Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Wild Chronicles
•
ติดตาม
19 ต.ค. 2021 เวลา 04:15 • ประวัติศาสตร์
*** กองพล 93: จากยูนนานสู่สันติคีรี 2,000 ลี้จากมาตุภูมิ ***
"เมื่อพูดว่า... สงครามจีน-ไต้หวัน” ผู้อ่านหลายท่านอาจนึกถึงการต่อสู้ระหว่างกองทัพฝ่ายจีนก๊กมินตั๋ง (จีนคณะชาติ) และกองกำลังคอมมิวนิสต์ในสงครามกลางเมืองจีน ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายรัฐบาลคณะชาติ จนต้องทำการล่าถอยไปยังเกาะไต้หวันในปี 1949
อย่างไรก็ตาม... สิ่งที่ผมจะพูดถึงวันนี้คือเรื่องราวของสมรภูมิอีกด้านหนึ่ง
มันเป็นการเดินทางกว่า... 2,000 ลี้ของทหารก๊กมินตั๋งกลุ่มหนึ่งที่จับอาวุธสู้กับจีนแม้สงครามในแผ่นดินจะยุติลงไปแล้ว...
นี่คือเรื่องราวการผจญภัยของกองพล 93 ผู้ล่าถอยจากมลฑลยูนนานสู่พม่า และผ่านพ้นชะตากรรมพิเศษมากมาย ก่อนจะมาลงเอย ณ จังหวัดเชียงรายประเทศไทย!
อนึ่งบทความนี้เป็นการนำเอกสารต่างประเทศทั้งงานวิชาการ, บันทึกเหตุการณ์, และข่าวมาเรียบเรียงเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งข้อมูลไม่ได้ลงรอยกันหมดทาง The Wild Chronicle จะทำการชี้แจงจุดคลาดเคลื่อนเอาไว้ในบทความครับ
*** สงครามกลางเมืองจีน ***
ในปี 1949 กองทัพก๊กมินตั๋งถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนของเหมาเจ๋อตง รุกไล่อย่างต่อเนื่อง ทำให้จอมพลเจียงไคเช็ก ตัดสินใจล่าถอยไปยังเกาะไต้หวัน พร้อมกับสั่งให้กำลังรบที่เหลือบนแผ่นดินใหญ่เปิดแนวรบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจฝ่ายคอมมิวนิสต์
โดยกองพลที่ 93 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 26 ประจำมลฑลยูนนานติดกับชายแดนพม่า พวกเขาทำหน้าที่รบเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อให้การอพยพเป็นไปอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม กองทัพคอมมิวนิสต์นั้นได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านและผู้ว่าการมณฑลยูนนาน บีบให้กองทัพที่ 26 จำต้องล่าถอยเข้าสู่บริเวณสนามบินเพื่อถอนกำลังกลับด้วยเครื่องบินไปยังเกาะไต้หวัน
ภาพแนบ: การอพยพไปไต้หวัน
...ทว่ากองทัพปลดปล่อยประชาชนซึ่งได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ก็โถมกำลังเข้าโจมตีจนสนามบินที่ใช้ในการอพยพ หลังการถอยทัพเริ่มเพียง 4 วัน ความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วนี้ ทำให้กองทัพก๊กมินตั๋งที่เหลืออยู่ไม่มีทางเลือกนอกจากล่าถอยเข้าต่างประเทศ ด้วยการแบ่งกำลังพลออกเป็น 2 ส่วนแยกกันหนีได้แก่:
1. กำลังรบส่วนใหญ่ภายใต้การบังคับบัญชาของ นายพลหวงเจี๋ยพร้อมกำลังทหาร 30,000 นาย (จากปากคำบอกเล่าของเจ้าตัว) ล่าถอยไปยังเวียดนามซึ่งตอนนั้นยังเป็นเมืองขึ้นฝรั่งเศส พวกเขาถูกฝ่ายฝรั่งเศสจับกุมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือต่อรองกับการสนับสนุนทางทหารของสหรัฐในการต่อสู้กับกองกำลังเวียดมินห์ที่กำลังก่อกบฏ
