ในงานแถลงข่าว (เจ้าภาพ: Chugai Pharmaceutical Co., Ltd.) ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโตเกียววันที่ 27 กันยายน Kayoko Saito, specially appointed professor, Gene Therapy Center, Institute of Medical Genetics, Tokyo Women's Medical University ได้แสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ว่า “การปรากฏของยารักษาโรคทำให้เริ่มมองเห็นหนทางรักษา SMA” ในขณะเดียวกันก็ชี้ให้เห็นว่าอาการระยะเริ่มต้นของ SMA สังเกตยาก ส่งผลให้การวินิจฉัยล่าช้า อีกทั้งในงานแถลงข่าวยังมีการอธิบายเกี่ยวกับสถานการณ์ของการตรวจรักษา SMA หลังจากการปรากฏตัวของยาชนิดรับประทานดังกล่าวที่สามารถใช้ได้โดยไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงอายุที่เริ่มมีอาการหรือเป็นโรคกระดูกสันหลังคดร่วมในการใช้ยา
The all in 1 application for Healthcare professionals.
📰 Medical News, Journals & research summary
👨🏽🎓 CPE/CME/CMTE/CPD
🎥 Medical Talk VDO
📲 Download for free now!
💛ทุกดาวน์โหลดคือกำลังใจในการทำงาน ขอบคุณค่ะ💛
|------------------------------------------|
กลุ่มตัวอย่างการให้ยาคือ ผู้ป่วย SMA type I - III จากบรรดา Type 0 - IV (รูปที่ 1) ซึ่งจำแนกตามอายุที่เริ่มมีอาการและระดับการทำงานของเซลล์ประสาทสั่งการ
Type I เด็กอายุ 0 ถึง 6 เดือนหลังคลอดเริ่มมีอาการ เช่น นั่งไม่ได้หากไม่ช่วยพยุง และไม่ยกศีรษะ เป็นชนิดรุนแรงที่จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
Type II เริ่มมีอาการในเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน แม้จะนั่งได้โดยไม่ต้องช่วยพยุง แต่เดินยากถ้าไม่ช่วยพยุงและต้องใช้ชีวิตโดยการนั่งวีลแชร์
Type III เริ่มมีอาการในเด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไป มีเคสที่เดินได้โดยไม่ต้องช่วยพยุง แต่ขึ้นบันไดไม่ได้
Type I และการศึกษา FIREFISH: 29.3% นั่งโดยไม่ต้องช่วยพยุงเป็นเวลา 5 วินาที
การอนุมัติ risdiplam ดำเนินการโดยอิงจากการศึกษา FIREFISH, phase II / III ในผู้ป่วย SMA Type I และการศึกษา SUNFISH, phase II / III ในผู้ป่วย SMA Type II / III
primary outcome คือ สัดส่วนของผู้ป่วยที่นั่งได้โดยไม่ต้องช่วยพยุงเป็นเวลา 5 วินาทีใน 12 เดือนหลังให้ risdiplam และประเมินโดยใช้ coarse-scale motion ของ Bayley Scales of Infant and Toddler Development - Third Edition (BSID-III)
จากผลการตรวจสอบพบว่า primary outcome เท่ากับ 29.3% (90% CI 17.8 - 43.1%, P < 0.0001, รูปที่ 2) ซึ่งเกิน success criteria ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตาม natural history (5%) ไปมาก
สัดส่วนของผู้ป่วยที่คะแนนรวมของ motor function scale ใน Children's Hospital of Philadelphia Infant Test of Neuromuscular Disorders (CHOP INTEND) เพิ่มขึ้น 4 คะแนนขึ้นไปจาก baseline หลังการให้ยาของ secondary outcome เท่ากับ 90.2% (90% CI 79.1 - 96.6%, P < 0.0001) ต่อ success criteria ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตาม natural history 17%
นอกจากนี้ สัดส่วนของผู้ป่วยที่มีความสามารถในการรับประทานทางปากเท่ากับ 82.9% (70.3 - 91.7%) Saito ประเมินว่า “ผู้ป่วย SMA Type I มีหลายเคสที่ให้อาหารแบบ tube feeding หรือใส่สายอาหารทางหน้าท้อง (percutaneous endoscopic gastrostomy; PEG) และผู้ที่รับประทานอาหารทางปากได้เป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างมาก”