28 ต.ค. 2021 เวลา 07:03 • ประวัติศาสตร์
*** เปิดประตูสู่โลกผีญี่ปุ่น ***
เวลาพูดถึงญี่ปุ่นแล้ว หนึ่งในสิ่งที่เรานึกถึง นอกจาก การกิน เกม และการ์ตูนแล้วนั้น คงไม่พ้น “เรื่องผี” เพราะผีญี่ปุ่นมีหลากหลายแบบมาก นอกจากความหลอน บางตัวก็น่าสนใจ หรือบางครั้ง อาจไปถึงขั้นน่ารัก!?
เนื่องจากวันฮัลโลวีนใกล้เข้ามาแล้ว บทความนี้ผมเลยจะขอเล่านิยามของผีญี่ปุ่น ทั้งที่เรียกว่า “ยูเร” และ “โยไค”พร้อมนำเรื่องราวของผีญี่ปุ่นอีก 7 ตัวมาเล่าประกอบโดยมีทั้งเรื่องภูติผีที่ดังที่สุด (หมายเลข 3) เรื่องน่าสงสารที่สุด (หมายเลข 4) และเรื่องที่น่ารักที่สุด (หมายเลข 7)
ก่อนจะไปฟังเรื่องผี ต้องขอเกริ่นประวัติก่อน หลายแหล่งจะแบ่งผีญี่ปุ่นออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่ ยูเร (幽霊) และ โยไค (妖怪) ซึ่งมีความแตกต่างกันดังนี้นะครับ…
“ยูเร” หากแปลความหมายตรงตามตัวอักษรแล้ว “ยู” หมายถึง ซีดจาง ส่วน “เร” หมายถึงวิญญาณ รวมเป็น “วิญญาณจืดจาง” ฟังดูน่าสงสาร... ซึ่งก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละครับ เพราะยูเรมาจากคนที่ตายตาไม่หลับ เพราะยังมีบุญคุณความแค้นซึ่งไม่ได้สะสางให้ลุล่วง หรืออาจเพราะลูกหลานไม่ได้จัดงานศพให้ถูกต้อง เลยยังต้องวนเวียนอยู่บนโลกตามยถากรรม หากเปรียบกับไทยก็คล้ายๆ คำว่า “สัมภเวสี”
1
ภาพแนบ: ยูเร
ยูเรเฮี้ยนๆ โดยมาก มาจากคนที่ตอนมีชีวิตอยู่นั้นอาภัพ เจอเรื่องโหดร้ายรุนแรง โดนกลั่นแกล้งมาตลอด หรืออาจจะตายโดยยังไม่สิ้นอายุขัย (เช่น ฆ่าตัวตาย หรือโดนฆาตกรรม) พวกนี้ก็จะเฮี้ยนเป็นพิเศษ อันเป็นที่มาของความหลอนมากมาย
ถ้าใครเคยเห็นภาพผีญี่ปุ่นรูปร่างหน้าตาเหมือนคนแต่หน้าซีดๆ ใส่ชุดขาว ผมยาวดำ ไม่มีขา ลอยไปลอยมา บางทีก็ปรากฏตัวเป็นเพียงลูกไฟ ...นั่นล่ะครับยูเร
ภาพแนบ: ผีโคมไฟ
ส่วน “โยไค” นั้น “โย” คำว่าหมายถึง ความน่าสนใจ น่าหลงใหล ส่วนคำว่า “ไค” แปลว่า ปริศนา ความไม่ชอบมาพากล รวมกันแล้วก็เป็น “อะไรแปลกๆ ที่น่าค้นหา” ฟังดูน่าสนใจกว่ายูเรมาก และก็มีหลากรูปแบบกว่ามากด้วย
โยไคนั้นหากเทียบกับไทย น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า “ผี” ตามความเชื่อเรื่องศาสนาผีหรือวิญญาณนิยม (Animism) ซึ่งเป็นศาสนาแรกที่คนในโลกนับถือร่วมกัน ผีในที่นี้หมายถึงตัวตนเหนือธรรมชาติที่สามารถให้คุณให้โทษได้ โดยผีไม่จำเป็นต้องเป็นผีร้าย หลายกรณีเราก็เรียกเทพว่าผี เช่นผีฟ้า เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่หลายครั้งโยไคก็กลายเป็นคามิ (เทพ) ได้ด้วย
1
ดังนั้น โยไคอาจปรากฏอยู่ในหลากรูปแบบ เป็นได้ทั้งวิญญานที่สิงอยู่ในข้าวของเครื่องใช้ประจำวัน เช่น ผีร่ม, ผีโคมไฟ ฯลฯ หรือจะเป็นอสูรกายเช่น ยักษ์, ผีคอยาว, กัปปะ, จิ้งจอก อะไรแบบนั้นก็ได้