2. กำลังส่วนที่สองคือส่วนหนึ่งของกองพล 93 และกรมย่อยอื่นๆของนายพลหลี่หมี ได้หนีเข้าไปในรัฐฉานของพม่าซึ่ง ณ เวลานั้นพยายามวางตัวเป็นกลางจากทั้งค่ายคอมมิวนิสต์และค่ายโลกเสรี เพื่อทำการต่อสู้กับฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่ในนาม “กองกำลังปลดปล่อย เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์” (Anti Communist Salvation Army)
ภาพแนบ: การบุกเข้าพม่าของกองทหารจีนคณะชาติ
*** เริ่มต้นปฏิบัติการในพม่า (ค.ศ. 1949 - 1951) ***
นายพลหลี่หมีนั้นเป็นอดีตนายทหารระดับสูงของฝ่ายก๊กมินตั๋งผู้กว้างขวางทางการเมือง ด้วยพื้นฐานมาจากครอบครัวพ่อค้าอัญมณี เขาเคยสร้างผลงานมากมายในช่วงสงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ และสงครามจีน - ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 จนได้เป็นคนใกล้ชิดจอมพลเจียงไคเช็ก
เขาสามารถรวบรวมกำลังพลที่แตกทัพจากกองทัพที่ 8 และ 26 ซึ่งตกค้างจากปฏิบัติการรบกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกก่อนหน้านี้ (ณ เวลานั้นระบบการจัดกำลังของจีนไม่มีระเบียบที่ดีมากนัก ทำให้การแตกทัพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง) เข้ามาเป็นกำลังรบของตนเองจนสามารถขยายขุมกำลังราว 1,500 นายในปี 1950 (ข้อมูลทางจีนกล่าวว่ามีจำนวนมากถึง 7,000 นาย แต่ยังไม่การยืนยันถึงความถูกต้องของข้อมูลนี้)
ก่อนจะนำกำลังเข้ายึดบริเวณท่าขี้เหล็ก (ที่ปัจจุบันนี้คนไทยข้ามจากแม่สายไปช๊อปปิ้งกันมากนั่นแหละครับ) เป็นฐานบัญชาการชั่วคราว
ภาพแนบ: นายพลหลี่หมี ผู้นำกองพล 93
4. การเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลพม่า แต่ก็ลำบากใจที่จะขับไล่ เพราะตอนนั้นกองทัพพม่ายังรบติดพันกับกลุ่มติดอาวุธกู้ชาติต่างๆ ส่งผลให้เกิดความพยายามเจรจาให้กองพล 93 ยอมวางอาวุธหรือถอยทัพออกจากพื้นที่ดีๆ
แน่นอนว่าฝ่ายก๊กมินตั๋งได้ปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว นำไปสู่การปะทะระหว่างทั้งสองฝ่ายอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดฝ่ายจีนซึ่งมีกำลังน้อยกว่าต้องล่าถอยไปยังเมืองสาดและนับเป็นโชคดีที่กองทัพพม่าไม่ได้รุกไล่ต่อเพราะยังติดพันกับสงครามกลางเมือง (ที่ทุกวันนี้รบมา 70 ปีแล้วก็ยังรบไม่จบ) อยู่ ณ ตรงนี้เอกสารจากทางจีนระบุว่าทัพจีนสู้รบกล้าหาญ พม่าสู้ไม่ได้จึงต้องปล่อยไว้ ส่วนฝ่ายพม่าเพียงกล่าวว่าสามารถโจมตีจนฝ่ายจีนล่าถอยไป
ภาพแนบ: อาสาสมัครจีนในสงครามเกาหลี หนึ่งในตัวแปรที่สหรัฐหันมาสนับสนุนกองพล 93 ให้เปิดแนวรบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายจีน
ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอยู่ใต้การจับตามองของสหรัฐซึ่ง ณ เวลานั้น กำลังต่อสู้ติดพันกับกองทัพจีนหลายแสนนายในสงครามเกาหลี ทำให้รัฐบาลสหรัฐอนุมัติให้ CIA ดำเนินการการสนับสนุนเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับนายพลหลี่หมีในชื่อของปฏิบัติการกระดาษ (Operation Paper) ในปี 1951
