24 ต.ค. 2021 เวลา 08:24 • ไลฟ์สไตล์
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต้องพึ่งพาอาศัยกัน.....
สหรัฐฯ อาจจะพึ่งพาจีนอย่างลึกซึ้งด้วยการอาศัยการสั่งซื้อ​สินค้าจีนใช่หรือไม่?
มุกข่าวการส่งออกของจีนในเดือนกันยายนได้เพิ่มขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
1
สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ที่สำคัญกว่านั้น เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์กำหนดอัตราภาษีศุลกากรใหม่สำหรับสินค้าจีนที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม 2561
การส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาจึงเพิ่มขึ้น 31%
เมื่อคำนวณจากอัตราการเติบโตประจำปีที่ปรับฤดูกาลแล้ว สินค้าจีนจำนวนกว่า 635 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ​ โดยที่สหรัฐฯ กำลังซื้อนั้นเทียบเท่ากับ 27% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมการผลิตในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯเอง!
1
ผมจึงขอเปรียบการพึ่งพาการนำเข้ากับการพึ่งพาประเทศโลกที่สามในอธิปไตยอาณานิคมในอดีต ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
พบว่าการส่งออกของสหรัฐฯ ไปยังจีนคิดเป็นเพียง 30% ของการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯ
ในช่วงเวลาเดียวกัน การส่งออกของจีนไปยังเกาหลีใต้ก็เพิ่มขึ้น 50%
1
การส่งออกไปยังไต้หวันเพิ่มขึ้น 60%
1
และการส่งออกไปยังเยอรมนีเพิ่มขึ้น 61%
1
แต่การนำเข้าของจีนจากสามภูมิภาคเหล่านี้แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง....
1
หลังจากภัยพิบัติที่เกิดจากโรคระบาด
ความต้องการสินค้าจีนจากต่างประเทศที่สูงทำให้กำลังการผลิตของจีนตึงตัว
1
กลับนำไปสู่การขาดแคลนพลังงานในจีน ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์ ลดกำลังการผลิตลง
1
ประเทศจีนกำลังกำจัดการแพร่ระบาดของโรคโคโลน่าให้เร็วกว่าประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อื่น ๆ และกำลังการผลิตต้องได้รับความเสียหายน้อยที่สุด​
ส่วนนี้อธิบายได้ส่วนหนึ่งว่าทำไมการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาจึง​เพิ่มขึ้น
แม้ว่าการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกาประมาณครึ่งหนึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 20%
แน่นอน...สภาพที่ย่ำแย่ของห่วงโซ่อุปทานของอเมริกานี้เป็นแค่อีกซีกครึ่งหนึ่งของเรื่องราวนี้
1
ตัวอย่างเช่น ใบสั่งผลิตอุปกรณ์ที่ออกให้กับผู้ผลิตในสหรัฐฯ หยุดนิ่งที่ระดับปี 2535 เพียงครึ่งหนึ่งของยอดสูงสุดในปี 2543
ในปี 2561 การลดภาษีนิติบุคคลของฝ่ายบริหารของทรัมป์ ทำให้แรงจูงใจของบริษัทในการลงทุนลดลงและค่าธรรมเนียมการเสื่อมราคาอุปกรณ์ทุนลดลง ( อุปกรณ์ทุนหมายถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในบริษัทเพื่อเพิ่มผลผลิตหรือปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัย)
เพื่อให้สามารถจ่ายได้ต่ำกว่า อัตราภาษีนิติบุคคลขั้นพื้นฐาน
นโยบายการลดภาษีก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่ในปี 2562 บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ จ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้นคืนของตัวเองมากกว่ารายจ่ายของฝ่ายทุน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2551
1
ปัญหาอีกประการหนึ่งคือการลดลงของแรงงาน......
