26 ต.ค. 2021 เวลา 12:32 • กีฬา
ทีมไม่ลงตัวแต่ได้โค้ชดี ก็สามารถไปถึงแชมป์ได้เหมือนกัน นี่คือกรณีศึกษาของอันโตนิโอ คอนเต้ ที่พาเชลซีคว้าแชมป์ลีกทันทีตั้งแต่ซีซั่นแรก
2
การที่โค้ชสักคนย้ายมาพรีเมียร์ลีกปีแรก แล้วได้แชมป์ทันที มีน้อยคนนักที่จะทำได้ แต่อันโตนิโอ คอนเต้ เป็นหนึ่งในนั้น กับเหตุการณ์สุดคลาสสิค คือการเปลี่ยนเชลซี จากระบบ 4-3-3 ที่คุ้นเคย เป็น 3-4-3 ที่ไม่มีใครเคยเล่นมาก่อนเลย
2
ย้อนกลับไปในพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2016-17 เชลซีกำลังเกิดความปั่นป่วนอย่างหนัก เนื่องจากโชเซ่ มูรินโญ่โดนไล่ออกไปก่อนหน้านี้ โรมัน อบราโมวิชจ้างกุส ฮิดดิงค์ เข้ามาคุมทีมชั่วคราว แล้วพอจบซีซั่นก็ต้องหาโค้ชใหม่ ก่อนจะไปลงเอยกับอันโตนิโอ คอนเต้ ผู้จัดการทีมชาติอิตาลี
1
คอนเต้เป็นชอยส์ที่สื่อเซอร์ไพรส์ เพราะก่อนหน้านี้เชลซี ใช้ราฟาเอล เบนิเตซ ตามด้วยโชเซ่ มูรินโญ่ ทั้งคู่เป็นกุนซือแท็กติกจ๋า จึงมีการคาดเดากันว่า อาจเปลี่ยนมาใช้โค้ชสายเกมรุกแทน แต่สุดท้ายอบราโมวิชก็ไปเลือกคอนเต้ ซึ่งก็เป็นสายแท็กติกเช่นกัน มาคุมทัพเชลซี
แต่แน่นอน เรื่องฝีมือของเขาถูกพิสูจน์มาแล้ว คอนเต้พายูเวนตุสเป็นแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา 3 สมัยติดต่อกัน โดยเฉพาะปีแรกของเขากับยูเว่ ทำสถิติแชมป์แบบไร้พ่ายด้วย
8
จุดเด่นของคอนเต้อันลือลั่นตอนอยู่อิตาลี คือการใช้ระบบการเล่น 3-5-2 ซึ่งในยุคที่วงการฟุตบอลสมัยใหม่ แต่ละทีมมักจะใช้ 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 การย้อนยุคกลับมาใช้ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ถือว่าไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทว่า 3-5-2 ของคอนเต้กลับได้ผลดีมากจริงๆ ในเซเรีย อา
จอร์โจ้ คิเอลลินี่, อันเดรีย บาร์ซาญี่ และ ลีโอนาร์โด้ โบนุชชี่ 3 ประสานอันแข็งแกร่ง เมื่อเล่นรวมกันแล้ว ยากมากที่ทีมไหนจะเจาะทะลวงไปได้
2
คอนเต้อยู่กับยูเวนตุส 3 ซีซั่น ก่อนก้าวไปรับงานคุมทีมชาติอิตาลี และเขาก็นำเอาระบบ 3-5-2 ไปใช้ด้วย กับ 3 เซ็นเตอร์แบ็กตัวเดิม คิเอลลินี่, บาร์ซาญี่ และ โบนุชชี่
1
หลังจบศึกยูโร 2016 คอนเต้อำลาตำแหน่งเฮดโค้ชทีมชาติ และมาเริ่มต้นงานใหม่ในฐานะผู้จัดการทีมเชลซี ซึ่งในตอนแรก หลายคนก็สงสัยมาก ว่าคอนเต้จะจัดแผนการเล่นอย่างไร
3
เพราะตั้งแต่ก่อตั้งพรีเมียร์ลีกมา เชลซีไม่เคยเล่นในระบบกองหลัง 3 คนมาก่อน ไม่ว่าผู้จัดการทีมจะเป็นใคร แต่เชลซีจะเล่นด้วยแผงแบ็กโฟร์เสมอ
1