ทั้งนี้การแทรกแซงของสหรัฐทำผ่านตัวกลางอย่างราชอาณาจักรไทยภายใต้การปกครองของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งยอมให้ไทยเป็นจุดผ่านทางของการสนับสนุนต่างๆ รวมทั้งช่วยปิดบังการมีส่วนร่วมของสหรัฐแลกกับการสนับสนุนด้านงบประมาณและความช่วยเหลือทางทหาร
ภาพแนบ: จอมพล ป. นายกไทย ณ เวลานั้น
ในระหว่างนี้ กองพลที่ 93 ได้เริ่มฟื้นฟูศักยภาพของตน จากการรวบรวมชาวจีนอพยพและคนจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาสวามิภักดิ์ จนสามารถขยายกองทัพให้มีสมาชิกกว่า 4,000 คน ทั้งยังได้รับการฝึกจากครูฝึกซึ่งถูกส่งตรงมาจากเกาะไต้หวันจนเข้มแข็งพอจะสามารถลอบโจมตีชายแดนจีนได้
ภาพแนบ: ทหารจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในพม่า ซึ่งบางส่วนกลายมาเป็นกำลังให้กองพล 93
*** การต่อสู้ที่ล้มเหลว (ค.ศ. 1951 - 1952) ***
ในเดือนพฤษภาคมปี 1951 ภายหลังจากทำสงครามก่อกวนตามแนวชายแดนมาเป็นระยะ นายพลหลี่หมีก็เริ่มต้นคิดการใหญ่จะบุกตีชิงเมืองจีนกลับโดยกรีฑาทัพเข้าตียูนนาน! ด้วยการโจมตีแบบสายฟ้าแล่บทำให้เขาสามารถยึดหมู่บ้านติดชายแดนพม่าได้ถึง 4 แห่ง
ก่อนจะถูกกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ 2 ซึ่งมีกำลังมากกว่าตอบโต้ จนฝ่ายก๊กมินตั๋งเพลี่ยงพล้ำต้องล่าถอย ก่อนจะเปิดฉากรุกอีกครั้งในเดือนกรกฎาคมแต่ประสบความล้มเหลวเหมือนเดิม
ภาพแนบ: เครื่อง C-47 แบบเดียวกับที่สหรัฐใช้ส่งกำลังบำรุงให้ทหารจีนในพม่า
นายพลหลี่หมียังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจในการขับไล่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ออกจากแผ่นดินเกิด ในช่วงต้นปี 1952 เขามีกำลังใจอีกครั้ง เมื่อได้รับกำลังเสริมจากไต้หวันหลายร้อยนาย ทั้งยังมีอาสาสมัครชาวจีนทั้งในไทย, มาเลเซีย, และพม่ามาร่วมด้วย (ทางการไทยนั้น ด้านหนึ่งปล่อยให้มีสิ่งนี้ อีกด้านก็จับกุมนักหนังสือพิมพ์ชาวจีนที่พยายามปลุกระดมเพื่อหาอาสาสมัครเข้าร่วมการรบในพม่า เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความเป็นกลาง) นอกจากนั้นหลี่หมียังได้รับอาวุธจากสหรัฐมาสนับสนุนเป็นอันมากผ่านบริษัทการบินเอกชนที่สหรัฐเข้ามาตั้งในประเทศไทย
เมื่อเห็นว่ามีกำลังเข้มแข็งเต็มที่หลี่หมีจึงเริ่มการรุกครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนสิงหาคม 1952 แต่กลับทำการไม่ตลอดต้องถอนกำลังกลับมาเป็นครั้งที่สาม
ภาพแนบ: ทหารจีนช่วงสงครามโลกในพม่า
ความพยายามครั้งสุดท้ายของกองพล 93 เกิดขึ้นในเดือนมกราคมปี 1953 เมื่อทหารจีนกว่า 30,000 ทำการบุกข้ามพรมแดนไปยังมณฑลยูนนาน แต่มันก็จบลงด้วยหายนะ หลังทหารทั้งนั้นพ่ายแพ้ คนสามหมื่นสามารถหลบหนีกลับมายังพม่าได้เพียง 20 เปอร์เซ็นต์ อนึ่งความพยายามบุกยูนนานของนายพลหลี่หมีนั้น ถูกบันทึกเอาไว้แตกต่างกันตั้งแต่ 3 - 6 ครั้ง ความแตกต่างทางจำนวนดังกล่าวอาจมาจากการนับรวมภารกิจก่อกวนตามพรมแดนด้วย