1
อัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานในสหรัฐอเมริกา (สัดส่วนของประชากรวัยทำงานที่มีงานทำหรือกำลังมองหางาน) ลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากการระบาดครั้งใหม่ และยังไม่ฟื้นตัว
1
สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมมาตรการภาษีที่ดำเนินการโดยฝ่ายบริหารของทรัมป์ (ซึ่งฝ่ายบริหารของไบเดนยังคงดำเนินการ) ล้มเหลวในการลดการพึ่งพาการผลิตของจีนของสหรัฐอเมริกา
1
สหรัฐอเมริกาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น และผู้บริโภคจะต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าเหล่านี้ ซึ่งนั่นทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
5
ฝ่ายบริหารของทรัมป์และฝ่ายบริหารของไบเดนต้องจ่าย 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในการบรรเทาทุกข์จากโควิด-19
ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณหนึ่งในสี่ของจีดีพีของสหรัฐฯ และพวกเขายังออกสวัสดิการการว่างงานเพิ่มเติม
ซึ่งอันที่จริงแล้วค่าใช้จ่ายของแรงงานส่วนใหญ่อยู่ที่ ค่าบ้าน.... ซึ่งมันส่งผลถึง 2 เท่า คือ ความต้องการสินค้า (โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าจากจีน) เพิ่มขึ้นในขณะที่อุปทานลดลง
และผนวกกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานทำให้ปัญหาคอขวดรุนแรงขึ้นในบางพื้นที่
1
โดยเฉพาะการขนส่ง จากการประมาณการโดย American Trucking Association ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีคนขับรถบรรทุกไม่ถึง 60,000 คน
โดยข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์นี้เผยแพร่โดย General Administration of Customs of China ใช้ซอฟต์แวร์ Eviews ใช้อัลกอริทึมสำมะโน X-13 เพื่อทำการปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล
ข้อมูลการส่งออกของจีนไปยังสหรัฐอเมริกานั้นสูงกว่าการนำเข้าของสหรัฐฯ จากประเทศจีน
สาเหตุหลักมาจากผู้นำเข้าชาวอเมริกันได้ซื้อผลิตภัณฑ์จากจีนที่ส่งออกไปยังประเทศที่สามเป็นครั้งแรกเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษี(555)
1
เพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีเพิ่มเติมที่สหรัฐฯ กำหนดต่อจีน
การส่งออกสินค้าของจีนไปยังประเทศที่ 3 ก่อนแล้วจึงเข้าสู่สหรัฐอเมริกา แนวทางปฏิบัตินี้ทำให้ข้อมูลของจีนมีความน่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลของสหรัฐอเมริกา
1
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2564 นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางสหรัฐ ได้ตีพิมพ์รายงานการวิจัยบนเว็บไซต์ของคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve Committee) พวกเขาอธิบายเรื่องนี้ในรายงานข้อมูลการค้าของสหรัฐแสดงให้เห็นว่า
ตั้งแต่ปี 2561 นับตั้งแต่ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทวีความรุนแรงขึ้น ตั้งแต่ในปี 2534 การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีนดูเหมือนจะแคบลงอย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม ข้อมูลของจีนบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง....
1
ดังที่แสดงให้เห็นจากการเกินดุลการค้าของจีนกับสหรัฐฯ การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ กับจีนเกือบจะถึงระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ภายในสิ้นปี 2563
จากมุมมองทางประวัติศาสตร์ จึงไม่น่าแปลกใจที่ข้อมูลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกามีความแตกต่างกัน และจำนวนความแตกต่างนั้นคงที่มาโดยตลอด
3
แต่หลังจากการระบาด ความขัดแย้งทางการค้า สหรัฐฯ รายงานว่ามีการลดลง เมื่อเทียบกับการลดลงในมูลค่ารวมของสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่รายงานโดยจีน
นั่นอาจมีสาเหตุจากสองประเด็น สำหรับปรากฏการณ์นี้.....
หนึ่ง...ผู้นำเข้าของสหรัฐรายงานมูลค่าของสินค้านำเข้าจากจีนต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
และ อีกประเด็น ผู้ส่งออกของจีนรายงานการส่งออกของตนมากเกินไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีพิเศษโดย รัฐบาลของจีนเอง
ในบันทึกนี้ เราพบว่าเหตุผลแรกสามารถอธิบายความแตกต่างส่วนใหญ่ได้
เนื่องจากผู้นำเข้าของอเมริการายงานมูลค่าสินค้านำเข้าจากจีนต่ำกว่าความเป็นจริง
แน่นอนว่ารายได้ภาษีของสหรัฐฯ คาดว่าจะสูญเสียไปเป็นจำนวนมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ในแต่ละปี
1
ส่วนภาพต่อไปนี้ ..
ไม่เกี่ยวข้องกับบทความ...
แค่อยากใส่ไว้เฉยๆ....
เอาล่ะ...กลับมาๆ.....อย่างไรก็ตาม จีนก็ไม่มีสิทธิ์กำหนดราคา มันเป็นเพียงการทำงานหนักในระดับที่ต่ำสุด ที่แลกกับการใช้พลังงานสูงและมลพิษสูง
1
มันเป็นการเสียสละทรัพยากรเพื่อสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และละเลยสิทธิมนุษยชน.... หรือไม่? ยังไงก็ต้องคอยติดตามกันต่อไป.....
1
โฆษณา