21 ต.ค. 2021 เวลา 05:06 • สุขภาพ
เมื่อก่อนเราก็ไม่ได้เป็นคนชอบออกกำลังกายอะไรหรอกนะ บวกกับการทำงานแบบไม่เป็นเวลาที่แน่นอน
บางวันเลิกดึก บางวันก็รีบตื่นแต่เช้า นอนน้อย
เหนื่อยกับงาน ถึงบ้านก็หมดแรง ถามว่าตอนนั้นผอมไหม? ผอมนะ แต่ผอมแบบสุขภาพไม่ดี ไม่เฟิร์ม ไม่ค่อยมีแรง จนกระทั่งมันส่งผลกับร่างกาย
ประมาณปี 2015 เราป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาล
หนักมากจนถึงขั้นเข้า ICU นอนอยู่โรงพยาบาลเกือบเดือน ชีพจรใกล้จะหยุดเต้น อาการวิกฤตหนัก
(ฟังจากที่หมอพูดตอนฟื้นขึ้นมาจากอาการช็อค)
หลังจากหายป่วย เราก็กลับมาคิดว่า....
"นี่เรากำลังทำอะไรกับร่างกายตัวเองวะ"
"ทำไมเราไม่ดูแลตัวเองเลย"
"ฉันไม่อยากป่วย มันทรมานมากกับการนอนโรงพยาบาล"
เราก็เลยหันมาเริ่มออกกำลังกาย เริ่มจากเดินเร็ว
แล้วก็วิ่งสลับกันในสวนสาธารณะบ้าง
ลองวิ่งบน Treadmill บ้าง ปั่นจักรยานบ้าง
แต่..... เรามีปัญหาเคยกระดูกนิ้วเท้าหัก และเจ็บเข่า
เพราะอุบัติเหตุ เราเริ่มรู้สึกไม่ดีกับเข่า และนิ้วเท้า
เจ็บแปล๊บๆบางครั้ง ตอนวิ่งออกกำลัง
สุดท้ายเราก็มาจบลงตัวที่ Elliptical
ช่วยเซฟเข่ากับข้อเท้าเราได้ดีมาก
เราสนุกกับน้อง Elli เครื่องนี้มาก
มันไม่เจ็บเข่าและเท้าอีกแล้ว
เราทำ HIIT กับเครื่องนี้ได้สนุกมาก เล่นได้นานครั้งละ 45 - 50 นาที
เราออกกำลังกาย 5 วัน พัก 2 วัน ต่อสัปดาห์
ช่วงแรกๆ เราก็ Cardio อย่างเดียวแหละ
ออกกำลังไปแบบงูๆ ปลาๆ แต่ต่อมาก็เริ่ม
weight training
ก่อน cardio 20 นาที แล้วทุกอย่างก็ลงตัวสำหรับเรา
ย้ำว่าสำหรับเรานะ กับคนอื่นเราไม่รู้นะ
เพราะร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ถ้า cardio อย่างเดียว เราจะเบิร์นได้ แต่ไม่เฟิร์ม
แล้วน้ำหนักจะเริ่มคงที่ เมื่อถึงจุด BMI มันก็เหมือนเราแค่คุมน้ำหนักเอาไว้เท่านั้น เราจะต้องเพิ่มกล้ามเนื้อด้วย ให้ร่างกายเผาผลาญได้เพิ่มขึ้น
โดยการทำ weight training หรือ body weight ก็ได้ถ้าไม่มีอุปกรณ์ มันช่วยให้เฟิร์มได้ดีมากๆ
รับรองว่า ร่อง 11 รออยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
ที่สำคัญคือเรื่องกิน กินอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่กินแป้ง
กับน้ำตาลหรือถ้าจะกิน ก็ต้องกินให้น้อยที่สุด
ย้ำว่าน้อยที่สุด เพราะร่างกายจะได้ดึงเอาไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้เป็นพลังงาน แทนที่จะเอาน้ำตาลกับแป้งที่เรากินเข้าไปออกมาใช้เป็นพลังงาน