เมื่อพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถเอาชนะด้วยการเปิดแนวรบโดยตรง นายพลหลี่หมีจึงหันมาขยายอิทธิพลในรัฐฉานด้วยการยึดอำนาจควบคุมการเก็บภาษีทั้งที่จังหวัดเชียงตุงในรัฐฉานและเมืองลุนในเขตโกก้าง เขายังจับมือกับกองกำลังติดอาวุธกู้ชาติของชนกลุ่มน้อยต่างๆ เพื่อคานอำนาจกับรัฐบาลพม่า รวมทั้งพยายามสร้างสถานการณ์ให้กองทัพพม่าและกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนปะทะกัน ด้วยการปลอมตัวเป็นทหารทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตามความพยายามดังกล่าวไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก
ภาพแนบ: ปธน. ไอเซนฮาวร์
ตอนนั้นอเมริกาเห็นหลี่หมีพ่ายแพ้หลายครั้งติดต่อกันจึงลดการสนับสนุน โดยประธานาธิบดีของสหรัฐอย่าง ดไวท์ ดี. ไอเซนฮาวร์ ได้สื่อสารไปยังรัฐบาลไต้หวันอย่างตรงไปตรงมาว่า การคงอยู่ของกองพล 93 อาจจะกลายเป็นข้ออ้างให้ฝ่ายจีนแผ่นดินใหญ่นำกำลังทางทหารเข้ามาแทรกแซงพม่า อันเป็นการทำลายสเถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้นายพลหลี่หมีต้องหันมาดำเนินกิจการค้าฝิ่นเป็นหลัก เพื่อนำรายได้มาใช้สำหรับการจัดหากำลังอาวุธ ขณะที่ข้อมูลบางชุดกล่าวว่าทาง CIA ยังเป็นผู้สนับสนุนกิจการดังกล่าวแบบลับๆ
ภาพแนบ: นายกฯ อูนุ ผู้นำจากการเลือกตั้งคนแรกของพม่าหลังได้รับเอกราช
*** การตอบโต้ของฝ่ายพม่า (ค.ศ. 1953-1961) ***
ในเดือนมีนาคมปี 1953 รัฐบาลพม่าพยายามผลักดันก๊กมินตั๋งออกจากประเทศ โดยยกทัพมารบกันเป็นศึกใหญ่ ตรงนี้เอกสารให้การไม่ตรงกัน เอกสารพม่าบอกว่าพม่าชนะ เอกสารจีนบอกว่าจีนชนะแต่สูญเสียมาก ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่เกิดขึ้นคือ:
1) พม่าผลักดันก๊กมินตั๋งออกไปไม่ได้ด้วยกำลังรบ
2) พม่าใช้ช่องทางการทูตระหว่างประเทศผ่านองค์การสหประชาชาติ กดดันให้ไต้หวันยุติการแทรกแซงเขตพื้นที่พม่า
*** ตัดเข้าช่วงโฆษณา ***
ขอโฆษณาว่าหนังสือ "ประวัติย่อก่อการร้าย War on Terror" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ
ตอนแรกว่าใกล้ๆ เสร็จแล้วค่อยทำโปร แต่เหตุการณ์ในอัฟกานิสถานและรำลึก 9/11 ทำให้มีคนถามมาเยอะเหลือเกิน เลยเปิดให้จองก่อน
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของขบวนการก่อการร้ายสากลตั้งแต่ยุคอัลเคดามาต่อ ISIS
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles เราพิมพ์เองแล้วจะทำอะไรก็ได้ 555
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
https://www.gbprimepay.com/payment/noncart/TWC/596338
นอกจากนี้ ขอโฆษณาว่าหนังสือ “สุริยันพันธุ์เคิร์ด” หรือหนังสือเล่มใหม่ของผมออกแล้วนะครับ มีรายละเอียดดังนี้...
- เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชาวเคิร์ด ผลงานเล่มล่าสุดในชุด The Wild Chronicles
- พิมพ์เป็นสี่สี!
- ยาวที่สุดเท่าที่พิมพ์มา ยาวกว่าพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติราว 2 เท่า
- รูปโหดๆ ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จะไม่เซนเซอร์ แต่จะรวมอยู่ท้ายเล่ม และมีคำเตือนก่อน
- มีลายเซ็นทุกเล่ม!