คอนเต้นั้น เขาเองก็ไม่กล้าที่จะเอาระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กมาใช้กับเชลซี เพราะรู้ดีว่า นักเตะคงจะไม่คุ้นเคย ดังนั้นเขาจึงออกสตาร์ทฤดูกาลด้วยระบบ 4-3-3 ซึ่งเป็นแผนที่โชเซ่ มูรินโญ่ใช้งาน ก่อนจะอำลาเชลซีในช่วงกลางซีซั่นที่แล้ว
เกมแรกสุดของซีซั่น 2016-17 เชลซีเปิดฉากเจอกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ธีโบต์ กูร์ตัวส์ เป็นผู้รักษาประตู จอห์น เทอร์รี่ กับ แกรี่ เคฮิลล์ เป็นคู่เซ็นเตอร์ แบ็กขวาเป็นบรานิสลาฟ อิวาโนวิช ส่วนแบ็กซ้ายเป็นเซซาร์ อัซปิลิกวยต้า
1
กองกลางใช้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวใหม่ที่ย้ายมาจากเลสเตอร์ ส่วนอีกสองคนเป็นเนมานย่า มาติช และ ออสการ์ ขณะที่สามตัวรุกเป็นเอแด็น อาซาร์, วิลเลี่ยน และ ดีเอโก้ คอสต้า
1
ด้วยไลน์อัพแบบนี้ ดูเผินๆ ก็น่าจะแข็งแกร่งดี แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ทีมของคอนเต้เล่นไม่ดีเท่าไหร่ พวกเขาได้บุกเยอะก็จริง แต่ก็เปิดช่องให้เวสต์แฮมโจมตีหลายหนเหมือนกัน สกอร์นั้นอยู่ที่ 1-1 จนถึงนาที 89 เชลซีก็มาได้ประตูชัยจากดีเอโก้ คอสต้า จบเกมเฉือนไป 2-1 ในรูปเกมที่ไม่ดีเลย คือเป็นสามแต้มก็จริง แต่ก็ได้มาชนิดใจหายใจคว่ำ
นัดต่อมา เชลซีไปเยือนวัตฟอร์ด ที่วิคาเรจ โร้ด ไลน์อัพแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง และผลการแข่งก็ออกมาเหมือนเดิมเป๊ะ คือเชลซีชนะ 2-1 ได้ประตูชัยจากดีเอโก้ คอสต้า นาที 87
จะเห็นได้ว่า ชนะรวดสองเกมก็จริง แต่ลุ้นเหนื่อยทุกนัด ถ้าไม่มีดีเอโก้ คอสต้าล่ะก็ แต้มคงหลุดไปทั้ง สองนัดแล้ว
1
เชลซีชนะเบิร์นลีย์ในนัดที่ 3 ด้วยสกอร์ 3-0 ทำให้คอนเต้ ยังคงยึดมั่นแผน 4-3-3 ต่อไป แต่พอเขาสู่เกมที่ 4 สัญญาณอันตรายก็มาถึง เมื่อต้องไล่ตามตีเสมอสวอนซีอย่างเหน็ดเหนื่อยด้วยสกอร์ 2-2
หลังจากเสมอสวอนซี นัดต่อมากลับมาเล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ คราวนี้แพ้ลิเวอร์พูลคาบ้าน 1-2 เป็นการพ่ายแพ้นัดแรกในพรีเมียร์ลีกของคอนเต้
ยิ่งไปกว่านั้น นัดที่ 6 เชลซีไปเยือนเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมของอาร์เซน่อล ปรากฏว่าแค่ครึ่งแรก โดนทีมปืนใหญ่นำห่างไป 3-0 กับทรงเกมที่สู้ไม่ได้เลย ระบบ 4-3-3 ของคอนเต้ เมื่อมาเจอแผน 4-2-3-1 ของอาร์เซน่อล กลายเป็นบอลแพ้จังหวะกัน อาร์เซน่อลนำห่างไปไกล 3 ลูกแบบสบายๆ
พอพักครึ่ง มีเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในฤดูกาล นั่นคือคอนเต้เห็นแล้วว่า 4-3-3 มันไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนระบบการเล่นระหว่างเกม มาใช้ 3-4-3 แทน นี่คือระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กที่เขาคุ้นเคย
4