ต่อให้วิ่งหนัก ออกกำลังมากแค่ไหน
แต่ยังกินแป้งกับน้ำตาล ยังไงน้ำหนักก็ไม่ลด
หลังจากที่เราออกกำลังกายมาจนถึงตอนนี้
เรารู้สึกรักตัวเองมาก ชอบที่จะได้ตื่นเช้าไปออกกำลังกาย ได้เหงื่อ ได้เจอเพื่อน และได้เพื่อนใหม่ในที่ออกกำลังกายเพิ่ม อย่างเช่น เมื่อเช้านี้
มีน้องคนหนึ่ง น้องมีรูปร่างอ้วน เพราะอาการข้างเคียง
ของยารักษาอาการโรคซึมเศร้า (จากที่น้องเค้าเล่าให้ฟัง) เราเห็นน้องเค้ามาออกกำลังกายเกือบทุกวัน แต่ไม่เคยได้คุยกัน
จนวันนี้เรายิ้มทักทาย เพราะเห็นน้องเค้าเดินมานั่งพักใกล้ๆ เราเลยได้พูดคุยกัน แล้วก็ได้เพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แต่ก่อนหน้านี้ เราก็มีเพื่อนใหม่เพิ่มหลายคน
เพื่อนที่ได้รู้จักจากที่ไปออกกำลังกายนี่แหละ
ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน
คุยกันเรื่องออกกำลังบ้าง คุยสัพเพเหระทั่วไปบ้าง
เสร็จจากออกกำลังก็ไปกินข้าวเช้าด้วยกันบ้าง
แวะนั่งดื่มชา น้ำเต้าหู้ สไตล์แนวคนรักสุขภาพ
คุยกันแบบสนุกสนาน มีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะทุกเช้า
แต่มันก็มีคนแปลกๆ แบบดูเพี้ยนๆ ที่เราเห็นทุกวัน
ตอนไปออกกำลังเยอะเลยนะ
อย่างเช่น มีผู้ชายที่ใส่กางเกงเล กับเสื้อกล้าม และรองเท้าแตะ สวมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ มาออกกำลัง
มาโหนบาร์อยู่ประมาณ 10-15 นาที แล้วก็กลับ
บางทีก็ไปนั่งมองผู้หญิงที่มาออกกำลัง มองจ้องแบบสายตาหื่นๆ
เพื่อนเรา กับเราเองก็โดนมองด้วยสายตาหื่นเหมือนกัน
และมีคนที่ใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ
มาออกกำลังกายทุกวัน จะเดินวนไปมา 2-3 รอบ
แล้วก็มานั่งมองดูผู้หญิงเต้นแอโรบิค
กับคนแบบที่มาออกกำลังกายหนักมาก
ถอดเสื้อโชว์กล้าม
กินไข่ต้มอัดเข้าไปหลายฟอง
แล้วก็ไปยกเวทหนักๆ แล้วก็มายืนเบ่งกล้ามหน้ากระจก
แบบภูมิใจในกล้ามของตัวเองมาก
เห็นแล้วเพลีย 😑 แต่เราว่าก็ตลกดีนะ
มากคน หลายแบบ
และถ้าจะบอกว่าตอนนี้ เราเสพติดการออกกำลังกาย
ก็คงจะได้ล่ะนะ เราออกกำลังกายไม่ใช่เพราะตามคนอื่น หรือเพราะเทรนด์ไหนๆ แต่เราออกกำลังกาย
เพราะเรารักตัวเอง รักสุขภาพตัวเอง และห่วงตัวเอง
แต่ก็อย่าออกกำลังจนหักโหมนะ เพราะเราเคยออกกำลังกายหนักจนกล้ามเนื้อหลังเจ็บ อดไปออกกำลังกายตั้งหลายวัน
#ด้วยรักและห่วงสุขภาพ
โฆษณา