- ราคา 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว
ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link แนบได้เลย
https://www.gbprimepay.com/payment/m/noncart/TWC/576294
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเยือนดินแดนเคอร์ดิสถานอิรัก (และหนีมิสไซล์มา) เมื่อต้นปี 2020 เพื่อนชาวเคิร์ดที่ผมสัมภาษณ์ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากทุกสงครามข้างต้น ทำให้มีข้อมูล ความเห็น และมุมมองของคนต่างๆ ที่ลึกกว่าในตำรา แน่นอนว่าประสบการณ์ของพวกเขาดาร์คมาก แต่เขาหลายคนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น พวกเขาตีความสิ่งที่พบเจออย่างไร ลองตามอ่านดูนะครับ
"สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ตั้งใจพิมพ์เป็นสี่สี เป็นหนังสือที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนสารคดีชุด The Wild Chronicles มา
อีกครั้งนะครับ ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์หนังสืออย่างเดียว สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link นี้ได้เลย 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว (ในประเทศ) ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที
https://www.gbprimepay.com/payment/m/noncart/TWC/576294
ในวาระที่เขียนเรื่องประวัติศาสตร์รัสเซีย ขอโฆษณาว่าหนังสือ "เชือดเช็ดเชเชน" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ ตอนนี้เปิดให้จองแล้ว
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของชนกลุ่มน้อยเชเชน ตลอดจนประวัติศาสตร์รัสเซียยุคหลัง โดยเน้นบทบาทของปูตินในการต่อสู้เพื่อขึ้นครองอำนาจ, ปฏิรูปรัสเซีย, และทำสงครามปราบชาวเชเชน
- หนังสือเล่มนี้มีผู้วิจารณ์มากมายว่า "โหดสัสรัสเซีย"
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน แน่นอนว่ามีความโหดสัสมากขึ้นไปอีก
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles 😉
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
https://www.gbprimepay.com/payment/m/noncart/TWC/591858
ภาพแนบ: เจียงไคเช็กกับไอเซนฮาวร์
ตอนนั้นตัวแทนจากสหรัฐ, ไต้หวัน, พม่า, และไทยเข้าร่วมการเจรจาที่กรุงเทพฯ ส่งผลให้เกิดข้อตกลงระหว่าง 4 ฝ่ายขึ้นในปี 1953 โดยระบุว่า “ทางการจีน (ก๊กมินตั๋ง) จะต้องถอนทหารอย่างน้อย 5,000 นาย ออกจากพม่าภายใน 35 วัน” แต่เมื่อเวลาผ่านไปฝ่ายก๊กมินตั๋งกลับสามารถถอนกำลังกลับได้เพียง 2,000 นายเท่านั้น เนื่องจากทหารบางส่วนที่ตกค้างมาตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 มองว่ารัฐฉานเปรียบเสมือนบ้านของตน โดยพวกเขาจำนวนไม่น้อยสร้างครอบครัวกับคนในพื้นที่
ทว่าการขนย้ายก็ยังดำเนินต่อไปจนสามารถนำทหารทหารและครอบครัวกว่า 5,700 คน รวมถึงนายพลหลี่หมีและชาวพื้นเมืองอีกราวๆ 800 คนไปไต้หวันได้สำเร็จ
ยังมีข้อถกเถียงว่าการอพยพดังกล่าวอาจเป็นเพียงฉากบังหน้า เพราะแท้จริงแล้วก๊กมินตั๋งยังคงกองกำลังอยู่ราวๆ 2,000 นาย เพื่อทำการสู้รบต่อ
ภาพแนบ: ทหารพม่าในช่วงสงครามเย็น
กองทัพพม่ายังหวาดระแวงกองกำลังที่หลงเหลืออยู่ ทำให้มีการต่อสู้ระหว่างปี 1954-1958 ซึ่งแม้พม่าจะประสบความสูญเสียอย่างหนักและไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามแบบเบ็ดเสร็จ แต่ก็สามารถขับไล่ทหารจีนบางส่วนไปยังราชอาณาจักรลาวได้ จนมีรายงานว่ามีทหารจีนหลงเหลือเพียง 1,350 นายในปี 1958