แกรี่ เคฮิลล์, ดาวิด ลุยซ์ และ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช มาเล่นเซ็นเตอร์ 3 คน ส่วนอัซปิลิกวยต้า ที่ครึ่งแรกเล่นแบ็กซ้าย โดนจับโยกไปเล่นวิงแบ็กขวา ส่วน กองกลาง เชส ฟาเบรกาส โดนถอดออก แล้วส่งมาร์กอส อลอนโซ่ ลงเล่นเป็นวิงแบ็กซ้าย
การปรับแผนการเล่น มันทำให้เชลซีเล่นดีขึ้นชัดเจน ในเกมกับอาร์เซน่อล ถ้าวัดกันที่ครึ่งหลังอย่างเดียวเชลซีเล่นดีกว่า และอาร์เซน่อลก็เจาะไม่เข้าเลย จบเกมที่ 6 ของฤดูกาล อาร์เซน่อลชนะ 3-0 ก็จริง และเชลซีก็แพ้ 2 นัดรวด
แต่สิ่งสำคัญจากนัดนี้ มันทำให้คอนเต้ได้ "ไอเดีย" ว่าเชลซีแม้จะเป็นทีมจากอังกฤษ แต่ก็สามารถปรับมาใช้ระบบกองหลัง 3 คน ในสไตล์อิตาเลียนที่เขาคุ้นเคยได้
1
ฟุตบอลอังกฤษนั้น เคยใช้ระบบกองหลัง 3 คนกันก็จริง แต่เป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พอฟุตบอลวิวัฒนาการเป็นสมัยใหม่ ในอังกฤษก็ล้วนแล้วแต่เล่นด้วยแแผงแบ็กโฟร์ ดังนั้นตอนที่คอนเต้ คิดจะลองหันมาใช้ ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กอย่างจริงจัง จึงเกิดคำถามไม่น้อยว่าจะเวิร์กหรือ
1
คอนเต้กล่าวว่า "ผมเชื่อมาตลอดว่า ทีมจะเล่นในระบบ 3-4-3 ได้ดี ในหัวของผมคิดว่ามันเป็นไปได้ เพราะผมรู้สไตล์การเล่นของนักเตะในทีม ตอนที่ผมคุยกับสโมสรก่อนรับงานที่นี่ ผมบอกไว้อย่างชัดเจนเลยว่า นี่คือแผนทางเลือกของเรา ถ้าแผนดั้งเดิมใช้การไม่ได้"
2
เมื่อตัดสินใจแล้วว่า จะใช้ระบบ 3-4-3 คอนเต้จึงโฟกัสที่แผนนี้อย่างเต็มตัว ขั้นแรกสุดในการซ้อมที่ค็อปแฮม คอนเต้ จะวาง 11 ผู้เล่นตัวจริงในสนามซ้อม โดยไม่มีคู่ต่อสู้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ก่อนว่า ตัวเองจะต้องยืนตรงไหนของสนาม จากนั้นก็ลองให้ทั้งทีม เคลื่อนที่ไปรอบๆ จ่ายบอลไปมาให้กัน สร้างความคุ้นเคยกับการยืนตำแหน่งในระบบ 3-4-3
1
สิ่งที่คอนเต้ต้องคิด มีหลายข้อมาก ข้อแรกสุดคือ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก เขาจะวางใครยืนดี คือถ้าใช้ เซ็นเตอร์แบ็กตัวใหญ่สามคนเหมือน คิเอลลินี่, บาร์ซาญี่ และ โบนุชชี่ แบบตอนคุมยูเวนตุส มันไม่น่าเวิร์ค นั่นเพราะฟุตบอลอังกฤษมีจังหวะที่เร็วกว่าฟุตบอลอิตาลีเยอะ
3
กองหน้าในพรีเมียร์ลีก มีความคล่องตัวสูงกว่าในเซเรีย อา นั่นแปลว่าถ้าใช้ 3 เซ็นเตอร์แบ็กธรรมชาติ มีสิทธิโดนคู่แข่งทะลวงได้ง่ายๆเลย
ดังนั้นคอนเต้จึงวางไลน์อัพได้อย่างน่าสนใจ โดยเขาเลือกใช้ ดาวิด ลุยซ์ ยืนเป็นเซ็นเตอร์ตัวกลาง วางแกรี่ เคฮิลล์เป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวซ้าย ขณะที่เซ็นเตอร์แบ็กฝั่งขวาเขาเลือก เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ซึ่งเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก เพราะก่อนหน้านี้ ทุกคนรู้กันมาตลอดว่า ตำแหน่งที่อัซปิลิกวยต้าเล่นได้ คือฟูลแบ็กสองข้าง แต่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่าเขาก็เล่นเซ็นเตอร์แบ็กได้เหมือนกัน