ในศาสนาผีญี่ปุ่น มนุษย์นั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และจะมีการกลับชาติมาเกิดแบบ random เหมือนศาสนาผีของไทย เช่นคนเมื่อตายแล้วอาจจะไปเกิดเป็นเทนงู และกลับมาเกิดเป็นคนอีก โดยไม่ได้มีกติกาเรื่องบุญกรรมของศาสนาพุทธมาเกี่ยวนัก (คอนเซปการกลับชาติมาเกิดแบบนี้ยังเห็นได้จากนิทานพื้นบ้านบางเรื่องของไทย เช่นปลาบู่ทอง ที่คนตายแล้วกลายเป็นปลาบู่ ต้นไม้ และนกแขกเต้าแบบ random)
ในที่นี้เรื่องผมจะหยิบยกเรื่องของ “ภูติผีปีศาจญี่ปุ่น” ที่ดังๆ มาเล่าพอหอมปากหอมคอทั้งหมด 7 เรื่องนะครับ…
ภาพแนบ: อามาเทระสุ
เรื่องที่ 1: อีกาสามขา
“อีกาสามขา” หรือ “ยาตะการาสุ” เป็นหนึ่งในสัตว์วิเศษสำคัญของญี่ปุ่น สืบทอดมาจากความเชื่อดั้งเดิมของจีนที่ว่ามีอีกาอาศัยอยู่บนดวงอาทิตย์ (ผู้อ่านอาจจะคุ้นกับตำนานโฮ่วอี้ยิงอีกาพระอาทิตย์ของจีน) และเนื่องจากคนญี่ปุ่นนับถือพระอาทิตย์ จึงนับถืออีกาสามขาเป็นสัญลักษณ์แทนกันไปด้วย
1
บางกระแสเชื่อว่าอีกานั้นคือพระอาทิตย์ ส่วนขาสามขาที่งอกออกมาหมายถึง ฟ้า, ดิน, และคน (คอนเซปของของสำคัญสามอย่างที่ลอกมาจากจีนอีกแล้ว) และเมื่อความเชื่อจีนผสมกับความเชื่อท้องถิ่น ชาวญี่ปุ่นก็ถือกันว่า ยาตะการาสุ คือนกผู้ส่งสารของอามาเทระสุ เทพีแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพสูงสุดในศาสนาชินโต ดังนั้นสถานะในช่วงต่อมาของอีกาสามขาก็พัฒนาจากโยไคไปเป็นคามิด้วย
ภาพแนบ: จักรพรรดิจิมมุและยาตะการะสุ
ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคเทพนิยาย พระจักรพรรดิองค์แรกของญี่ปุ่น นาม “จักรพรรดิจิมมุ” ได้พยายามสร้างชาติ แต่ประสบความลำบากทั้งจากศัตรูเผ่าอื่นและภัยธรรมชาติ เทพีอามาเทระสุเห็นใจเลยให้ยาตะการาสุไปนำทางจักรพรรดิจิมมุมุ่งสู่ทิศตะวันออก จนสามารถสร้างอาณาจักรขึ้นมาได้สำเร็จ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ยามาโตะ (ปัจจุบันคือนารา)
ปัจจุบัน ญี่ปุ่นยังมีการใช้อีกาสามขาเป็นสัญลักษณ์อยู่ ปรากฏให้เห็นในสัญลักษณ์ทีมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) นั่นเอง
ภาพแนบ: เทนงูที่มีหน้าเป็นนกกา ศิลปะสมัยเอโดะ
เรื่องที่ 2: เทนงู
เทนงูเดิมเป็นผู้เฝ้าสวรรค์ (คันจิของเทนงูอ่านเป็นจีนว่าเทียนโก้ว แปลตรงตัวคือ “สุนัขสวรรค์”) รูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีปีกบินไปไหนมาไหนได้ แรกๆ เชื่อกันว่าเทนงูมีปากเหมือนอีกา แต่ยุคต่อมากลับมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ยังมีใบหน้าสีแดง ตาโต และจมูกยาว กว่าคนทั่วๆ ไป ทั้งดูโกรธอยู่เสมอๆ นักวิชาการรุ่นหลังเชื่อว่ารูปลักษณ์ของเทนงูอาจจะมาจากครุฑอินเดีย และครุฑถูกเอามาปนกับชื่อสุนัขสวรรค์ได้อย่างไรนั้นยังไม่แน่ชัด
ตำนานช่วงแรกๆ กล่าวถึงเทนงูในทางไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คือเป็นมารที่ชอบก่อกวนชาวบ้าน โดยเฉพาะพระสงฆ์ เทนงูมักหลอกลวงให้คนไขว้เขว, จับไปปล่อยป่าบ้างล่ะ, หรือไม่ก็สิงผู้หญิงไปล่อลวงพระจนให้ตบะแตก
