27 ต.ค. 2021 เวลา 03:44 • ความคิดเห็น
กรรมคือการกระทำ มี2แบบคือกรรมดีและกรรมไม่ดี ดูที่เจตนาประกอบด้วยค่ะ ตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านสอนคือ สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน ผู้ใดกระทำกรรมอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลของกรรมค่ะ (เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจักทำกรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น จากอรรถกถา อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต พระไตรปิฎกเล่มที่ 24 หน้าที่ 91) กรรมนั้นไม่สามารถถ่ายโอนได้
ไม่สามารถทดแทนหรือล้างให้หายได้ ไม่มีการทำบุญเพื่อล้างบาปค่ะ สมมติว่าเมื่อมีเกลือในตุ่ม เกลือคือบาป
ในตุ่มมีแต่เกลือ ก็อาจจะต้องเจอแต่บาป แต่เมื่อเติมน้ำ น้ำคือบุญ เติมน้ำลงไปยิ่งมากเข้า เกลือยิ่งเจือจางลง แต่เกลือก็ไม่ได้หายไปค่ะ เพียงแต่เปลี่ยนความเข้มข้น ก็เหมือนว่าบาปนั้นยังคงอยู่ แต่เมื่อบุญมากก็เจือจางไปค่ะ
ไม่มีใครทำบุญหรือทำบาปเพื่อมาทดแทนกันได้ค่ะ เช่น เมื่อเรากินข้าว เรานั้นอิ่ม ความอิ่มแทนบุญ เราบอกว่าเราจะแบ่งความอิ่มนี้แก่คนไร้บ้าน ซึ่งความจริงทำไม่ได้ คนไร้บ้านไม่ได้อิ่มหากไม่ได้กินข้าวค่ะ บุญอาจเกิดเมื่อเราซื้อข้าวให้คนไร้บ้าน แต่ก็ไม่ยั่งยืนค่ะ เขาอาจอิ่มเพียงแค่ไม่กี่มื้อ หลังจากที่เราผ่านไปหากไม่มีคนให้เขาก็หิวอีกค่ะ หากเราสามารถช่วยเขาให้มีงานที่ดีขึ้น มีที่อยู่ที่มั่นคงขึ้นนั่นจะดีกับตัวเขามากกว่าค่ะ แต่ในทางศาสนาเมื่อเราร่วมอุทิศ พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี เช่นงานมงคล งานบวช เราก็ได้รับอานิสงส์ตรงนั้นค่ะ ส่วนเรื่องบุญบาป เป็นเรื่องของความเชื่อค่ะ ความเชื่อเราบังคับใครไม่ได้ แต่ควรเชื่อตามความเป็นจริงและเป็นไปได้ ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ตัวเอง ผู้อื่น สิ่งอื่นค่ะ ไม่หลงมัวเมาไปกับความเชื่อมากไปค่ะ ทำตามที่ตนสะดวกและสบายใจทำค่ะ เชื่อว่ามีก็มี ถ้าเชื่อว่าไม่มีก็ไม่มีค่ะ
เพราะฉะนั้นพ่อแม่ทำสิ่งใดย่อมได้รับสิ่งนั้นค่ะ เราทำสิ่งใดก็ย่อมได้รับสิ่งนั้น ทดแทนกันไม่ได้ แต่พลอยรับอานิสงส์ได้ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีได้ เราเองก็สบายใจ ลดอคติลง ลดความอิจฉาและตึงเครียด สมองก็อาจหลั่งสารสื่อประสาทเช่น โดปามีน เอ็นโดรฟินออกมา เราก็รู้สึกดี อิ่มเอมใจ ร่างกายเราก็ดีขึ้น ภูมิต้านทานดีขึ้น บางครั้งการทำบุญอาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงแต่มีผลทางใจค่ะ ที่ทำแล้วรู้สึกดีขึ้น ร่างกายดีขึ้น สบายใจขึ้น เพราะร่างกายกับจิตใจสัมพันธ์กันค่ะ ใจเราดีกายเราก็ดีขึ้นค่ะ สมองเรารับรู้ได้แม้เราจะไม่อยากยิ้ม แต่มองหน้ากระจกแล้วชูมือแล้วยิ้ม สารสื่อประสาทก็หลั่งออกมาค่ะ การสวดมนต์ ทำบุญ ฟังเทศน์ หรือประกอบกิจตามศาสนาตน ก็มีผลต่อคลื่นสมองค่ะ ซึ่งถ้าทำในสิ่งที่ดี ไม่เบียดเบียนใครหรือสิ่งใดก็ไม่ผิดที่จะเชื่อค่ะ หรือคนที่ไม่เชื่อก็ไม่ผิดค่ะ คนเราตัดสินใครไม่ได้ เพราะเรามีความคิดต่างกันค่ะ
ถูกหรือผิดอยู่ที่คนมองค่ะ ไม่เชื่อหรือเชื่อ ล้วนต่างไม่มีใครผิดค่ะ ขอแค่ดำรงชีพตนบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ ไม่เบียดเบียนตัวเอง คนอื่น หรืออะไร รักษาสิทธิ์ตนได้ แต่ไม่เบียดเบียนใครเดือดร้อน ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอแล้วค่ะ ไม่ว่าจะคิดแบบไหน ไม่มีสิทธิ์ไปละเมิด ดูถูก ก้าวก่ายความคิดใครค่ะ
แม้ว่าอาจไม่พูดถึงเรื่องบาป บุญ แต่เชื่อว่าคนทุกคนรู้อยู่ในใจลึกๆค่ะว่ากำลังทำอะไรค่ะ หากทำสิ่งที่ไม่ดีอาจไม่ต้องพูดเรื่องบาปค่ะ แต่เราย่อมรู้ในสิ่งๆนั้นแม้คนอื่นอาจไม่รู้อยู่ดีค่ะ และอาจตามหลอกใจเราไปตลอดค่ะ เรารู้ในสิ่งที่เราทำอยู่ดีค่ะแม้ไม่มีเรื่องบาป บุญ แต่บาปของพ่อแม่ที่ส่งผลต่อลูกก็มีค่ะ เช่นลูกที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี สังคมที่ไม่ดี พ่อแม่มีปัญหาหรือทำร้ายร่างกายกัน แบบนี้บาปที่ว่าคงเป็นเรื่องทางจิตใจของลูกค่ะที่เขาจะรับความรู้สึกไม่ดีไป เห็นตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะมนุษย์เรียนรู้จากการเลียนแบบ อาจทำให้เขาอาจเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง เกรี้ยวกราด อารมณ์ร้อน(แต่ไม่เสมอไปค่ะ หากมีการศึกษา หรือสามารถแยกแยะได้ ไม่จำเป็นที่ลูกจะต้องนิสัยไม่ดีเหมือนพ่อแม่ค่ะ)
และก็จะส่งกันเป็นรุ่นต่อรุ่นเมื่อลูกมีลูกค่ะหากลูกรับแต่นิสัยของพ่อแม่มา เพราะนิสัยของเด็กมาจากพันธุกรรมกับการเลี้ยงดูค่ะ ท้ายสุดอาจเกิดปัญหาแก่คนอื่นหรือสังคม แบบนี้น่าจะเป็นบาปที่แท้จริงค่ะ
โฆษณา