6
ส่วนปัญหาข้อต่อมาคือวิงแบ็กซ้าย-ขวา จะใช้ใครดี ฝั่งซ้ายไม่ยากเท่าไหร่ นั่นเพราะมีมาร์กอส อลอนโซ่ สตาร์ชาวสเปนที่ย้ายมาในช่วงซัมเมอร์ เขาสามารถเล่นได้เลยทันที แต่วิงแบ็กขวาที่ไม่มีใครเล่นได้แบบธรรมชาติ คอนเต้ ตัดสินใจเลือก วิคเตอร์ โมเสส ดาวเตะชาวไนจีเรียยืนเป็นตัวจริง
1
ทุกคนทราบดีว่าตำแหน่งจริงๆของโมเสสเป็นตัวรุก ไม่เคยเป็นวิงแบ็กมาก่อน ดังนั้นจึงสร้างความประหลาดใจว่าจะเล่นได้จริงๆ หรือ
ในเกมที่ 7 ของฤดูกาล หลังจากเชลซีแพ้อาร์เซน่อล พวกเขาไปเยือนฮัลล์ ซิตี้ และปรากฎว่า ขุนพลสิงห์บลูส์ เอาชนะไปได้แบบเด็ดขาดมากด้วยสกอร์ 2-0
สกอร์อาจไม่เยอะ แต่ในรายละเอียดของเกม พวกเขาเอาต์คลาสฮัลล์อย่างขาดลอย สร้างโอกาสยิงได้ 22 หน เกมรุกคม เกมรับแน่น นี่เป็นเชลซี ที่แตกต่างจาก 6 เกมแรกแบบคนละเรื่อง
1
ด้วยแผน 3-4-3 เวลาเล่นเกมรับ วิงแบ็กสองข้างก็จะถอยต่ำ เมื่อรวมกับ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก และมิดฟิลด์ตัวรับสองคน ก็องเต้ และ มาติช เท่ากับว่าเชลซีมีผู้เล่นถึง 7 คน ที่ช่วยป้องกันคู่แข่ง
1
ด้วยแผนนี้ ทำให้เชลซีมีเกมรับแน่นมากๆ จนคู่แข่งแก้ทางไม่ได้ จะโยนบอมบ์กลางอากาศโจมตี ก็มีเคฮิลล์ กับลุยซ์ ที่เล่นลูกโหม่งได้ดีคอยสกัดทิ้ง หรือพอฮัลล์จะใช้กองหน้าเร็วๆ ควบไปเล่นบอล เชลซีก็มีอัซปิลิกวยต้า คอยสกัดบอลบนภาคพื้น
1
ส่วนเกมรุก เชลซีจะมี อาซาร์ วิลเลียน และดีเอโก้ คอสต้า เป็นสามตัวบน แล้วได้ความเร็วของอลอนโซ่ กับ โมเสส ที่ช่วยโอเวอร์แล็ปขึ้นไป เท่ากับว่ามีตัวรุก 5 คน คอยโจมตีคู่แข่ง
2
ณ เวลานั้น ทั้งพรีเมียร์ลีกใช้แผงแบ็กโฟร์ 4 คนเล่นเกมรับ มันแปลว่า ตัวรุกเชลซี 5 ตัว เจอกับ ตัวรับคู่แข่ง 4 ตัว ยังไงก็ได้เปรียบกว่า
หลังจากชนะฮัลล์ เชลซีชนะรวดอีก 12 เกมติดต่อกัน ทะยานขึ้นจ่าฝูงแบบไร้ผู้ต่อกร โดยใน 12 เกมดังกล่าว เชลซียิงได้ 30 ลูก และเสียไปแค่ 4 ลูกเท่านั้น มันเพอร์เฟ็กต์ไปทุกๆ อย่าง คู่ต่อสู้ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
3
ในแนวรุกของเชลซี เอแด็น อาซาร์ จะเริ่มต้นที่ริมเส้นด้านซ้าย ซึ่งอาซาร์เมื่อได้บอลก็จะเลี้ยงตัดเข้าใน แบ็กขวาของคู่แข่งต้องวิ่งตามมาประกบไม่อย่างนั้นอาซาร์ก็หลุดเข้าไปยิงโล่งๆ ซึ่งพอตัวประกบตามมา วิงแบ็กซ้าย อลอนโซ่ ก็จะโอเวอร์แล็ปเติมขึ้นมาทันที เพราะไม่มีฟูลแบ็กคู่แข่งยืนคุมริมเส้นอีกแล้ว
4