ภาพแนบ: จักรพรรดชูโทกุกลายเป็นเทนงู
...มีตำนานเล่าว่าจักรพรรดิคนหนึ่งชื่อชูโทกุโดนขับออกจากบัลลังก์ และพยายามชิงอำนาจคืนแต่แพ้ ก่อนตายเลยลั่นสาบานแก้แค้น และกลายเป็นปีศาจเทนงูไป
ยุคต่อๆ มา ผู้คนมองเทนงูในมุมมองที่ดีขึ้น เช่นในยุคคามาคุระมีการเขียนแยก “เทนงูที่ดี” กับ “เทนงูที่ไม่ดี” ออกจากกัน ซึ่งในความไม่ดี ก็มีการอธิบายไว้ว่า เป็นเพราะเทนงูตัวนั้นๆ ทะเยอทะยานเกินไปจึงหลงผิด แต่จริงๆ เนื้อในพวกเขาเป็นคนดี ชาติก่อนเป็นคนมีศีลธรรม
ช่วงศตวรรษที่ 18 - 19 เทนงูกลายเป็นเจ้าป่าเจ้าเขา คอยรักษาป่าไม่ให้มีนายพรานเข้าไปบุกรุก หากนายพรานจะเข้าป่า ต้องบูชาเทนงูก่อน มิเช่นนั้นจะโดนกลั่นแกล้ง
ท้ายที่สุด เทนงูก็ได้ยกระดับจากแค่เป็นภูติผีปีศาจกลายเป็นคามิองค์หนึ่งไปด้วย...
เรื่องที่ 3: ยักษ์โอนิ
ยักษ์ญี่ปุ่น จริงๆ ก็คล้ายยักษ์บ้านเรา คือตัวใหญ่ ผิวกายมีหลายสี เขี้ยวยาว ถือตะบอง แต่ความต่างคือโอนิจะมีเขาด้วย
...ทั้งนี้บางทียักษ์โอนิจะเกิดมาจากวิญญาณของคนที่ทำชั่วมากๆ พอตายไปเลยกลายเป็นอสูร แต่สำหรับคนที่โคตรชั่ว ยังไม่ตายก็เป็นยักษ์ได้เหมือนกัน โดยโอนิที่โด่งดังก็เช่น “โอตาเกะมารุ” ซึ่งนอกจากมีกำลังมหาศาลยังมีเวทมนตร์ด้วย
โอนิเป็นดาวเด่นในเทศกาล “เซทสึบุน” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 2 หรือ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปี
จริงๆ เซทสึบุนหมายถึง “วันก่อนเปลี่ยนฤดูกาล” ฉะนั้นในปีๆ หนึ่งจะมีเซทสึบุนอยู่ 4 รอบ แต่ที่กำหนดฉลองตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นการเปลี่ยนจากฤดูหนาวเป็นฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นเหตุสำคัญ
ผู้คนจะแสดงความยินดีในการรอดพ้นจากฤดูหนาว โดยปาถั่วเพื่อขับไล่ความชั่วร้าย ซึ่ง “ความชั่วร้าย” ในที่นี้ คือการเอาคนที่ดวงซวยมาแต่งเป็นโอนิแล้วให้คนอื่นไล่ปาถั่วแกล้งนั่นเอง
ภาพแนบ: รูปหล่อของโมโมทาโร่ที่โอคายามะ คอร์กี้ในรูปขายาวกว่าปกติ เพราะช่างฝีมือกลัวคนไม่เห็น
อีกตำนานหนึ่งที่โอนิมีบทบาทมากและเราน่าจะคุ้นเคยกันดีคือตำนาน “โมโมทาโร่” หรือเด็กชายที่เกิดจากลูกท้อซึ่งตากับยายไปเก็บมาได้จากริมน้ำ
เด็กชายโมโมทาโร่เป็นคนจิตใจดี พอโตขึ้น และพบว่าหมู่บ้านโดนยักษ์บุกบ่อยๆ เลยออกเดินทางไปปราบ ซึ่งระหว่างทางโมโมทาโร่ก็ได้พรรคพวกเป็นนก ลิง กับหมาคอร์กี้ และสามารถจัดการโอนิลงได้สำเร็จ คืนความสงบสุขแก่หมู่บ้านอีกครั้ง
ภาพแนบ: ต่อให้คิทสึเนะแปลงร่างสวยยังไง เงาก็ยังเป็นจิ้งจอก
เรื่องที่ 4: ปีศาจจิ้งจอก
“คิทสึเนะ” หรือปีศาจจิ้งจอกนั้น ถือเป็นสัตว์วิเศษ ยิ่งอายุมากยิ่งมีหางมาก (สูงสุด 9 หาง) ยิ่งตบะกล้าแกร่ง จะยิ่งมีปัญญามาก แถมยังแปลงเป็นมนุษย์ได้ด้วย ...ตามในตำนานญีปุ่น จะมีเทพจิ้งจอกอีกตนคืออินาริ ซึ่งความต่างของทั้งสองคือ อินาริเป็นคามิในชินโต ส่วนคิทสึเนะเป็นโยไค