แต่พวกเขากลับขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 1960 เมื่อทหารบางส่วนได้ข้ามชายแดนมาจากลาวและอีกส่วนอพยพหนีความแร้นแค้นจากมลฑลยูนนานทำให้กำลังของทหารจีนเพิ่มขึ้นเป็น 2,300 และเกิดการก่อตั้งฐานที่มั่นแห่งใหม่บริเวณชายแดนพม่า-ลาวถึงสองแห่ง
ภาพแนบ: ซากเครื่องบิน Sea Fury ของพม่าที่โดนพลปืนของ PBY4 ยิงตกระหว่างสกัดกั้น (PBY4 ก็ตกด้วย) โดยข้อมูลระบุว่าเครื่อง PBY4 นั้นเป็นของไต้หวันที่ทำภารกิจให้สหรัฐ
กองกำลังก๊กมินตั๋ง ณ จุดนี้ผ่านสงครามมามากมีความเชี่ยวชาญในการรบยิ่ง ทำให้ฝ่ายพม่าจำเป็นต้องยอมให้ทหารจากกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเข้ามาร่วมภารกิจขับไล่ผู้รุกราน ซึ่งแม้ว่าทหารก๊กมินตั๋งจะพยายามต่อต้านศัตรูอย่างสุดความสามารถจนฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ - พม่าต้องตึงมือ แต่ที่สุดแล้วน้ำน้อยแพ้ไฟ พวกเขาจึงจำต้องล่าถอย
ฝ่ายพม่าสามารถยึดยุทธภัณฑ์ที่สหรัฐส่งมาช่วยเหลือได้เป็นจำนวนถึง 5 ตัน นอกจากนี้กองทัพอากาศพม่ายังสามารถยิงเครื่องบินของไต้หวันตก (เป็นรุ่น PB4Y Privateer เดิมออกแบบเป็นเครื่องบินลาดตระเวนทางทะเล แต่ดัดแปลงมาใช้สำหรับภารกิจขนส่งให้พวกกองพล 93 แต่ทางพม่าก็สูญเสียเครื่อง Sea Fury ไปหนึ่งลำ) ทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐบนเวทีนานาชาติสั่นคลอน
ความสูญเสียครั้งนี้… สร้างความบอบช้ำให้กับฝ่ายก๊กมินตั๋งเป็นอย่างมาก จนไม่สามารถสร้างอิทธิพลทางทหารเหนือพม่าได้อีก
ภาพแนบ: นายพลต้วนและนายพลหลี่
*** ที่มั่นแห่งใหม่... กับการเดินทางที่ยังไม่จบสิ้น (ค.ศ. 1961) ***
หลังความปราชัย ทหารก๊กมินตั๋งได้ล่าถอยจากพม่ามายังแถบดอยแม่สลองในประเทศไทย เพราะตอนนั้นไทยเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับสหรัฐและฝ่ายโลกเสรี
รัฐบาลไทยให้ก๊กมินตั๋งทำหน้าที่เป็นกันชนป้องกันการแทรกซึมของฝ่ายคอมมิวนิสต์ โดยเรียกพวกเขาว่า "กำลังนอกแบบจีน" (CIF) และวางให้อยู่ภายใต้การดูแลของคณะทำงานพิเศษของกองบัญชาการทหารสูงสุดในกรุงเทพมหานคร แบ่งออกเป็นสองหน่วยใหญ่ๆคือ
“กรมทหารที่ 5” ภายใต้การควบคุมของนายพลต้วนซีเหวิน ที่คนไทยรู้จักในนาม “นายพลต้วน” มีฐานที่มั่น ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีทหารจำนวน 1,500 นาย
“กรมทหารที่ 3” ภายใต้การควบคุมของนายพลหลี่เหวินฮ้วน มีฐานที่มั่น ณ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ มีทหารจำนวน 1,000 นาย
นอกจากนี้ทางการไทยยังยอมหลับตาข้างหนึ่งให้กองกำลังจีนสามารถดำเนินกิจการการค้าฝิ่นและจัดเก็บค่าคุ้มครองจากการขนส่งฝิ่นเพื่อสร้างรายได้สำหรับใช้จัดหายุทโธปกรณ์ในการต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ ดังที่นายพลต้วนให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของวีกเอนด์เทเลกราฟในปี 1967 ว่า
“เพื่อที่จะสู้กับคอมมิวนิสต์ที่ชั่วร้าย เราจำต้องมีกองทัพ และกองทัพจะต้องมีปืน และการซื้อปืนต้องใช้เงิน ...ในบริเวณภูเขาเช่นนี้ แหล่งหาเงินอย่างเดียวคือฝิ่น”
ภาพแนบ: ขุนส่า ขุนศึกแห่งรัฐฉานและผู้ทรงอิทธิพลที่เติบโตจากครอบครัวของทหารจีนในรัฐฉาน
*** หนทางเพื่อความอยู่รอด ***
เมื่อไร้การสนับสนุนจากรัฐบาลก๊กมินตั๋ง… นายพลต้วนกับนายหลี่จึงทำข้อตกลงแบ่งเขตอิทธิพลด้วยสองฝั่งของแม่น้ำสาละวิน โดยนายพลต้วนครองฝั่งตะวันออกและนายพลหลี่ครองฝั่งตะวันตก (คือฐานอยู่ในไทย แต่ยังมีการกลับไปค้าขายฝั่งพม่า) ก่อนจะหันมาจะร่วมมือกันต่อสู้กับกองทัพรวมฉาน (Shan United Army) ของขุนส่านักรบท้องถิ่น (ที่เติบโตมาจากครอบครัวทหารจีนในบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ) จนกลายเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่การขนส่งฝิ่นในปี 1967 และได้รับชัยชนะ