ด้านในก็มีดีเอโก้ คอสต้า ที่ไว้ใจได้สุดๆยืนอยู่ในกรอบเขตโทษ โดยในฤดูกาล 2016-17 คอนเต้สั่งให้คอสต้า ยืนค้ำในเขตโทษไปเลย และคอยจบสกอร์จากการจ่ายบอลของวิงแบ็กทั้ง 2 ข้าง หรือพวกปีกทั้ง อาซาร์ วิลเลียน และเปโดร แน่นอนว่า เมื่อมีคนป้อนบอลให้ยิงเน้นๆแบบนี้ ก็ช่วยให้คอสต้าซัดประตูอย่างถล่มทลายจริงๆ
1
ทีมในพรีเมียร์ลีก ไม่มีใครแก้ทางเชลซีได้เลย เจาะก็ไม่เข้า เกมรับก็ป้องกันไม่อยู่ แผน 3-4-3 ของคอนเต้ กลายเป็นเทรนด์ใหม่ของพรีเมียร์ลีก และแสดงให้เห็นว่า สไตล์อิตาเลียนของเขา ก็สามารถปรับมาใช้กับฟุตบอลอังกฤษได้จริงๆ
1
ในปี 2016 คอนเต้พาทีมชนะทุกนัด ตั้งแต่ 1 ตุลาคม จนถึง 31 ธันวาคม ชนะ 100% และได้รางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก 3 เดือนติดต่อกัน
2
แผน 3-4-3 เวลาไปเจอกับ 4-3-3 เรียกได้ว่ากินเรียบหมด เชลซีถล่มแชมป์เก่าเลสเตอร์ 3-0 ไล่อัดแมนฯยูไนเต็ด 4-0 ตามด้วยยิงเอฟเวอร์ตัน 5-0 คือถ้าใครใช้แผนเดิมๆ มาชนคอนเต้ล่ะก็เสร็จหมด
1
พอเข้าปี 2017 คอนเต้ เจอกับสเปอร์ส ของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ซึ่งสเปอร์สเป็นทีมแรกที่แก้ทางเชลซีได้ โดยโปเช็ตติโน่จัดแผนการเล่น 3-4-3 มาสู้ ซึ่งเมื่อเจอแผนกองหลังสามคน ทำให้เชลซีมีความสับสนเล็กน้อย ก่อนที่จะพ่ายสเปอร์สไป 2-0
1
อย่างไรก็ตาม นอกจากสเปอร์สแล้ว ไม่มีใครแก้ทางเชลซีได้อีกเลย บางทีมลองเปลี่ยนมาใช้ 3-4-3 สู้ แต่ความคุ้นเคยระบบต่างกัน ก็สู้กันไม่ได้ ดังนั้นทีมสิงห์บลูส์ ล จึงเดินหน้าเก็บชัยชนะได้เรื่อยๆ และสุดท้าย คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการทำได้ถึง 93 คะแนน
4
คือนับตั้งแต่เปลี่ยนแผนมาเป็น 3-4-3 แล้วขึ้นนำเป็นจ่าฝูงของลีกครั้งแรก ในเดือนพฤศจิกายน จากนั้นเชลซีไม่เคยหล่นจากอันดับ 1 อีกเลย ส่งผลให้คอนเต้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่คุมทีม
1
เมื่อจบซีซั่น คอนเต้เองก็ออกมายอมรับว่า "การตัดสินใจเปลี่ยนแผนการเล่นในครึ่งหลังของเกมกับอาร์เซน่อล มันเปลี่ยนฤดูกาลของเราไปอย่างสิ้นเชิง"
เชลซี ของอันโตนิโอ คอนเต้ กลายเป็นทีมแรกในรอบ 54 ปี ของฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ด้วยระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ต่อจากเอฟเวอร์ตัน ของแฮร์รี่ แคทเทอริค ในปี 1963
1
ใครที่พูดกันว่า กองหลัง 3 คน มันเอาต์ไปแล้ว เชยไปแล้ว คงจะได้เห็นแล้วว่า ถ้ามีนักเตะที่ตอบโจทย์กับแผน คุณก็สามารถเอาชนะคู่แข่งได้เช่นเดียวกัน
จากนั้นเป็นต้นมา การเล่นกองหลัง 3 คน กลายเป็นเทรนด์ของฟุตบอลอังกฤษ สถิติบ่งบอกว่า ในซีซั่น 2016-17 มีถึง 17 ทีมจาก 20 ทีมในพรีเมียร์ลีก ที่เคยเปลี่ยนมาใช้ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก อย่างน้อย 1 แมตช์