ตามความเชื่อบอกว่า คิทสึเนะจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้เมื่ออายุ 50 ปี (บ้างก็ว่า 100 ปี) โดยเมื่อใช้ใบไม้แปะหัว ก็จะแปลงร่างได้ (อีกตัวที่แปลงร่างได้ด้วยวิธีนี้คือ “ทะนุกิ” จึงมีบางเรื่องเล่าบอกว่าสองตัวนี้เป็นคู่แข่งกัน) ถึงคิทสึเนะจะแปลงเป็นคนไหน เพศอะไร อายุเท่าไหร่ก็ได้ แต่ที่เราคุ้นเคยสุดก็คือเวอร์ชั่นที่แปลงเป็นผู้หญิงสวยๆ
ภาพแนบ: ทามาโมะ โนะ มาเอะ
มีตำนานเล่าเกี่ยวกับจิ้งจอกเก้าหางตนหนึ่งอวตารตนเป็นเด็กหญิง (ภาษาญี่ปุ่นเรียกจิ้งจอกแบบนี้ว่า “คิวบิโนะโยโกะ”) มีคู่สามีภรรยาเก็บเธอไปเลี้ยงแล้วตั้งชื่อว่า “มิคุซึเมะ” ซึ่งปรากฏว่าเธอโตขึ้นมาฉลาดมากๆ เก่งทั้งด้านศิลปะและวิชาการ เลยได้เข้าไปทำงานในวังใกล้ชิดจักรพรรดิ ได้ชื่อใหม่ว่า “ทามาโมะ โนะ มาเอะ”
อนิจจาเนื่องจากตัวจริงทามาโมะเป็นภูติผี เลยทำให้จักรพรรดิป่วย นางรู้ดีแต่ก็กลัวไม่กล้าบอกใคร จนกระทั่งมีหมอผีมาปัดรังควาญ เลยทำให้ความแตก นางต้องหนีไป แต่ก็ถูกตามฆ่าในที่สุด ซึ่งต่อมาจักรพรรดิก็ตายตามนางไปในเวลาไม่นาน ทำให้บ้านเมืองระส่ำระสาย ผู้คนจึงโทษว่าทามาโมะ โนะ มาเอะ เป็นผีชั่วร้าย ทะเยอทะยาน สร้างความฉิบหายไปทั่ว… น่าสงสารเธอจริงๆ (ตำนานนี้น่าจะมาจากเรื่องนางปีศาจต๋าจีของจีนยุคราชวงศ์ซาง)
*** ตัดเข้าช่วงโฆษณา ***
เมื่อเขียนเรื่องคอมมิวนิสต์ เลยขอโฆษณาว่าหนังสือ "เชือดเช็ดเชเชน" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ ตอนนี้เปิดให้จองแล้ว
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของชนกลุ่มน้อยเชเชน ตลอดจนประวัติศาสตร์รัสเซียยุคหลัง โดยเน้นบทบาทของปูตินในการต่อสู้เพื่อขึ้นครองอำนาจ, ปฏิรูปรัสเซีย, และทำสงครามปราบชาวเชเชน
- หนังสือเล่มนี้มีผู้วิจารณ์มากมายว่า "โหดสัสรัสเซีย"
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน แน่นอนว่ามีความโหดสัสมากขึ้นไปอีก
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles 😉
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
นอกจากนี้ ยังขอโฆษณาว่าหนังสือ "ประวัติย่อก่อการร้าย War on Terror" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ
ตอนแรกว่าใกล้ๆ เสร็จแล้วค่อยทำโปร แต่เหตุการณ์ในอัฟกานิสถานและรำลึก 9/11 ทำให้มีคนถามมาเยอะเหลือเกิน เลยเปิดให้จองก่อน
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของขบวนการก่อการร้ายสากลตั้งแต่ยุคอัลเคดามาต่อ ISIS
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles เราพิมพ์เองแล้วจะทำอะไรก็ได้ 555
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
และขอโฆษณาว่าหนังสือ “สุริยันพันธุ์เคิร์ด” หรือหนังสือเล่มใหม่ของผมออกแล้วนะครับ มีรายละเอียดดังนี้...
- เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชาวเคิร์ด ผลงานเล่มล่าสุดในชุด The Wild Chronicles
- พิมพ์เป็นสี่สี!
- ยาวที่สุดเท่าที่พิมพ์มา ยาวกว่าพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติราว 2 เท่า
- รูปโหดๆ ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จะไม่เซนเซอร์ แต่จะรวมอยู่ท้ายเล่ม และมีคำเตือนก่อน
- มีลายเซ็นทุกเล่ม!
- ราคา 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว
ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link แนบได้เลย
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
1
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเยือนดินแดนเคอร์ดิสถานอิรัก (และหนีมิสไซล์มา) เมื่อต้นปี 2020 เพื่อนชาวเคิร์ดที่ผมสัมภาษณ์ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากทุกสงครามข้างต้น ทำให้มีข้อมูล ความเห็น และมุมมองของคนต่างๆ ที่ลึกกว่าในตำรา แน่นอนว่าประสบการณ์ของพวกเขาดาร์คมาก แต่เขาหลายคนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น พวกเขาตีความสิ่งที่พบเจออย่างไร ลองตามอ่านดูนะครับ
"สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ตั้งใจพิมพ์เป็นสี่สี เป็นหนังสือที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนสารคดีชุด The Wild Chronicles มา
อีกครั้งนะครับ ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์หนังสืออย่างเดียว สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link นี้ได้เลย 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว (ในประเทศ) ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที
เรื่องที่ 5: นางเงือก
เงือกในภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า “นินเกียว” ซึ่งแปลตรงตัวได้เลยคือ “คนปลา” แต่เงือกญี่ปุ่นจะหน้าตาหลอนๆ หน่อย ไม่ใช่แบบในหนังลิตเติลเมอร์เมด หรือในพระอภัยมณี กล่าวคือ แม้ท่อนล่างจะเป็นปลา แต่ท่อนบนจะดูคล้ายลิงมากกว่ามนุษย์ บ้างก็ว่าเป็นปลาทั้งตัว แต่มีหัวเป็นคนมีเขามีเขี้ยว ...อันไหนก็ล้วนน่ากลัวทั้งสิ้น
คนญี่ปุ่นมองว่าเงือกมีเวทมนนตร์ สามารถดลบันดาลให้ท้องฟ้าวิปริตแปรปรวนทันใด! เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่! และนอกจากนี้ หากชาวประมงคนไหน ไปจับเงือกขึ้นมาจากทะเล บริเวณนั้นจะเกิดความฉิบหายขึ้น
...แล้วทำไมคนยังจะไปจับมันมา? เพราะเชื่อว่าการกินเนื้อเงือกจะทำให้เป็นอมตะไงล่ะ!
ภาพแนบ: ยาโอบิคุนิ
มีตำนานที่เล่ากันแพร่หลายในญี่ปุ่นว่า ครั้งหนึ่งมีการพบนางเงือกนอนตายเกยตื้นที่หมู่บ้านประมงในจังหวัดวาคาสะ จริงๆ พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเงือก เลยไม่รู้ว่ากินไปแล้วจะเป็นอมตะ แต่เห็นว่ามันน่าเกลียดมาก เลยเลือกจะไม่กิน ยกเว้นชายคนหนึ่งที่เอาเงือกกลับบ้าน
ปรากฏว่าลูกสาวของชายคนนั้นไปกินเข้าก่อน ทำให้เธอมีชีวิตอมตะเป็นสาวไปตลอดกาลจริงๆ แต่ต่อมาหญิงสาวต้องทนเห็นครอบครัวและคนที่ตัวเองรู้จักทยอยแก่และตายไป จนสุดท้ายก็ไม่เหลือใครเลย สิ่งนี้ทำให้เธอเศร้ามาก หมดอาลัยตายอยากแต่ตายไม่ได้ เลยไปบวชเพื่อหาความหมายแก่ชีวิต จนบรรลุธรรม ละสังขารไปได้ในที่สุดเมื่ออายุ 800 ปี และได้ชื่อเรียกว่า “ยาโอบิคุนิ” แปลว่า ภิกษุณี 800 ปี
อีกตำนานที่แพร่หลายเกี่ยวกับเงือกคือ ชาวประมงคนหนึ่ง ไปจับเงือกมาได้ มันพยายามร้องขอชีวิต แต่เขาไม่สน ลากนางขึ้นจากน้ำกลับบ้าน แล้วก็ออกไปหาปลาต่อ ปรากฏว่าลูก 3 คนของชาวประมงหิวมาก เลยนำเนื้อเงือกมากิน
ทันใดนั้น ร่างของเด็กๆ ก็ค่อยๆ มีเกล็ดงอกออกมา พวกเขากลายร่างเป็นเงือก และขาดใจตายอยู่บนบกด้วยความทรมาน ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เงือกโดนลากขึ้นจากน้ำมา!
ภาพแนบ: หนึ่งในซัมปงสึกิ
ชาวประมงกลับบ้านพบกับความสยอง เขาเสียใจกับการกระทำของตัวเองอย่างยิ่ง เพราะนอกจากทำให้ลูกตายไม่ดี วิญญาณก็ไม่สงบสุข ...ยังดีที่เทพเจ้ามาเข้าฝันชายคนนั้น บอกวิธีช่วยพาวิญญาณลูกไปสู่สุขติ ด้วยการเดินทางแสวงบุญไปยังภูเขาโทกาคุชิ จังหวัดนากาโนะ (เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในตำนานญี่ปุ่น คนนิยมไปแสวงบุญตั้งแต่สมัยเฮอัน) แล้วปลูกต้นสนสามต้น ให้ลูกๆ สามคน
ชาวประมงออกเดินทางไปโทกุกาชิ ซึ่งอยู่ห่างออกไปนับร้อยกิโล แล้วปลูกต้นไม้ให้ลูกได้สำเร็จ จนปัจจุบัน ต้นไม้นั้นก็ยังตั้งอยู่ใกล้ๆ ศาลเจ้าฮิโนะมิโคชะ เรียกว่า “ซัมปงสึกิ” ใครไปเที่ยวโทกาคุชิก็สามารถไปดูได้นะครับ
ภาพแนบ: กัปปะผู้น่ารัก
เรื่องที่ 6: กัปปะ
กัปปะน่าจะเป็นโยไคที่คนคุ้นหน้ากันมากที่สุดตัวหนึ่ง เพราะปรากฏในหลายสื่อมากๆ ทั้งมังกะ, อนิเมะ, เกม ฯลฯ ด้วยรูปลักษณ์ของมันที่ค่อนข้างน่ารัก (?) ตัวเหมือนเต่า มีปากเหมือนนก หน้าซื่อๆ ชอบกินแตงกวา ดูชิลๆ ริมน้ำ ไม่มีพิษมีภัย…
แต่ตำนานกัปปะออริจินัลไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ ทั้งหน้าตาและนิสัย เรียกได้ว่าค่อนไปทางสยอง!
ภาพแนบ: กัปปะผู้น่ากลัว
กัปปะเป็นเต่าเหี่ยวๆ ตัวย่นๆ มีเกล็ดบางส่วน ใบหน้าแหลมดูน่ากลัว ชอบขโมยม้า ฆ่าเด็ก และข่มขืนผู้หญิง โดยบนหัวของมันจะมีจานใส่น้ำวางอยู่ ถ้าน้ำหก กัปปะจะอ่อนกำลังลง หรืออาจถึงขั้นตายได้เลย โดยมากกัปปะจึงอาศัยอยู่ในน้ำ ไม่ขึ้นบก ซึ่งคนสมัยโบราณเชื่อว่า การจมน้ำเกิดขึ้นจากโดนกัปปะซึ่งมีแรงมหาศาลลากไปกินนั่นเอง
กัปปะจะดื่มเลือดของผู้เคราะห์ร้าย กินตับ หรือเอา “ชิริโกะดามะ” ซึ่งเป็นอวัยวะในตำนานของมนุษย์ โดยการเอาชิริโกะดามะนี้จะต้องล้วงทวารหนักเข้าไปถึงจะเจอ (อูย…) เหยื่อส่วนมากของกัปปะคือเด็กๆ และสัตว์ทั้งหลาย ถึงกระนั้น กัปปะก็ยังมีของชอบอย่างอื่นที่ไม่สยองนัก คือ “แตงกวา” ดังนั้นจึงมีคนถวายแตงกว่าให้กัปปะอยู่เรื่อยๆ
ภาพแนบ: กัปปะผู้น่ากิน
ความเกี่ยวข้องของกัปปะและแตงกวานี้ ได้กลายมาเป็นชื่อเมนูซูชิ “กัปปะมากิ” หรือข้าวปั้นไส้แตงกวา
บางคนเชื่อกันว่า นี่เป็นเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาโดยตรงจากการที่กัปปะกินแตงกวา แต่ก็มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ว่า ฮิโรชิ ยาสุอิ เจ้าของร้านยาฮาตะซูชิรุ่นที่ 4 เป็นผู้คิดค้นข้าวปั้นนี้ขึ้น เพราะญี่ปุ่นช่วงหลังสงคราม วัตถุดิบทำอาหารไม่ค่อยจะมี เขาเลยนำแตงกวามาเป็นไส้ซูชิซะเลย ปรากฏว่าได้รับความนิยม เลยกลายเป็นข้าวปั้นแบบกัปปะไป