ภาพแนบ: พิพิธภัณฑ์วีรชนทหารจีนคณะชาติ
*** การลงหลักปักฐานในไทย ***
การมีอยู่ของกรมทหารที่ 3 และ 5 นั้นช่วยป้องกันการแผ่ขยายอิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์และดูแลชายแดนไทยอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างกองพล 93 และชนเผ่าพื้นเมืองอาทิมูเซอร์และลีซอ ยังช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก เห็นได้จากช่วงการปราบ “กบฏแม้วแดง” ในจังหวัดน่านที่กองกำลังดังกล่าวสามารถปรับตัวเข้ากับพื้นที่จนเอาชนะศัตรูได้
เมื่อเห็นว่ากองกำลังจีนสามารถช่วยเฝ้าระวังภัยคุกคามบริเวณภาคเหนือของประเทศ รัฐบาลไทยที่กำลังประกาศทำสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์ จึงมีมติเห็นชอบข้อเสนอของกองบัญชาการกองทัพไทยและสภาความมั่นคงแห่งชาติว่า “สมควรให้กองทัพที่ 3 และ 5 อาศัยอยู่ในประเทศต่อไป” พร้อมกับมอบที่ดินเพื่อใช้สำหรับลงหลักปักฐานให้สองแห่ง แต่มีข้อแม้ว่าทหารจีนเหล่านี้ต้องเข้าโจมตีฐานที่มั่นสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์ในจังหวัดเชียงรายเสียก่อน จึงจะสามารถลงหลักปักฐานในบริเวณดังกล่าวได้
ภาพแนบ: ภาพทหารก๊กมินตั๋งในไทย (รูปนี้มีขนาดเล็กมาก แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นภาพจริงบางส่วน)
…แน่นอนว่าสองนายพลตอบรับข้อเสนอนี้ พร้อมจัดกำลังทหารจีนและผู้นำทางชาวเขาเพื่อโจมตีฐานที่มั่นของศัตรูคือ “ฐานปฏิบัติการบ้านใหญ่พญา” บนสันดอยยาวและ “ฐานดอยผาม่อน” ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ระดับเขตของพรรคคอมมิวนิสต์
พวกก๊กมินตั๋งรุกรบห้าวหาญ ตีจนศัตรูแตกพ่ายในเวลาเพียง 26 วัน (8 ธันวาคม 1970 – 3 มกราคม 1971) โดยมีทหารจีนเสียชีวิต 15 นายและบาดเจ็บ 45 นาย ขณะที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ทางการไทยส่งมาสนับสนุนบาดเจ็บ 3 นาย
ภาพแนบ: บัตรประจำตัวทหารจีนในพิพิธภัณฑ์วีรชนทหารจีนคณะชาติ
หลังความสำเร็จในการยึดอดีตฐานที่มั่นของฝ่ายคอมมิวนิสต์ กองกำลังก๊กมินตั๋งได้ยอมส่งมอบฝิ่นดิบกว่า 40 ตันให้ทางการ เพื่อเป็นเครื่องหมายของการเลิกค้าฝิ่น พร้อมกับเปลี่ยนชื่อฐานที่มั่นของกองพล 93 บนดอยแม่สลองเป็น “หมู่บ้านสันติคีรี” ที่มีความหมายว่า “ภูเขาแห่งสันติภาพ” ก่อนจะเปลี่ยนสถานะจากฐานทัพมาเป็นที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ทางการไทยได้มอบสัญชาติไทยให้ทหารก๊กมินตั๋งและครอบครัว เป็นการตอบแทนที่ช่วยป้องกันชายแดนมานาน โดยนายพลต้วนซีเหวินได้ใช้ชื่อไทยว่า ชวาลย์ คำลือ ส่วนนายพลหลี่เหวินฮ้วนใช้ชื่อไทยว่า ชัย ชัยศิริ
ในปัจจุบันดอยแม่สลองกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับพักผ่อนทางธรรมชาติ โดยมีทั้งโรงแรม, รีสอร์ท, ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร, ไร่ชาที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อท้องถิ่น, และมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์อื่นๆ
ลูกหลานของทหารก๊กมินตั๋งกลุ่มนี้กลายเป็นชาวไทยอย่างเต็มภาคภูมิ และช่วยทางการพัฒนาประเทศในทางต่างๆ อย่างแข็งขัน
*** สรุป ***
เรื่องราวของการต่อสู้ของกองพล 93 ถือเป็นบันทึกบทสั้นๆ ในสงครามเย็น ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ใกล้กับประเทศไทย...