1
แม้แต่ทีมชาติอังกฤษ ของแกเร็ธ เซาธ์เกต ตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018 เป็นต้นมา ก็ยังใช้ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก โดยเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งขวาของอังกฤษ เลือกใช้ ไคล์ วอล์กเกอร์ ซึ่งปกติเป็นแบ็กขวา ซึ่งไอเดียนี้ก็เชื่อว่า ได้มาจากคอนเต้ ที่วางอัซปิลิกวยต้า เป็นเซ็นเตอร์แบ็กตัวขวานั่นเอง
1
สำหรับอันโตนิโอ คอนเต้ อำลาจากเชลซี หลังจบฤดูกาล 2017-18 แต่ก็แยกทางอย่างประทับใจด้วยผลงาน 1 แชมป์พรีเมียร์ลีก และ 1 แชมป์เอฟเอคัพ
และแน่นอนว่า แฟนๆเชลซี คงยากที่จะลืมแท็กติก 3-4-3 อันลือลั่นของเขา มันคือกลยุทธ์ทีเด็ด ที่ทำให้ทุกทีมในอังกฤษต้องยอมสิโรราบ
จุดที่น่าสนใจที่สุดของแชมป์ซีซั่น 2016-17 คือ "ความกล้า" ที่จะเปลี่ยนแปลง ลองคิดดูว่า ถ้าคอนเต้ เอาแต่กลัว คิดว่าฟุตบอลอังกฤษยังไงต้องใช้แบ็กโฟร์ สูตรกองหลัง 3 คน มันไม่เวิร์กหรอก คือถ้าเขาเอาแต่คิดแบบนั้น เชลซีก็คงยังไม่สามารถชนะคู่แข่งได้อยู่
2
แต่คอนเต้ กล้าที่จะทดลอง กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มันนำมาซึ่งชัยชนะอันน่าจดจำในท้ายที่สุด
1
จริงๆ ตลอดอาชีพการทำงานของเขา มีเคสการโชว์แท็กติกเหนือๆ ให้เห็นมาโดยตลอด เรื่องของเชลซีเป็นแค่หนึ่งในนั้น ตอนอยู่อินเตอร์ มิลาน ใช้ระบบ 3-5-2 และ 3-4-1-2 พาทีมงูใหญ่คว้าแชมป์เซเรีย อา ปิดฉากความยิ่งใหญ่ของยูเวนตุสลงได้สำเร็จ
ดังนั้นทีมไหนก็ตาม ที่ได้ตัวคอนเต้มา ก็รับรองได้ว่า เรื่องแท็กติก การแก้เกม ระยะสั้น และระยะยาว ไม่ด้อยไปกว่าใคร อย่างน้อยก็อยู่ในระดับเดียวกับ โทมัส ทูเคิล, เจอร์เก้น คล็อปป์ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่าแน่นอน
2
ตอนนี้ อัตราต่อรองว่าคอนเต้ จะเป็นโค้ชคนใหม่ของแมนฯ ยูไนเต็ด ถึงดันขึ้นเป็นเต็ง 1 แล้ว นี่คือชอยส์ที่มีความเป็นไปได้สูงสุด เพราะคอนเต้คุ้นเคยกับฟุตบอลอังกฤษ สามารถทำงานได้เลย โดยไม่ต้องปรับตัวเยอะ และที่สำคัญคือกำลังว่างงานอยู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่จำเป็นต้องไปฉีกสัญญากับใคร
2
แต่คำถามอยู่ที่ใจของผู้บริหาร ว่าอยากจะใช้บริการของเจ้าแท็กติกคนนี้ ที่กำลังว่างอยู่ (และถ้าช้าอาจจะโดนนิวคาสเซิลฉกแย่งไป) หรือจะลองอีกสักเฮือกเกลี้ยกล่อมซีเนอดีน ซีดาน ให้ยอมตกลงใจให้ได้
หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือไม่เอาทั้งสองคนแล้วเดิมพัน กับ Ole's at the wheel จนเฮือกสุดท้าย
3
#NEEDCHANGE?
โฆษณา