ภาพแนบ: กัปปะผู้แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ หากต้องสู้กับกัปปะตรงๆ แล้ว มีวิธีเอาชนะแบบง่ายๆ คือต้องท้ามันเล่นซูโม่ (เพราะกัปปะชอบซูโม่) แล้วก้มหัวคำนับมันก่อน เพราะกัปปะมีมารยาทกับคู่ต่อสู้ มันจะเลยคำนับกลับ ซึ่งการก้มหัวจะทำให้น้ำหกลงมา กัปปะจะสิ้นฤทธิ์ไปเอง
...ทั้งนี้หากเราช่วยกัปปะ มันจะซึ้งใจและยอมเป็นเพื่อนกับเรา พร้อมทั้งถ่ายทอดความรู้ให้ด้วย
ภาพแนบ: ตัวละคร "จิบาเนียน" ในการ์ตูนเรื่อง "โยไควอทช์" เป็นโยไคแมวสองหาง
เรื่องที่ 7: ผีแมว
ผมเชื่อว่าทุกคนคงเคยเห็นแมวญี่ปุ่นน่ารักๆ กันมาไม่มากก็น้อย และแอบหวังว่า แมวจะมีชีวิตอยู่ยืนยาว… แต่รู้ไหมครับ ตำนานญี่ปุ่นเล่าว่า ถ้าแมวมันมีชีวิตนานกว่าปกติ (ราว 20 ปีขึ้นไป) มันอาจกลายเป็นภูติผีไปได้!
ตรงนี้จะแยกเป็นสองสายคือ แมวผี แมวปีศาจทั่วๆ ไป เรียกว่า “บาเกะเนโกะ” กับ บอสแมวผี ที่บำเพ็ญตบะจนฉลาด มีอิทธิฤทธิ์ แปลงเป็นคนได้ ชื่อ “เนโกะมาตะ” ความพิเศษคือจะมีสองหาง
ภาพแนบ: แมวเล่นซามิเซ็ง
ว่ากันว่าเนโกะมาตะมีฤทธิ์มากถึงขั้นปลุกคนตาย ดังนั้นคนญี่ปุ่นจึงห้ามแมวเข้าไปในงานศพเด็ดขาด ซึ่งตรงนี้คล้ายกับความเชื่อนานาชาติที่ว่าไม่ให้แมวดำข้ามโลงศพ เพราะจะทำให้วิญญาณในร่างนั้นกลายเป็นผีเฮี้ยนไป
แมวผีได้รับความนิยมพอๆ กับแมวเป็นๆ มาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยเอโดะ เห็นได้จากแผ่นภาพม้วน “ฮัคไค ซูคัง” ในปี 1737 มีรูปของเนโกะมาตะแต่งกิโมโนเล่นซามิเซ็ง (เครื่องดีดญี่ปุ่น) ซึ่งเรื่องตลกร้ายสะท้อนความจริงที่แฝงอยูคือ สมัยเอโดะนิยมนำหนังแมวมาหุ้มซามิเซ็ง เลยมีเนโกะมาตะมาเล่นเพลงเศร้าๆ ให้พรรคพวกที่จากไป…
...โธ่ เจ้าแมวน้อย…
ภาพแนบ: บรรยากาศในงานบาเกะเนโกะ เฟสติวัล
อนึ่ง ผีแมวก็ยังได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงขั้นมีเทศกาลเป็นของตัวเอง ชื่อ “บาเกะเนโกะ เฟสติวัล” (Bakeneko Festival) จัดขึ้นในเดือนตุลาคมของทุกปี ที่คากุราซากะ เขตชินจูกุ กรุงโตเกียว
ในงานนี้ทุกคนจะแต่งเป็นแมว (แมวอะไรก็ได้ จะออกแนวญี่ปุ่นตามขนบ หรือโดราเอมอนกับแคทวูแมนก็ได้) มาเดินพาเรดกัน และแน่นอนว่ามีสินค้าเกี่ยวกับแมวขาย นับเป็นอีเวนต์ทาสแมวข้ามชาติข้ามภพโดยแท้จริง
25. *** สรุป ***
ผีญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น คือเต็มไปด้วยความหลากหลายและสร้างสรรค์ บ้างก็น่าสนใจ บ้างก็น่ากลัว แต่ไม่ว่าจะตัวไหน ตนใด คนญี่ปุ่นก็ดูจะหยิบมาปรับให้ดูเท่หรือน่ารักได้เสมอในวัฒนธรรมร่วมสมัย
