึงการสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกกับหลาน แล้วถ้าเราเป็นอะไรไป คงไม่มีใครเสียใจมากที่สุดเท่าคนที่เลี้ยงเรามา ดังนั้น จะทำอะไร ควรมีสติ คิดถึงบุพการีของเราก่อน หากเราทำอะไรที่ไม่ดีลงไป จะเกิดผลที่ตามมาอะไรบ้าง...น่าคิดให้มากๆนะ
ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ การมีเรื่องกันระหว่างคนบางคน แล้วชักนำเพื่อนๆให้เข้ามาร่วมวงด้วย กลายเป็นว่าเมื่อเหตุการณ์สิ้นสุด เพื่อนบาดเจ็บหรือถึงตาย ในขณะที่คนต้นเรื่องกลับยังอยู่ดี กลายเป็นอย่างนี้ ทำได้อย่างมากก็มีแค่คำว่าเสียใจ ขอโทษ แต่มันเรียกชีวิตคืนมาไม่ได้แล้ว ดังนั้น การจะทำอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นเรื่องทะเลาะวิวาท อย่าไปตัดสินด้วยกำลังเลย มีแต่ข้อเสียทั้งนั้น มาใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหาดีกว่า อย่าให้ถึงเวลาที่เกิดอะไรแล้วต้องมีคนเสียใจอยู่ข้างหลังกันอีกเลย....
ชีวิตหนึ่งเกิดมาไม่ใช่ง่าย จึงควรใช้สติในการดำเนินชีวิตเพื่อตนเองและเพื่อคนที่เลี้ยงดูเรามาให้เขาได้ชื่นใจกันดีกว่า
โฆษณา