19 ต.ค. 2021 เวลา 11:35 • ประวัติศาสตร์
“กฎหมายอัปลักษณ์ (Ugly Law)” กฎหมายเพื่อจับคนขี้เหร่
3
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ได้มีกฎหมายฉบับหนึ่ง เรียกว่า “กฎหมายอัปลักษณ์ (Ugly Law)” ซึ่งได้มีผลบังคับใช้ ก่อนจะแพร่หลายไปยังเมืองอื่นๆ ในเวลาต่อมา
สำหรับประวัติความเป็นมาของกฎหมายนี้ เริ่มจากในปีค.ศ.1867 (พ.ศ.2410) ซานฟรานซิสโกและแคลิฟอร์เนีย กำลังเป็นเมืองที่รุ่งเรืองและเติบโต อันเป็นผลมาจากภาวะตื่นทอง
ในเวลานั้น มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จจนร่ำรวยจากการขุดทอง และคนที่ล้มเหลวจนหมดตัว และสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จ ร่ำรวย ต่างก็คิดว่าคนที่ดูแล้วอาจจะไม่ค่อยสบายตานัก ไม่สมควรออกมาเพ่นพ่าน
3
สำหรับคนที่เหล่าไฮโซ คนร่ำรวยทั้งหลาย มองว่าไม่ค่อยน่าดู และสมควรถูกแยกไว้ต่างหาก ก็มีทั้งคนเอเชีย ซึ่งหลายคนมองว่าขี้เกียจและเป็นตัวเชื้อโรค ทหารผ่านศึก ซึ่งมักจะมีบาดแผล และคนตกงานอีกจำนวนมากที่ต้องไปขอทาน
1
เห็นได้ชัดว่ากฎหมายนี้สร้างขึ้นเพื่อกีดกันไม่ให้คนที่เป็นตัวเชื้อโรคหรือคนพิการ ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่าน แต่ในขณะเดียวกัน การที่จะตีความว่าใครเป็นตัวเชื้อโรคหรือพิการ ก็เป็นไปได้ยาก
1
แต่ถึงอย่างนั้น กฎหมายนี้ก็มีผลบังคับใช้ และสำหรับคนที่ไม่สมควรออกมาเพ่นพ่าน หากออกมาเพ่นพ่านก็จะถูกปรับ โดยค่าปรับอยู่ที่ระหว่าง 1-50 ดอลลาร์
ในภายหลัง กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดแค่ในซานฟรานซิสโกเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายไปยังเมืองอื่นๆ และได้รับความนิยมมากในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
กว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกยกเลิก ก็ต้องใช้เวลานานกว่า 100 ปี โดยในปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) มีคดีที่มีการฟ้องโดยกฎหมายอัปลักษณ์เป็นคดีสุดท้าย โดยเป็นการฟ้องชายไร้บ้านผู้หนึ่งในเนบราสก้า หากแต่ศาลก็ปัดตกไปในทันที
1
นอกจากอัยการจะปฏิเสธที่จะแจ้งข้อหา หากแต่ผู้พิพากษาเองก็ได้ตั้งคำถามต่อการฟ้องครั้งนี้ว่า
“อะไรคือมาตรฐานของความอัปลักษณ์? หมายความว่าทุกๆ ครั้งที่ลูกของเพื่อนบ้านผม ซึ่งหน้าตาไม่ค่อยน่าดูนักเข้ามาพูดคุยหรือถามอะไรผม ผมก็ต้องแจ้งจับพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”
และในที่สุด เมื่อถึงยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) ก็ได้มีการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้พิการ รวมทั้งจริงจังเรื่องสิทธิมนุษยชน ทำให้กฎหมายนี้กลายเป็นเพียงเรื่องราวในประวัติศาสตร์เท่านั้น
โฆษณา