ด้วยเหตุนี้ แม้จะไม่ใช่คนตามเรื่องผี ก็ยังรู้จักผีญี่ปุ่นมากมายผ่านสื่อต่างๆ ทั้งการ์ตูน อาหาร ข้าวของเครื่องใช้ และอีกหลายอย่างตามแต่ที่จินตนาการคนญี่ปุ่นจะไปถึง
...ถ้าอยากรู้เรื่องราวออริจินัลของผีเหล่านี้ให้มากขึ้น กดแชร์พร้อมคอมเมนต์ว่าอยากอ่านเรื่องผีญี่ปุ่นตนไหนต่อนะครับ
::: อ้างอิง :::
- yokai (ดอต) com
- Two Tales of Mermaid Meat hyakumonogatari (ดอต) com/2015/09/24/two-tales-of-mermaid-meat/
- Cucumber roll (Kappa maki) sushiuniversity (ดอต) jp/visual-dictionary/?Name=Cucumber-roll-(Kappa-maki)
- มาแยกความแตกต่างระหว่าง “ยูเร” (幽霊) กับ “โยไค” (妖怪) วิญญาณและภูติผีปีศาจฉบับคนญี่ปุ่นกันเถอะ ! th (ดอต) anngle (ดอต) org/j-culture/yurei-yokai
- โยไค (Yokai) ในญี่ปุ่นคืออะไร ผีญี่ปุ่นสุดหลอน fun-japan (ดอต) jp/th/articles/11883
- รู้จักกับเสน่ห์น่าพิศวงของ "โยไค" (ปีศาจญี่ปุ่น) ที่นิยมแม้แต่ในนิยายหรือการ์ตูน! matcha-jp (ดอต) com/th/353
- เกร็ดความรู้ภาษาญี่ปุ่น "เท็งกุ" ปีศาจหรือเทพเจ้า? matcha-jp (ดอต) com/th/2481
- ขับไล่ดวงวิญญาณชั่วร้ายประจำปีกับ ”เทศกาลปาถั่ว” jnto (ดอต) or (ดอต) th/newsletter/setsubun/
- กัปปะ (Kappa) คืออะไร? พบกับภูต (Yokai) ยอดนิยมของญี่ปุ่นกันเถอะ! fun-japan (ดอต) jp/th/articles/11881
- ตำนาน “เนโกะมาตะ” (猫又) จากแมวชราสู่แมวปีศาจ th (ดอต) anngle (ดอต) org/j-culture/neko-mata
ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวแปลกๆ จากรอบโลกสามารถสมัครเข้ากลุ่ม illumicorgi
อนึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม exclusive ผมจะใช้ลงบทความพิเศษ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกกว่าที่ลงในเพจ The Wild Chronicles และบทความส่วนใหญ่ในกลุ่มจะเกี่ยวกับธีมของหนังสือที่ผมกำลังเขียน
ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ากลุ่มให้ทำดังนี้เลยนะครับ
(1) กดสมัคร Line OA ของ The Wild Chronicles มาทาง link นี้ https://lin.ee/fNEO1jr
(2) กด add เป็นเพื่อน
(3) กด chat
(4) จากนั้น พิมพ์ชื่อที่ท่านใช้ใน Facebook มาทางช่องแชทของ Line OA เพื่อให้ทีมงานบ่งชี้ได้ว่าบัญชีของท่านสมัครมาแล้ว
(5) จากนั้นจะมีแอดมินมาคุยกับท่าน ให้แจ้งประเภทสมาชิกที่ท่านต้องการสมัคร แอดมินจะส่ง link เพื่อชำระค่าสมาชิก และแนะนำวิธีการเข้ากลุ่มต่อไป
::: ::: :::
สนใจอ่านเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
โฆษณา