พวกเขาคือนักรบที่ระหกระเหินจากบ้านเกิดด้วยความหวังว่าวันหนึ่งจะกลับมาช่วงชิงแผ่นดินเกิด จนกลายเป็นผู้รุกรานในสายตาของประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะพยายามต่อสู้อย่างสุดความสามารถ แต่โชคชะตากลับไม่อยู่เคียงข้าง จนต้องระหกระเหินจากการถูกรุกไล่นับครั้งไม่ถ้วน
ซ้ำร้าย… รัฐบาลและพันธมิตรที่เคยสนับสนุนก็กลับปฏิเสธตัวตนและการมีอยู่ จนทหารเหล่านี่ต้องทำทุกวิธีทางเพื่อความอยู่รอด กระทั่งต้องถอยร่นมายังประเทศไทยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การสู้รบปกป้องดินแดนจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ ...จนสามารถลงหลักปักฐานในฐานะ “พลเมืองไทย”
เรื่องราวการเดินทางกว่า 2,000 ลี้จากบ้านเกิดเป็นเวลากว่า 20 ปีก็จบลงในลักษณะนี้...
แหล่งที่มา:
library (ดอต) fes (ดอต) de/libalt/journals/swetsfulltext/11448875 (ดอต) pdf
ecommons (ดอต) cornell (ดอต) edu/bitstream/handle/1813/57561/093.pdf?sequen
baike (ดอต) baidu (ดอต) com/item/国民革命军第九十三师/667918
www (ดอต) irrawaddy (ดอต) com/specials/on-this-day/day-chinese-invaders-forced-myanmar (ดอต) html
www (ดอต) taipeitimes (ดอต) com/News/feat/archives/2019/06/30/2003717840
www (ดอต) taipeitimes (ดอต) com/News/feat/archives/2019/11/17/2003725988
ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวแปลกๆ จากรอบโลกสามารถสมัครเข้ากลุ่ม illumicorgi
อนึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม exclusive ผมจะใช้ลงบทความพิเศษ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกกว่าที่ลงในเพจ The Wild Chronicles และบทความส่วนใหญ่ในกลุ่มจะเกี่ยวกับธีมของหนังสือที่ผมกำลังเขียน
ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ากลุ่มให้ทำดังนี้เลยนะครับ
(1) กดสมัคร Line OA ของ The Wild Chronicles มาทาง link นี้
https://lin.ee/fNEO1jr
(2) กด add เป็นเพื่อน
(3) กด chat
(4) จากนั้น พิมพ์ชื่อที่ท่านใช้ใน Facebook มาทางช่องแชทของ Line OA เพื่อให้ทีมงานบ่งชี้ได้ว่าบัญชีของท่านสมัครมาแล้ว
(5) จากนั้นจะมีแอดมินมาคุยกับท่าน ให้แจ้งประเภทสมาชิกที่ท่านต้องการสมัคร แอดมินจะส่ง link เพื่อชำระค่าสมาชิก และแนะนำวิธีการเข้ากลุ่มต่อไป See less
::: ::: :::
สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ
https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
และ youtube
https://youtube.com/user/Apotalai
6 บันทึก
4
1
7
6
4
1
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย