29 ต.ค. 2021 เวลา 06:18 • ปรัชญา
เรื่องการให้วัตถุสิ่งของเป็นทาน เราลองศึกษาเรื่องชาดก พระเวสสันดร ดูแบบอย่างในการให้ทานของท่าน ท่านให้หมด บุตรธิดา ทรัพย์สมบัติ ท่านก็ให้ด้วยความเต็มใจ ท่านยกกัญหาชาลีให้ชูชก พอชูชกเฆี่ยนตีกัญหาชาลี จิตของท่านก็ยังยึดกัญหาชาลีอยู่ ก็ไปคว้าพระขรรค์ จะไปทำร้ายชูชก นั้นก็ทำให้ท่านต้องกลับมาสู่เวียงวังอีก พอมาถึงชาติพระสิทธัตถะ ท่านก็สละทั้งหมด เข้าป่าไปชำระสะสางจิตของท่าน จนสำเร็จเป็นองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้า
คราวนี้ เรามาดูเรื่องราวการสะสม การให้วัตถุสิ่งของในชาดก เราจะเห็นเรื่องราว การให้ทาน ยิ่งทำ ก็ได้เกิดมามีทรัพย์สมบัติมากขึ้น เพิ่มขึ้นมาทุกชาติ เหมือนทำไปแล้วก็ต้องเกิดมาใช้บุญ ใช้ทรัพย์สมบัติ คล้ายว่ายิ่งทำยิ่งเกิด ยิ่งมีทรัพย์สมบัติปัจจัยสี่ จนมาถึงชาติสุดท้าย ที่เห็นทรัพย์สมบัติ ที่หลับที่นอน ยศฐานบรรดาศักดิ์ ก็เบื่อหน่าย เห็นเป็นเรื่องที่ให้จมอยู่กับความทุกข์ ท่านจึงหนีออกจากเวียงวัง เพราะท่านมีปัญญามองเห็นสิ่งเหล่านี้ เป็นจิตของผู้มีปัญญา ท่านเข้าป่าท่านก็ไปกระทำ กิริยาของการหนีกรรม รอยของพระยืน เดิน นั่ง นอน ทำจิตให้นิ่งกายให้นิ่ง เมื่อกายนิ่งจิตนิ่ง สิ่งต่างๆที่สะสมมาในธาตุทั้งสี่ก็ไหลออกไป จนจิตนั้นใส่สะอาด เป็นแก้ว แก้วรัตนะ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทินให้ต้องชำระสะสางอีก
คราวนี้ เรามาดูเรื่องของการให้ทาน บุคคลที่ให้เรามา ให้สังขารเรามา เพื่อให้จิตเรามาอาศัยเรือนกาย เรือนกายนี้ไม่ใช่ของเรา เป็นเรือนกายที่พ่อแม่ให้จิตเรามาอาศัย ในการมาอาศัยพ่อแม่ ก็สอนส่งเสริม เรียนรู้ ว่าจะใช้กายใช้มือเท้าไปเสาะแสวงหาที่อยู่ที่อาศัย เพื่อหล่อเลี้ยงสังขารตน
คราวนี้ เราก็ลองมาเปรียบเทียบ ชีวิตคนชีวิตสัตว์ พวกสัตว์เค้าก็หากินของเค้าไปเรื่อย กินแล้วก็พักผ่อนหลับนอน ส่วนมนุษย์นั้น ก็ไปหากิน ไปหาปัจจัย ด้วยอาศัยแรงกายเรือนกายที่พ่อแม่ให้สังขารมา ไปหาเงินหาทอง เพื่อนำมาแลกเปลี่ยน แปรสภาพเป็นอาหารการกินที่หลับที่นอน ในการไปเสาะแสวงหา กายนั้นก็เหนื่อย กายของใครเหนื่อย จิตนั้นก็ต้องรับทุกข์จากกายที่เหนื่อยอ่อนล้า
สิ่งที่ปรุงแต่งให้จิตนี้ต้องไปเสาะแสวงหานั้นเป็นใคร นั้นก็คือ อารมณ์โลภโกรธหลงที่เกิดขึ้นในตัวตนของเรา เราไปหามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยยากของกาย ได้มาแล้วก็ยึด มากองไว้ เค้าเรียกว่าสะสม สะสมความโลภความโกรธความหลง ไว้ภายในกายในจิต จิตมันก็หนัก แคบลงๆลงไป ทับถมจิตให้ยึดให้จมอยู่กับทรัพย์สมบัติที่ตนมี พอจิตมันแคบ ก็เผื่อแผ่เอื้อเฟื้อใครไม่ได้แล้ว มันก็ยึดอยู่อย่างนั้น ยึดทรัพย์สมบัติ ยศฐานบรรดาศักดิ์ อารมณ์กรรมมันก็หนัก ทับถมจิต อะไรสะกิดนิดหน่อยไม่ได้ดังใจ ก็โมโหโกรธ ยึดไปทุกอย่าง เหมือนที่เค้าว่า ผ้าขี้ริ้วก็ยังยึดยังหวง มันก็ยึดอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะไม่ทุกข์ได้อย่างไร ก็เพราะว่าว่าจิตของเรามันยึดทุกข์อยู่
ครั้งหนึ่ง ไปดูพระที่นับถือ ไปพักรักษาที่โรงพยาบาล ท่านก็ชี้ให้ดู พระที่อาพาธ เตียงนั้นเตียงนี้ เตียงโน้นสีกาลจับ ไม่กี่วันก็มรณภาพ เตียงริมโน้นตัวอุปถัมภ์ ไม่มีเลย เพราะไม่เคยทำทานมา เราก็ไปพูดคุยกับท่าน ท่านอาพาธต้องเดินจากวัด มาขึ้นรถ โบกรถมาโรงพยาบาลเจ็บป่วยก็ไม่ใครมาช่วยดูแลเอื้อเฟื้อให้ จนบรรเทาเจ็บป่วย จะออกจากโรงพยาบาล แม้แต่ปัจจัยจะกลับวัดก็ไม่มี เราก็ถวายปัจจัยให้ท่าน ท่านก็ให้พรมากมาย แต่นั้น ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ เรื่องของทาน ที่จะไปอุปถัมภ์ เราในวันข้างหน้าชาติหน้า ให้เราทำให้เป็น ให้ด้วยความเต็มใจ ให้เค้าพ้นทุกข์ ทำเท่าที่เรากระทำได้ แต่ขอให้เต็มใจสละออกไป ไม่ไปยึดให้มีกรรม ให้แล้วก็ให้อารมณ์เป็นทาน ให้เค้ามีความสุขกายสุขใจเทอญ
เรื่องของบุคคล ที่เค้ามีบุญมีทานติดตัวมา ติดนิสัยเค้ามา เราก็สามารถเรียบรู้สังเกตเองได้ ว่ามันเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ไม่ใช่คนที่ทำเพื่อยึด ทำเพื่อสลัดออกไป เราจะเห็นบุคคลเหล่านี้ เมื่อยามที่มีทุกข์ มีความลำบาก มักมีผู้ยื่นมือเค้ามาช่วยเกื้อกูลบรรเทาทุกข์ ให้ผ่อนคลายทุกข์ไปได้ สังเกตเพื่อศึกษาเรื่องราวของการทำทาน ว่ามันทำให้จิตใจกว้างขวางขึ้น ไม่คับแคบ จิตใจก็มีความสุข ผ่อนคลายทุกข์
โฆษณา